ทักษิณเตือนปฏิวัตินองเลือดมากกว่าคราวที่แล้ว

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ให้สัมภาษณ์นายโธมัส แครมป์ตัน อดีตผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์อินเตอร์เนชันแนล เฮรัลด์ ทริบูน (ไอเอชที) และนิวยอร์กไทม์ส โดยเตือนกลุ่มผู้ชุมนุมประท้วงที่เข้าปิดล้อมสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิว่าให้ย้ายออกไป มิฉะนั้นก็เตรียมพบกับผลลัพธ์ที่จะตามมา
ทั้งนี้ คาดว่า การให้สัมภาษณ์นายแครมป์ตัน อดีตผู้นำไทย ซึ่งขณะนี้ต้องคดีและหลบหนีไปอยู่ต่างประเทศ น่าจะเป็นที่โรงแรมแห่งหนึ่งในฮ่องกง เนื่องจากอดีตผู้สื่อข่าวคนนี้ เป็นอดีตประธานสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศประจำฮ่องกง และได้ให้เบอร์โทรศัพท์มือถือที่สามารถติดต่อได้ในฮ่องกง
ในบทสัมภาษณ์ชิ้นนี้ ซึ่งถูกนำไปโพสต์เป็นคลิปวิดีโอไว้ที่เว็บไซต์ของนายแครมป์ตันในชื่อ http://www.thomascrampton.com> อดีตผู้นำไทย เตือนว่าหากทหารจะทำรัฐประหารครั้งนี้จะเกิดการนองเลือดมากกว่าคราวที่แล้ว และรู้สึกกลุ้มใจอย่างมากกับเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นในเมืองไทย โดยตัวเขาเองยังเฝ้าติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
นายแครมป์ตัน ระบุไว้ในเว็บไซต์ด้วยว่า ระหว่างให้สัมภาษณ์ พ.ต.ท.ทักษิณได้รับโทรศัพท์สอบถามถึงสถานการณ์ในเมืองไทยจากนายกรัฐมนตรีของประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 2 คนซึ่งไม่ได้ระบุว่าเป็นใคร
นอกจากนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายเคารพกฏหมายและเตือนว่าการพยายามทำรัฐประหารครั้งนี้จะไม่เหมือนครั้งก่อนๆและจะทำให้สถานการณ์ออกมาเลวร้ายมาก
"สนามบินจะต้องเปิดใช้อีกครั้งและกลุ่มผู้ประท้วงจะต้องไม่เพียงแต่เคารพกฏหมายเท่านั้น แต่รวมถึงประชาชนชาวไทยด้วย หากไม่มีใครเคารพกฏหมายแล้ว จะต้องมีการบังคับใช้อย่างจริงจังตามมา นี่เป็นอันตรายมากสำหรับประเทศและจะมีผลกระทบในระยะยาวหากคนไทยไม่สามัคคีกัน กลุ่มผู้ประท้วงต้องออกจากสนามบิน และผู้ที่ไม่เคารพกฏหมายจะต้องถูกลงโทษ" พ.ต.ท.ทักษินกล่าว
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังเรียกร้องให้กลุ่มผู้สนับสนุนเขาปกป้องประชาธิปไตย โดยกล่าวว่า หากปกป้องประชาธิปไตย พวกเขาเหล่านั้นอาจจะเจ็บปวดเป็นบางครั้ง แต่ถ้ายินยอมให้เผด็จการเข้าครอบครองประเทศ พวกเขาจะต้องพบกับฝันร้ายตลอดชีวิต
พ.ต.ท.ทักษิณ ยังกล่าวถึงกองทัพว่า เป็นเจ้าหน้าที่ที่ได้รับเงินเดือนจากภาษีของประชาชน ดังนั้นจะต้องทำในสิ่งที่ประชาชนทั้งประเทศต้องการ ไม่ใช่เพื่อคนกลุ่มเล็กๆ และพวกเขาจะต้องเคารพประชาธิปไตย เคารพกติกา รวมทั้งเป็นกลาง ซึ่งหมายถึงจะต้องทำตามกฏหมาย
พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวด้วยว่า "ชีวิตผมบางทีก็คล้ายฝันไป เช้าวันหนึ่งเคยอยู่ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองในอังกฤษและได้รับโทรศัพท์จากนักการเมืองไทยขอร้องให้ช่วยสนับสนุนเพื่อให้ได้ตำแหน่งทางการเมือง ไม่กี่วันถัดมาขณะที่อยู่นอกประเทศอังกฤษ ก็พบว่าไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้อีกแล้ว บางครั้งชีวิตผมก็มีเรื่องแปลกประหลาดเกิดขึ้นมากมาย"

