นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
กล่าวบนเวทีพันธมิตรฯ เมื่อเวลา 20.00 น. ว่า แม้ว่าหนังสือพิมพ์ผู้จัดการไม่สำคัญเท่ากับ "เอเอสทีวี" ถ้ายังไม่ตายมีลมหายใจต้องคลานเข้าไปและต้องสู้จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ฉะนั้นพรุ่งนี้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการจะออกเหมือนเดิมแต่เราออกเป็นฉบับพิเศษ เขียนตัวเล็กๆว่า "รายงานข่าวการชุมนุมของพันธมิตรผ่านเอเอสทีวีโดยทีมงาน"เขียน"ผู้จัดการ" ตัวใหญ่ๆ
นายสนธิ กล่าวว่า ขณะนี้มีรายได้จากค่าโฆษณาประมาณหลายสิบล้านบาทจะหมุนเข้ามาในอีก 30-60 วันข้างหน้า แต่วันนี้เก็บไม่ได้แม้แต่บาทเดียวต้องเริ่มจากศูนย์
"ทุกคนมีเลือดนักสู้เข้มข้นไม่มีใครยอมแพ้แม้แต่คนเดียว ผมโดนอาวุธทุกรูปแบบ เลือดมันไหลอยู่ข้างในอมเลือดไว้ตลอด ยังไงเราต้องออก ภายใต้หัวหนังสือใหม่ ต้องไปกราบกรานเจ้าของโรงพิมพ์กระดาษ ติดหนี้ติดสินก็ต้องยอม เจ๊งเป็นเจ๊งตายเป็นตาย เคยเห็นไหมว่าล้มละลายโดยที่เจ้าหนี้ไม่ได้ฟ้อง เรายื่นคำร้องขอให้พิจารณาขยายแผนฟื้นฟู หรือไม่ก็ออกจากแผนฟื้นฟูเป็นเรื่องลูกหนี้เจ้าหนี้คุยกัน วันนี้เจ้าหนี้หมดไม่เหลือแม้แต่บาทเดียว ทนายความของแบงก์เออกันหมดไม่เข้าใจ " นายสนธิกล่าว
นายสนธิ กล่าวอีกว่า คิดในใจจะมีอีกมั้ยให้มาเรื่อยๆ ไม่มีอะไรจะห้ามเลือดทุกหยดที่จะเสียสละให้สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ไม่อยากจะทวงบุญคุณว่าการต่อสู้พวกเรายากเย็นแสนสาหัสแค่ไหน
และว่า "ยังไงก็ต้องสู้จะกัดก้อนเกลือกินก็ต้องสู้ ผมไม่ได้ท้อใจไม่ท้อแต่มันยิ่งทำให้ฮึกเหิมทำให้รู้ว่าชัยชนะใกล้เข้ามาแล้วไม่ต้องกลัวถ้าตราบใดที่พี่น้องยังให้ใจกับ พันธมิตรมันจะเป็นอะไรไปกับแค่ความลำบากแค่นี้ และจะเห็นเองว่าบีบกันแค่ไหนจุดยืนของหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันรายสัปดาห์ รายเดือน เอเอสทีวี จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นอันขาด ล้มละลายแล้วยังไงไม่ล้มละลายแล้วยังไงขอให้ชาติอยู่" นายสนธิกล่าว
สนธิเมินคำสั่งแมเนเจอร์ล้มละลาย หนี้ท่วมกว่า4,700ล.
รายงานข่าวจากศาลล้มละลายกลางเปิดเผยว่า ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเมื่อบ่ายวันที่ 18 พฤศจิกายนที่ผ่านมาให้บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จำกัด(มหาชน)ล้มละลายเนื่องจากไม่สามารถดำเนินการตามแผนฟื้นฟูกิจการที่ศาลเห็นชอบได้
โดยศาลไม่เห็นชอบไม่ขยายระยะเวลาการดำเนินการตามแผนฟื้นฟูตามที่ผู้บริหารแผนยื่นคำร้อง รายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนหน้านี้ศาลนัดพิจารณาเรื่องคำร้องขอขยายระยะเวลาดำเนินการตามแผนฟื้นฟู ในวันที่ 29 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา แต่เนื่องจากผู้บริหารแผนได้รับรายงานข้อเท็จจริงของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เพื่อให้โอกาสผู้บริหารแผนได้ทำคำชี้แจงเกี่ยวกับรายงานของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ จึงเลื่อนการพิจารณามาเป็นบ่ายวันที่ 18 พฤศจิกายน 2551
แหล่งข่าวจากบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป กล่าวว่า ผลจากคำสั่งศาลดังกล่าว ทำให้หนังสือพิมพ์ผู้จัดการที่ออกจำหน่ายในวันที่ 19 พฤศจิกายน ต้องเปลี่ยนหัวจาก "ผู้จัดการ" เป็น "ผู้จัดการ 2551" เป็นการชั่วคราว
จนกว่าจะจดหัวหนังสือพิมพ์ใหม่เสร็จในนามของบริษัท เอเอสทีวีหรือไทยเดย์ ดอทคอมซึ่งเป็นเจ้าของโทรทัศน์เอเอสทีวีในปัจจุบัน แหล่งข่าวกล่าวว่า สำหรับพนักงานบริษัทซึ่งมีอยุ่ประมาณ 500 คน ฝ่ายบริหารได้เรียกประชุมชี้แจงทำความเข้าใจเมื่อเช้าวันที่ 19 พฤศจิกายนว่า บริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กรุ๊ป จะทำหนังสือเลิกจ้างอย่างเป็นทางการและให้พนักงานเขียนใบสมัครเป็นพนักงานบริษัทใหม่ในเครือของนายสนิธฺ ลิ้มทองกุล โดยพนักงานจะทำงานในตำแหน่งเดิมและเงินเดิมเท่าเดิมทุกอย่างรวมถึงกองบรรณาธิการนด้วย
"อย่างไรก็ตามประเด็นที่ยังไม่สามารถชี้แจงให้ชัดเจนได้คือ เงินชดเชยจากการเลิกจ้างของบริษัทเดิมจะได้รับหรือไม่ เพราะการเข้าทำงานกับบริษัทใหม่ต้องนับเวลาใหม่ซึ่งจะทำให้พนักงานเสียสิทธิ์" แหล่งข่าวกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศาลล้มละลายมีคำสั่ง เมื่อวันที่ 3 สิงหาคม 2542 เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการบริษัท แมเนเจอร์ มีเดีย กร๊ป ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 และแต่งตั้งน.ส.เสาวลักษณ์ ธีรานุจรรยงค์ เป็นผู้บริหารแผน โดยมีเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ 359 ราย เป็นจำนวนหนี้ที่ขอรับชำระหนี้กว่า 4,726 ล้านบาท แต่ไม่สามารถดำเนินการตามแผนได้จนศาลสั่งให้ล้มละลายในที่สุด