ผู้ดีถอนวีซ่าทักษิณ-หญิงอ้อ ทูตแจ้งสายการบินงดให้บริการ

สถานทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ทำหนังสือแจ้งสายการบินงดบริการนำ “ทักษิณ-พจมาน” เข้าประเทศอังกฤษ หลังจากสำนักงานพรมแดนฯ งดวีซ่าของบุคคลทั้งสองแล้ว สภาทนายชี้ "แม้ว" โฟนอิน หมิ่นศาล พาดพิงเบื้องสูง ทนายเชื่อ "ส.ศิวรักษ์" ถูกจับโยงการเมือง หลังวิจารณ์แม้วโฟนอินไม่บังควร ด้าน ผบ.เหล่าทัพเตรียมนัดถกแนวทางยุติขัดแย้งในชาติอีกรอบ สมัครสลดใจคนไทยก้าวร้าว

มีรายงานจากคณะกรรมการดำเนินงานด้านธุรกิจการบิน (Airport Operations Committee) หรือเอโอซี เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน นายแอนดี้ เกรย์ ผู้จัดการฝ่ายกิจการตรวจคนเข้าเมือง สำนักงานพรมแดนสหราชอาณาจักร สถานเอกอัครราชทูตอังกฤษประจำกรุงเทพฯ ได้ส่งอีเมลถึงสายการบินที่เป็นสมาชิกเอซีโอ เพื่อแจ้งเตือนให้ทราบว่า สำนักงานพรมแดนฯ ได้ยกเลิกวีซ่าเข้าสหราชอาณาจักรที่ถือโดยบุคคลสัญชาติไทยดังนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หนังสือเดินทางไทยหมายเลข D 215863 และคุณหญิงพจมาน ชินวัตร หนังสือเดินทางไทยหมายเลข D 206635 เนื่องจากวีซ่าที่ประทับในหนังสือเดินทางดังกล่าวไม่สามารถใช้ได้ต่อไป จึงขอแนะนำสายการบินทั้งหลายงดให้บริการนำบุคคลทั้งสองเข้าประเทศอังกฤษ

 แหล่งข่าวกล่าวว่า หนังสือดังกล่าวทางสายการบินที่อยู่ในไทยคงจะได้รับพร้อมๆ กับสายการบินอื่นๆ ทั่วโลกเท่ากับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ที่ขณะนี้อาศัยอยู่ที่ฮ่องกงไม่สามารถบินเข้าอังกฤษได้แล้วตั้งแต่สายการบินได้รับหนังสือแจ้งเตือนนี้

สภาทนายชี้ "แม้ว" โฟนอิน หมิ่นศาล

 นายเดชอุดม ไกรฤทธิ์ นายกสภาทนายความ ออกแถลงการณ์สภาทนายความ วันที่ 7 พฤศจิกายน ระบุว่าการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผู้หลบหนีโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ปราศรัยกับผู้สนับสนุนผ่านระบบการประชุมทางโทรศัพท์ทางไกลผ่านจอภาพในรายการความจริงวันนี้ สัญจร เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมานั้น เห็นว่า ลักษณะการปราศรัย มีการตั้งคำถามและคำตอบล่วงหน้า ซึ่งนำมาสู่การพิจารณาคดีว่ากระทำผิดหรือไม่ โดยคำถามนั้นกระทบต่อกระบวนการยุติธรรม ซึ่งน่าจะเป็นการวางแผนชัดเจนเพื่อจะลดความน่าเชื่อถือของคำพิพากษาศาลฎีกาฯ อันเป็นการกล่าวลบหลู่หรือดูหมิ่นดุลพินิจศาล และการปราศรัยยังมีความพยายามโยงถึงการปฏิวัติรัฐประหาร รวมทั้งสถาบันพระมหากษัตริย์ด้วย