กระแสปฏิวัติหนาหูเสื้อแดงเชียงใหม่ระดมป้อง"สมชาย"

ท่ามกลางกระแสข่าวจะมีการปฏิวัติที่หนาหู บรรยากาศที่หน้าบ้านพักของ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ภายในหมู่บ้านกรีนวัลเล่ย์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ เป็นไปอย่างเงียบเหงา มีเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภาค 5 และชุดสืบสวนภูธร จ.เชียงใหม่ วางกำลังอารักขาโดยรอบอยู่ ประมาณ 15 นาย เท่านั้น
ส่วนภายในบ้านถูกปิดเงียบเปิดไฟสลัวไว้บนชั้นสอง ไม่เป็นที่แน่ชัดว่า หลังจากที่นายกรัฐมนตรี ได้ออกอากาศสด เพื่อแถลงการณ์ชี้แจงการประชุมวิดิโอคอนเฟอร์เร้นท์ผ่านทางสถานีโทรทัศน์ไปในช่วงเวลา 19.00น.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี จะยังคงอยู่ในบ้านหรือได้เดินทางออก ไปนอนค้างที่อื่นหรือไม่
แต่เป็นที่สังเกตว่า หลังการแถลงการณ์ออกอากาศสดจบลง ได้มีรถแวนสี บรอนยี่ห้อโตโยต้า รุ่นฟอร์จูนเนอร์ติดฟิล์มดำ ซึ่งเป็นคันเดียวกันกับที่นายรัฐมนตรี ได้ใช้ในการเดินทางไปประชุมที่ศาลากลางในช่วงเช้าขับออกไปจากบ้านพักนายกรัฐมนตรีในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกับที่รถโอบี สำหรับใช้ในการถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีเชียงใหม่และรถข่าวของสื่อมวลชน ได้ทยอยเดินทางออกไป
ซึ่งรถที่คาดว่าจะเป็นรถยนต์ของนายกรัฐมนตรี นั้นได้หลบออกไปประตู เล็กอีกฟากหนึ่งของหมู่บ้าน ไม่ได้เข้าออกทางประตูใหญ่ อย่างตามปกติที่นายกฯใช้เป็นเส้น ทางออกไปปฏิบัติภาระกิจข้างนอก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าต่อมาในช่วงเวลา 21.00 น.ต่อเนื่องไปจนถึงกลางดึกม็อบเสื้อแดง กลุ่มรักเชียงใหม่ 51ซึ่งมีไม่ต่ำกว่า 100 คน ได้ระดมคนเดินทางมารวมตัวกันที่ริมถนนด้านหน้า ทางเข้าหมู่บ้านกรีนวัลเล่ย์ เพื่ออารักขานายสมชาย มีการตั้งเต้นท์ นำอาหารมาอยู่กินเฝ้าเวรยาม ในการอารักขานายกรัฐมนตรีตลอดทั้งคืน
