ยิ่งได้ฟังคำพิพากษาคดีคุณหญิงพจมานเลี่ยงภาษีในตอนท้ายๆ ด้วยแล้วยิ่งชวนให้ขนลุกขนพอง
"จำเลยทั้งสามเป็นผู้มีฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะกระทำผิดฐานให้ถ้อยคำการเป็นเท็จเพื่อหลีกเลี่ยงการเสียภาษี จำเลยที่ 2 เป็นภริยาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองระดับผู้บริหารประเทศ ซึ่งจำเลยทั้งสามนอกจากมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตนเยี่ยงพลเมืองดีทั่วๆ ไปแล้ว ยังควรดำรงตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีสมฐานะทางเศรษฐกิจและสังคมด้วย"
"จำเลยที่ 2" ที่ศาลระบุก็คือ คุณหญิงพจมาน !
แล้วถ้าหากใครได้ฟังตั้งแต่ตอนแรกๆ ที่ศาลจะเริ่มอ่านคำพิพากษา ได้เอ่ยปากถามคุณหญิงพจมาน ว่าใช่เป็นจำเลยคดีที่ดินรัชดาด้วยหรือเปล่า... ก็ยิ่งคิดมากไปกันใหญ่
สู้แล้วมันจะรอดหรือ ?
ถามตัวเองเสียงดังๆ แบบคนรักคนห่วง ก็ต้องคิดไปในทางไม่ดีไปก่อนล่ะ เมื่อคิดว่าไม่รอด ก็เลยคิดให้เองเสร็จสรรพว่า ทางเลือกที่ดีที่สุดก็คือ "ลี้ภัย" แล้วมันจะคุ้มกันมั้ย ก็ในเมื่อ 7.6 หมื่นล้าน ยังถูกอายัดอยู่เลย ขืนลี้ภัยไปเสียตอนนี้ ก็เท่ากับสละสิทธิ์ที่จะทวงคืนเงิน ปล่อยให้รัฐบาลสมัคร ฮุบเงินเข้าหลวง...ทำได้เต็มที่ก็แค่มองตาละห้อย บุคลิก ทัศนคติ บวกกับแรงเชียร์ทั้งจากชาวบ้านร้านตลาด และบรรดาลูกหลานที่มาให้กำลังใจ คนอย่างพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่น่าจะเลือกที่จะถอดใจง่ายๆ แน่ !
จะสู้อย่างไร สู้แบบไหน นั่นเป็นเรื่องที่บรรดากุนซือทั้งหลาย โดยเฉพาะขุนพลอีสานใต้ น่าจะระดมสรรพกำลังเพื่อช่วยเหลือนายใหญ่ เช่นเดียวกับอดีตคนวงในที่เคยแวดล้อมเมื่อครั้งยังเรืองอำนาจ ศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกประจำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยืนยันหนักแน่น ว่ามาสู้แน่ อีกทั้งไปจีนหนนี้ ก็ไปโดยตำแหน่งที่มีเกียรติ และไปในนามของประเทศ
ถึงแม้จะกังขาว่า
"ไปในนามประเทศ" ที่โฆษกส่วนตัวแถลงว่าประเทศไหน แต่เรื่องนี้เท่ากับยืนยันได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะเลือกที่จะกลับมาสู้
ถามว่าในขณะที่ตุลาการภิวัตน์กำลังเข้มข้นเช่นนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ จะสู้แบบไหน ด้วยวิธีใด
นอกจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญอันเป็นเงื่อนปมที่หากคลี่คลายได้เมื่อใด ทุกอย่างก็จะตาลปัตรไปหมด และเป็นผลดีต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่ช่องทางนี้ก็เสี่ยงที่จะทำร้ายประเทศและผู้คนในชาติ
พ.ต.ท.ทักษิณ คงไม่อยากให้ตัวเองรอดแล้วเดินย่ำไปบนคราบเลือดและซากปรักหักพังของบ้านเมืองกระมัง
ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็ต้องรอให้คดีถึงที่สุด ยอมรับสภาพ แล้วจะขอผ่อนหนักเป็นเบา
ถวายฎีกา ..!!!?