เรื่องที่เป็นกระแสสังคมอยู่ในขณะนี้ คงไม่พ้นเรื่อง ธรรมกาย-ธัมมชโย ซึ่ง สำนักข่าวดัง แสดงข้อคิดไว้อย่างเผ็ดร้อนว่า
ความจริงการเข้าตาจนของ "สำนักจานบิน" มีเค้าลางมาตั้งแต่ต้นปีก่อน หรือหลังรัฐบาล คสช. เข้ามาบริหารประเทศได้ปีกว่า ๆ เพราะมีการสนธิกำลังจะบุกอยู่ก็หลายครั้ง แต่จนแล้วจนรอดก็คว้าน้ำเหลว...แม้ก่อนหน้านี้ฝ่ายบ้านเมืองจะเข้าไปค้นวัดถึง 2 ครั้ง แต่ก็ทำอะไร "หลวงพ่อนะจ๊ะ" ไม่ได้ แถมไม่รู้ด้วยซ้ำว่า "พระเดชพระคุณหลวงพ่อ" ยังอยู่ที่วัด หรือเผ่นแน่บไปอีกซีกโลกหนึ่งแล้ว
เมื่อฝ่ายรัฐฯ คว้าน้ำเหลวบ่อยเข้า ก็ได้แต่แก้เกี้ยวทางกฎหมาย โดยฟ้องธรรมกายสารพัดคดี รวม ๆ แล้วน่าจะเกิน 300 คดี แม้แต่ "องอาจ ธรรมนิทา" ก็ยังไม่คร้ามเกรงอำนาจรัฐ เล่นเอาล่อเอาเถิดกับฝ่ายบ้านเมืองอยู่ก็หลายครั้ง ก่อนจะเข้ากลีบเมฆไป เพราะถูกออกหมายจับฐานยุยงปลุกปั่น เรื่องคดีความธรรมกายก็ดูจะยันกันอยู่แค่นั้น...ฝ่ายบ้านเมืองจะกลับก็ไม่ได้จะไปก็ไม่ถึง
แต่พลันที่นายสมพร เทพสิทธา สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) และประธานคณะอนุกรรมาธิการศาสนาในคณะกรรมาธิการการศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรมและการท่องเที่ยว หนึ่งในแกนนำ สนช.ในการแก้ไข พ.ร.บ.คณะสงฆ์มาตรา 7 ที่ให้การโปรดสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชเป็นพระราชอำนาจ ออกมาเปิดเผยว่า ตนจะส่งคนไปถวายหนังสือแด่สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก หรือสมเด็จพระมหามุนีวงศ์ เจ้าอาวาสวัดราชบพิธฯ ในฐานะประธานที่ประชุมมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อให้พิจารณา ขอให้ท่านทรงนำพระลิขิตของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก อดีตสมเด็จพระสังฆราชพระองค์ก่อน ที่เคยมีพระลิขิตให้พระธัมมชโยต้องปาราชิก เพื่อขอให้นำพระลิขิตดังกล่าวไปพิจารณา เรื่องธรรมกายก็ดูจะพลิกผันไปอีกทางหนึ่ง...คราวนี้ทุกอย่างดูเข้าทางรัฐบาลเป็นอย่างยิ่ง
"ประเด็นเรื่องพระลิขิต ในหนังสือจะกราบเรียนท่านว่าก่อนหน้านี้สมเด็จพระญาณสังวรฯ ได้มีพระลิขิตหลายครั้งในเรื่องนี้ แต่ไม่ได้รับการนำมาพิจารณาในที่ประชุม มส. ดังนั้นเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อพระลิขิตของท่าน จึงอยากให้ที่ประชุม มส.นำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุม ซึ่งหากนำเข้าสู่ที่ประชุมก็ต้องปาราชิก เรื่องนี้ก็สุดแล้วแต่ท่าน แต่ท่านคงให้ความเป็นธรรม แต่เชื่อว่าคงไม่มีปัญหาในเรื่องนี้ หาก มส.พิจารณาแล้วเห็นว่าปาราชิกก็ต้องพ้นจากความเป็นพระทันที จะไม่มีอิทธิพลอะไรอีกต่อไปแล้ว ก็หมดเรื่องเสียที เมื่อพ้นจากความเป็นพระก็อยู่วัดธรรมกายไม่ได้แล้ว ส่วนคดีความทางโลก ดีเอสไอก็ว่ากันไป" สนช. สายศาสนา ระบุถึงเหตุที่ต้องปัดกวาดธรรมกาย
แต่ไม่เพียงเท่านั้น เพราะผ่านมาอีกไม่กี่วัน จู่ ๆ ค่ำวานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 5/2560 เรื่อง มาตรการให้อํานาจกําหนดพื้นที่ควบคุม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบังคับใช้กฎหมาย โดยกำหนดให้วัดพระธรรมกาย ตลอดจนพื้นที่โดยรอบวัดพระธรรมกายใน อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี รวมถึงพื้นที่หมู่ 7 หมู่ 8 หมู่ 9 หมู่ 10 หมู่ 11 หมู่ 12 และหมู่ 13 ในตําบลคลองสอง และพื้นที่หมู่ 7 หมู่ 8 หมู่ 9 หมู่ 10 และหมู่ 11 ใน ต.คลองสาม อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี เป็นพื้นที่ควบคุม
ดูท่า...คราวนี้ "มหาอาณาจักรจานบิน" คงเจอเข้ากับของจริง...เพราะจะว่าไปแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นกับวัดธรรมกายในยุค คสช. ไม่เคยมีรัฐบาลไหนบนแผ่นดินนี้...กล้ากระทำเยี่ยงนี้มาก่อน เพราะอิทธิพลทางการเมือง-อำนาจเงินตรา และความใหญ่โตคับบ้านคับเมืองของลูกศิษย์สำนักจานบินนั้น แผ่ขยายจนทำให้กฎหมายเอื้อมมือไปไม่ถึงสักที ยิ่งในยุคเลือกตั้งช่วงที่ "ระบอบทักษิณ" เรืองอำนาจยิ่งไม่ต้องพูด เพราะขนาดศาลนัดสืบพยานอีกแค่ 2-3 ปาก และจะพิพากษาอยู่รอมร่อ "อัยการสูงสุด" ยังขอถอนฟ้องหน้าตาเฉยในช่วงปี 2549 แบบนี้ใครจะไปแตะต้องได้...แต่ล่วงเข้าสู่วันนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว..."ธรรมกาย" ไม่ขลึมขลัง-ทรงอิทธิพลเช่นในอดีตอีกแล้ว...ยิ่งเจอนายกฯ ที่ไม่งมงายในการ "ซื้อบุญ" แบบ "บิ๊กตู่" ทุกอย่างยิ่งสนุก...และบอกเลยนับจากนี้ "อาณาจักรจานบิน" มีแต่จะฝ่อลง ๆ ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้ว