โดยมีการส่งคนไปยืนอยู่ประจำจุดตั้งด่านร่วมกับ รปภ.หมู่บ้าน มีการเรียกตรวจค้นผู้ขับรถเข้าออกของหมู่บ้านอย่างเข้มงวด รวมถึงขอตรวจดูบัตรของผู้สื่อข่าวทุกคัน ที่จะผ่านเข้าไปข้างใน โดยกลุ่มเสื้อแดงที่มารวมตัวกันนี้ได้มีการแจกอาวุธไม้กระบองให้กับผู้มาชุมนุม หลายคนได้แต่งกายสวมหน้ากาก และห้ามผู้สื่อข่าว ไม่ให้ถ่ายภาพการ์ดที่ยืนอยู่ติดกับถนนใหญ่ โดยแจ้งว่าหากถ่ายรูปจะยึดกล้องทันที
นายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล แกนนำกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ซึ่งเป็นแกนนำพาผู้ชุมนุม มาอารักขานายกรัฐมนตรีกล่าวว่า กลางดึกกลุ่มเสื้อแดง จะทยอยกันมาทำหน้าที่การ์ดอารักขา นายกรัฐมนตรีกันมากขึ้น โดยกลุ่มเสื้อแดงจาก จ.นครสรรค์ พิษณุโลก รวมทั้งอุดรธานี กำลังเดินทาง และจะมาสมทบในกลางดึกคืนนี้
และในรุ่งเช้าพรุ่งนี้(29พ.ย.51)กลุ่มเสื้อแดงจากหลายจังหวัด ที่มาสมทบกับเชียงใหม่จะไปแสดงพลังในการเข้ายึดศาลากลางจ.เชียงใหม่ เพื่อให้ความมั่นใจนายกรัฐมนตรี ได้ทำงานบริหารประเทศที่ จ.เชียงใหม่ ได้อย่างสบายใจไม่ต้องหวาดระแวง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ในช่วงค่ำวันเดียวกันนี้ เป๋ คลองเตย ได้ขึ้นเวทีปราศรัยของ กลุ่มนรักเชียงใหม่ 51ที่บริเวณด้านหน้าโรงแรมแกรนด์วโรรส และกล่าวในเวที ซึ่งมีการออกอากาศ สดในวิทยุคลื่น 92.5 เมกกะเฮิร์ตซ์ โดยเป๋ คลองเตย ได้กล่าวว่า เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมาเป๋ คลองเตยพร้อมกับนายเพชรวรรต และแกนนำอีกคนได้มีโอกาสเข้าพบนายกรัฐมนตรีหลังการ ประชุม ครม.ที่เชียงใหม่
โดยนายกรัฐมนตรีได้เล่าให้ฟังว่า การที่นายกรัฐมนตรีออกข่าวว่า ล้อเครื่องบินขัดข้อง ทำให้ไม่สามารถออกจากเปรูกลับมาถึงประเทศไทยได้ตามกำหนดนั้นต้องล่าช้านั้น ความจริงแล้วล้อเครื่องบินไม่ได้ขัดข้อง แต่เป็นเพราะมีข่าวว่า จะมีคนมาล็อคตัวนายกรัฐมนตรีที่สนามบินต่าง ๆ ทำให้นายกรัฐมนตรีต้องออกข่าวมาเช่นนั้น
และต้องบินวนอยู่นาน 20 กว่าชั่วโมง เกือบจะลงที่อู่ตะเภา แต่มีพิรุธที่ทางอู่ตะเพา เชิญชวนให้มาลงได้ง่ายเกินไปจึงผิดสังเกตเลยไม่ยอมลง ในที่สุดตัดสินใจมาลงที่สนามบินเชียงใหม่ในวินาทีนั้น นายกรัฐมนตรีเล่าให้ฟังว่าความจริงแล้วก็ยังไม่มั่นใจ แต่เมื่อตัดสินใจมาลงแล้วเห็นเสื้อแดงอยู่กันเต็มก็เลยโล่งอก