 แถลงการณ์ระบุว่า คำปราศรัยของ พ.ต.ท.ทักษิณตอนหนึ่งที่ระบุว่า “ไม่มีใครเอาผมกลับประเทศไทยได้หรอกครับ นอกจากพระบารมีที่จะทรงมีพระเมตตา หรือไม่ก็ด้วยพลังของพี่น้องประชาชนเท่านั้น จริงไหม” นั้น กรณีดังกล่าวไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นได้ว่า พลังของประชาชนที่อ้าง จะเท่ากับพระราชอำนาจในการอภัยโทษขององค์พระประมุข ซึ่งเป็นการใช้ถ้อยคำที่มีเจตนาก้าวล่วงพระบรมราชวินิจฉัยในเรื่องการอภัยโทษอย่างชัดเจน เป็นลักษณะคำถามแบบปิดพระบรมราชวินิจฉัยโดยสิ้นเชิง ซึ่งการปราศรัยเป็นความพยายามหลีกเลี่ยงอาญาให้พ้นจากคำพิพากษาโดยไม่คำนึงถึงข้อปฏิบัติทางจริยธรรม และรีบด่วนขอพระราชทานอภัยโทษโดยที่คดียังไม่ถึงที่สุด

 สภาทนายความยืนยันว่า ผู้ส่งเสริม สนับสนุนการกระทำดังกล่าว ด้วยการกระทำซ้ำอีกหรือนำเทปดังกล่าวมาเผยแพร่โฆษณาอีก เข้าข่ายสนับสนุนสมรู้ร่วมคิดให้เกิดการกระทำผิด ซึ่งผู้จัดรายการ เจ้าของรายการ ผู้อำนวยการสถานี ต้องร่วมกันรับผิดชอบ รวมถึงนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ส.ส.และ ส.ว.ด้วยที่ให้การสนับสนุนผู้กระทำผิด ถือว่าเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมอย่างร้ายแรง ซึ่งประชาชนกว่า 2 หมื่นคน มีสิทธิ์เข้าชื่อร้องขอต่อประธานวุฒิสภา เพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนบุคคลดังกล่าวออกจากตำแหน่งได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 164 และ 270

 นายเดชอุดมกล่าวด้วยว่า จากประสบการณ์ในชีวิตที่ผ่านมา ไม่เคยได้ยิน หรือแทบไม่ได้ยินจำเลยพูดว่า โดนยัดเยียดคุกให้ แม้แต่จำเลยที่ศาลประหารชีวิต กับเรื่องนี้เห็นว่าเป็นอันตรายต่อสังคม ส่วนที่มีข่าวว่าฝ่ายกองทัพจะปรึกษามายังสภาทนายความนั้น แถลงการณ์ดังกล่าวคือคำตอบจากสภาทนายความ

 "แม้ สตช.จะมีมติว่าไม่ผิด ก็ไม่เป็นไร แต่เรามองอดีตตำรวจที่ทำผิดในอีกมุมหนึ่ง การวิเคราะห์อันนี้เป็นตัวอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในประเทศไทย เป็นเรื่องแรก หรือคดีแรกของนักการเมืองที่พูดตำหนิศาลและก้าวล่วงสถาบันผ่านวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ทั้งๆ ที่ต้องโทษอยู่ ไม่รู้ว่าเป็นไปได้อย่างไร แต่เราก็ปล่อยให้มันเกิด" นายกสภาทนายความกล่าวและว่า ในส่วนของผู้พิพากษาจะพิจารณาดำเนินการหรือไม่ ศาลเป็นผู้เสียหายโดยตรง ซึ่งดูหมิ่นศาล เป็นคดีอาญา และตรงนี้เกี่ยวเนื่องกับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงเป็นดุลพินิจของประธานศาลฎีกา

"วีระ"ดึง ปธ.ศาลฎีการ่วมเอาผิดแม้ว

 ที่ศาลฎีกา นายวีระ สมความคิด ประธานกลุ่มพิทักษ์สิทธิเสรีภาพของประชาชน แนวร่วมพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เข้ายื่นหนังสือถึงนายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา ผ่านสำนักงานเลขานุการศาลฎีกา โดยแนบเอกสารประกอบเป็นหลักฐานที่ได้ยื่นร้องทุกข์กล่าวโทษ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี ในคดีทุจริตที่ดินรัชดาฯ กระทำการดูหมิ่นผู้พิพากษาในการพิจารณาคดีดังกล่าวต่อกองปราบปราม โดยหนังสือดังกล่าวได้ร้องขอให้ประธานศาลฎีกา ในฐานะผู้นำสถาบันศาลยุติธรรมเข้ามาร่วมเป็นผู้เสียหาย เพราะตามกระบวนการ พนักงานสอบสวนกองปราบปรามคงจะมาสอบปากคำตัวแทนศาลยุติธรรมในฐานะผู้เสียหายด้วย

