เหตุการณ์ในวันนั้น ถูกบันทึกไว้ว่าหลังจากการเปล่งเสียงพร้อมๆกันว่า "เราคือผู้พิชิต ปิดแกนกลาง ทุ่มชีวี สร้างมหาธรรมกายเจดีย์ ชิตัง เม ชิตัง เม ชิตัง เม" ประธานสงฆ์ได้บอกให้สาธุชนนั่งลง แต่ปรากฏว่ามีสาธุชนกลุ่มใหญ่ทางทิศตะวันออก ยังคงยืนและร้องเซ็งแซ่ โดยระบุว่าได้เห็นภาพหลวงพ่อวัดปากน้ำ องค์ใหญ่เต็มท้องฟ้า ภายในกลางกายของท่านมีดวงอาทิตย์หมุนสลับสีสวยงาม โดยไม่มีความร้อย หรือระคายสายตา
ช่วงเวลาดังกล่าว มีผู้อ้างว่าเกิดขึ้นราว 17.30 น. โดยใช้เวลาถึงครึ่งชั่วโมง
เหตุการณ์ลักษณะเช่นนี้ ยังถูกอ้างว่าเกิดขึ้นซ้ำอีกในวันที่ 11 ตุลาคม ท่ามกลางสาธุชนถึง 1 แสนคน บริเวณลานรอบมหาธรรมกายเจดีย์ เพื่อฉลองชัยชนะในการทำบุญปิดยอดองค์พระประจำตัวครบแปดหมื่นสี่พันองค์ประเดิษฐานภายนอกมหาธรรมกายเจดีย์
หนึ่งในคำบอกเล่าของผู้อยู่ในเหตุการณ์ ซึ่งเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยของรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง ระบุไว้ดังนี้
"พระอาทิตย์ที่ดิฉันเห็นในตอนนั้นเป็นรังสีที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิต สีจะสลับเหมือนดวงอาทิตย์เลื่อนไปเลื่อนมาได้ แล้วก็มีสีออกชมพูเรืองรองรอบนั้นหมดเลย สักครู่ก็เปลี่ยนเป็นสีฟ้า เป็นสีออกม่วงๆออกคราม แล้วสักพักหนึ่งก็เหมือนเป็นรูปหลวงพ่อสดสีทองทั้งองค์ เห็นอยู่บนท้องฟ้าเลย เหมือนพระอาทิตย์เป็นลูกแก้วอยู่ในท้องท่าน พระอาทิตย์ก็สลับแสงไปมาอีก ดิฉันก็ดีใจมาก ก็หันไปบอกคนข้างๆว่า ดูพระอาทิตย์ซิคะช่วยกันดูพระอาทิตย์ หลายคนที่เขาเห็น เขาก็ยืนดูกันแล้วก็โบกธง ดิฉันน้ำตาไหลด้วยความปีติ........ดิฉันเองก็เรียนสายวิทยาศาสตร์ด้วย ซึ่งเรื่องอย่างนี้ถ้าไม่เจอด้วยตัวเองก็ไม่มีทางเข้าใจ..."
ในเวลาต่อมา ประเด็นนี้ ถูกสังคมตั้งคำถามอย่างมาก ว่าเป็นการสะกดจิตหมู่หรือไม่ ซึ่งทางวัดพระธรรมกาย ได้ชี้แจงไว้ในหนังสือ "เจาะลึกวัดพระธรรมกาย" ตอนนหึ่งว่า ไม่เคยได้ยินว่าจะมีใครในโลกเก่งขนาดสะกดจิตคนครั้งละ 2 หมื่นคนให้มองดูพระอาทิตย์ได้
นอกจากนี้ ได้มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่า มีการใช้แสงเลเซอร์ยิงไปที่ดวงอาทิตย์ เพื่อทำให้เกิดภาพเช่นนั้นหรือไม่ ทางวัดชี้แจงว่า ยังไม่เคยได้ยินว่าใครในโลก สามารถใช้เครื่องยิงแสงเลเซอร์เอาชนะพลังแสงอาทิตย์ได้ หากทำได้แสดงว่าต้องมีเทคโนโลยีก้าวหน้ากว่าสหรัฐอเมริกา และต้องเป็นมหาอำนาจทางเทคโนโลยีของโลกอย่างแน่นอน
นี่คือส่วนหนึ่งของปรากฏการณ์สังคมที่ตั้งคำถามต่อวัดพระธรรมกาย ซึ่งกำลังเผชิญสถานการณ์ร้อนระอุจนถึงวินาทีนี้