สื่อต่างชาติมองต้นตอมาจากทักษิณ

เว็บไซต์ของหนังสือพิมพ์ อินดิเพนเดนท์ ของอังกฤษ รายงานเมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน ว่าต้นตอของความวุ่นวายทางการเมืองในขณะนี้เกิดจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยฝ่ายขับไล่ พ.ต.ท.ทักษิณระบุว่า แม้จะถูกโค่นจากตำแหน่งในเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อปี 2549 แต่ พ.ต.ท.ทักษิณยังคงมีอิทธิพลควบคุมรัฐบาลผสมที่นำโดยพรรคพลังประชาชน ซึ่งมีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นนายกรัฐมนตรีระยะหนึ่ง และต้องพ้นตำแหน่งไปหลังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าขาดคุณสมบัติการเป็นนายกรัฐมนตรีจากกรณีเป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์
อินดิเพนเดนท์รายงานด้วยว่า พรรคพลังประชาชนผลักดันให้นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ น้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ทำให้เผชิญกับเสียงต่อต้านยิ่งขึ้นจากฝ่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เข้ายึดทำเนียบรัฐบาลตลอดสามเดือนเพื่อกดดันให้นายสมชายลาออก
"ทักษิณ" ต้นตอปัญหา
รายงานข่าวของอินดิเพนเดนท์สอดคล้องกับหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียล ไทม์ส ที่ระบุว่า รากเหง้าของความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างฝ่ายพันธมิตรและรัฐบาลในขณะนี้มาจาก พ.ต.ท.ทักษิณ รวมทั้งระบุว่า ทักษิณเป็นผู้นำเผด็จการ และถูกฝ่ายตรงข้ามกล่าวหาว่าใช้อำนาจในตำแหน่งเพื่อสร้างความร่ำรวยให้แก่ตัวเองและครอบครัว ทำให้กระแสความไม่พอใจของประชาชนต่อตัวเขาขยายตัวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดต้องเผชิญกับการรัฐประหาร
นายทิม จอห์นสตัน ผู้สื่อข่าวของไฟแนนเชียล ไทม์ส ระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณเข้าสู่เวทีการเมืองด้วยการคว้าชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งเมื่อปี 2544 โดยอาศัยเสียงสนับสนุนจากคนยากจนในพื้นที่ชนบททางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และอินดิเพนเดนท์บอกว่า ฝ่ายพันธมิตรเชื่อว่า คนชนบทที่ให้การสนับสนุนพรรคพลังประชาชนไม่มีการศึกษามากพอที่จะเข้าไปมีส่วนร่วมในการเมือง จึงควรให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการแต่งตั้งมากกว่าการเลือกตั้ง
นอกจากนี้ นิตยสารดิ อิโคโนมิสต์ วิจารณ์ว่า ประเทศไทยและฟิลิปปินส์ทำให้ประชาธิปไตยในเอเชียเสียชื่อ โดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้พยายามครั้งสุดท้ายที่จะกระตุ้นให้เกิดความรุนแรง และบีบบังคับให้ทหารออกมาปฏิวัติอีกครั้ง ทั้งบุกยึดสนามบิน และการ์ดพันธมิตรก็มีพฤติกรรมใช้ความรุนแรง ทั้งยิงปืน ถือไม้ทำร้ายร่างกาย ซึ่งทำให้พันธมิตรเสียแรงสนับสนุนจากชนชั้นกลางในกรุงเทพฯ ไปมาก นอกเหนือไปจากความต้องการนำประเทศกลับไปสู่การปกครองแบบประชาธิปไตยครึ่งใบสมัยทศวรรษที่ 2533 ที่รัฐบาลล้วนเต็มไปด้วยกลุ่มคนชั้นสูง และทหาร
นิตยสารดังกล่าวระบุอีกว่า แรงกระตุ้นที่ทำให้พันธมิตรออกมาขับไล่เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ใช้การเลือกตั้งมาอย่างถูกกฎหมายของตัวเองเป็นใบอนุญาตที่เปิดทางให้เขาทำอะไรก็ได้ นักวิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกคุกคาม ผลประโยชน์ทับซ้อนระหว่างอำนาจนายกรัฐมนตรีและการเป็นเจ้าของอาณาจักรธุรกิจของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้รับการตรวจสอบความโปร่งใส ทั้งยังแต่งตั้งพวกพ้องคนสนิทเข้ามาคุมสถาบันสำคัญต่างๆ ของประเทศ ไปจนถึงตำแหน่งผู้นำระดับสูงของกองทัพ จนกองทัพหมดความอดทนและออกมาปฏิวัติ

สื่อโลกจับตาไทยเตรียมสลายม็อบ
หลังจากที่นายสมชายประกาศพระราชกำหนดฉุกเฉินเพื่อให้อำนาจตำรวจเข้าสลายการชุมนุมประท้วงของกลุ่มพันธมิตร ที่เข้ายึดสนามบินสุวรรณภูมิและสนามบินดอนเมืองมาตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา สื่อมวลชนต่างชาติก็จับตาการสลายการชุมนุม โดยสำนักข่าวเอพีรายงานว่า นายกรัฐมนตรีสมชายไม่ได้บอกว่าเจ้าหน้าที่จะเคลื่อนกำลังเข้ายึดสนามบินคืนเมื่อใด
ด้านอาจารย์ปณิธาน วัฒนายากร จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บอกว่า หากรัฐบาลใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และตัดสินใจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม กองทัพบกก็อาจตัดสินใจเข้าแทรกแซง รายงานระบุด้วยว่า รัฐบาลไทยเคยประกาศ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อ 3 เดือนก่อน หลังผู้ประท้วงบุกเข้ายึดทำเนียบรัฐบาล แต่ไม่มีผลเนื่องจากทหารไม่เอาด้วย
ด้านสำนักข่าวเอเอฟพีรายงานว่า กลุ่มพันธมิตรยืนยันพร้อมสู้ตายหากตำรวจเข้าสลายการชุมนุม ขณะที่ตำรวจจะเจรจากับผู้ประท้วงที่ยึดสนามบินทั้งสองแห่งไว้ ก่อนที่จะมีการใช้กำลังเข้าปราบปรามใดๆ เช่นเดียวกับสำนักข่าวอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น บีบีซี สกายนิวส์ ซีเอ็นเอ็น เอบีซี ซีบีเอส และอีกมากมายหลายสื่อจากทั่วโลก ที่เกาะติดรายงานสถานการณ์ในประเทศไทยไปในทำนองเดียวกัน

ทูตปินส์เผยไทยจ่ายผู้โดยสาร 2 พัน
หนังสือพิมพ์ เดลีย์ อินไควเรอร์ ของฟิลิปปินส์ รายงานอ้างการเปิดเผยของนายอันโตนิโอ โรดริเกซ เอกอัครราชทูตฟิลิปปินส์ประจำประเทศไทย ที่ระบุว่า รัฐบาลไทยจะจ่ายเงินให้ผู้โดยสารที่ตกค้าง 2,000 บาทต่อคนต่อวัน ซึ่งเงินจำนวนนี้น่าจะเพียงพอสำหรับค่าอาหารและที่พัก ซึ่งแนวทางนี้จะช่วยลดภาระของผู้โดยสารตกค้างซึ่งรวมถึงชาวฟิลิปปินส์ 144 คน ที่ร้องขอความช่วยเหลือมายังสถานทูตแล้ว
ขณะที่สายการบินมาเลเซีย แอร์ไลน์ส ได้ส่งเครื่องบินหนึ่งเที่ยวบินจากกรุงกัวลาลัมเปอร์มารับผู้โดยสารหลายร้อยคนที่ยังตกค้างอยู่ที่กรุงเทพฯ ที่สนามบินอู่ตะเภา และจะส่งมาในวันเสาร์อีก 2 เที่ยวบิน โดยใช้เครื่องบินแอร์บัสที่สามารถลำเลียงผู้โดยสารได้ 290 คน มากกว่าเครื่องบินที่ใช้เดินทางปกติที่จุผู้โดยสารได้เพียง 144 คน

เยอรมันกว่าพันคนยกเลิกแผนเที่ยวไทย
หลังจากที่นักท่องเที่ยวหลายประเทศยกเลิกการเดินทางมายังประเทศไทย ล่าสุดบริษัทท่องเที่ยวในเยอรมนีหลายแห่งได้ยกเลิกแผนการเที่ยวประเทศไทยของนักท่องเที่ยวชาวเยอรมันประมาณ 1,200 คน เนื่องจากสนามบินสุวรรณภูมิยังคงใช้การไม่ได้เพราะถูกกลุ่มผู้ประท้วงยึดไว้ ขณะที่สายการบินที่ให้บริการเที่ยวบินไป-กลับกรุงเทพฯ-เยอรมนี ทั้งการบินไทย ลุฟท์ฮันซ่า และแอร์เบอร์ลิน ยกเลิกเที่ยวบินทั้งหมด อย่างไรก็ดี ล่าสุดทางการบินไทยและลุฟท์ฮันซ่า เปิดเผยว่าจะเริ่มให้บริการเที่ยวบินอีกครั้งโดยใช้สนามบินอื่นในประเทศไทย
โฆษกสายการบินลุฟท์ฮันซ่าเปิดเผยโดยยกตัวอย่างของเที่ยวบินขาออกจากเมืองแฟรงก์เฟิร์ตที่มีผู้โดยสารจองเต็มซึ่งเดิมมีกำหนดออกเดินทางเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ล่าสุดได้ปรับเวลาออกเดินทางเป็น 09.50 น.วันศุกร์ตามเวลาท้องถิ่น และจะบินไปลงที่สนามบิน จ.ภูเก็ต สำหรับการบินไทยเปิดเผยว่าจะยกเลิกเที่ยวบินจากมิวนิคชั่วคราว ส่วนเที่ยวบินจากแฟรงก์เฟิร์ตจะให้บริการในวันศุกร์และวันเสาร์ โดยจะย้ายไปลงจอดที่สนามบินอู่ตะเภา ขณะที่สายการบินเคนยา แอร์เวย์สได้ประกาศระงับเที่ยวบินมากรุงเทพฯ ทั้งหมด ซึ่งมีอยู่ 6 เที่ยวบินต่อสัปดาห์อย่างไม่มีกำหนด


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์