 นายวีระกล่าวว่า หนังสือที่ส่งถึงประธานศาลฎีกา มีเนื้อหาร้องขอให้ประธานศาลฎีกาติดตามความเสียหายที่เกิดกับศาลยุติธรรม เพราะหากปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณพูด ไม่เพียงองค์คณะคดีที่ดินรัชดาฯ 9 คนเสียหาย แต่สถาบันศาลยุติธรรมจะเสียหายไปทั้งหมด ดังนั้นหากพบว่ามีอะไรที่เป็นความผิดต้องดำเนินคดี แต่จะทำด้วยวิธีการใดเป็นสิทธิ์และอำนาจของประธานศาลฎีกา

สตช.ชี้สภาทนายเห็นต่างเรื่องปกติ

 พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผบช.ก. ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีที่สันติบาลสรุปการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณไม่เข้าข่ายหมิ่นสถาบัน ตามมาตรา 112 แต่สภาทนายความออกมาระบุว่า การโฟนอินของพ.ต.ท.ทักษิณ ผิด จะดำเนินการอย่างไรว่า การที่สันติบาลมีความเห็นว่าการโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่หมิ่นฯ นั้น ก็เป็นความเห็นในฐานะของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อสันติบาลมีความเห็นว่าไม่หมิ่นฯ ก็ถือเป็นที่สุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติก็ไม่ดำเนินคดีเองในฐานะเจ้าพนักงานที่สามารถดำเนินคดีได้โดยไม่ต้องมีผู้ร้องทุกข์ แต่เมื่อมีผู้มาร้องทุกข์ก็เป็นคนละเรื่องกัน เราก็ดำเนินการรวบรวมพยานหลักฐานไปตามกฎหมายตามที่มีผู้ร้องทุกข์มาก็ต้องทำคดีให้ถึงที่สุด ซึ่งตนมองว่าการมีความเห็นต่างกันของสันติบาลและสภาทนายความ ถือเป็นเรื่องปกติ เพราะความเห็นทางกฎหมายก็จะแตกต่างกันไป

ทนาย ส.ศิวรักษ์ เชื่อคดีโยงการเมือง

 กรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจขอนแก่น นำโดย พ.ต.อ.คัชชา ธาตุศาสตร์ รอง ผบก.ภ.จว.ขอนแก่น พร้อมกำลัง เข้าจับกุมนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือ ส.ศิวรักษ์ อายุ 76 ปี นักคิดนักเขียนชื่อดัง ตามหมายจับศาลจังหวัดขอนแก่น เลขที่ 431/2551 ลงวันที่ 22 กันยายน 2551 ในข้อหาหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ พระราชินี และรัชทายาท กรณีการไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2550 โดยมีข้อความบางตอนเข้าข่ายหมิ่นเบื้องสูง โดยจับกุมที่บ้านเลขที่ 127 ซอยสันติภาพ แขวงสี่พระยา เขตบางรัก กทม. เมื่อคืนวันที่ 6 พฤศจิกายน 2551 และได้ควบคุมตัวนายสุลักษณ์ มาสอบสวนที่ สภ.เมืองขอนแก่น กลางดึกวันเดียวกันนั้น

 นายสมชาย หอมละออ ทนายความส่วนตัวของนายสุลักษณ์ กล่าวว่า เตรียมนำเสนอพยานหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่พูดไปไม่ได้มีเจตนาในการที่จะดูหมิ่นเบื้องสูง

 นายสมชายกล่าวว่า ทุกครั้งที่นายสุลักษณ์พูดหรือบรรยายจะมีตำรวจสันติบาลเข้าฟังและเก็บข้อมูลทุกครั้งโดยเฉพาะที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น นายสุลักษณ์มาบรรยายหลายครั้ง หากตำรวจเห็นว่าผิดก็ควรดำเนินคดีก่อนหน้านี้ แต่กลับเพิ่งดำเนินคดีช่วงนี้ ทำให้สังสัยว่าเกี่ยวข้องกับเรื่องทางการเมืองหรือไม่ โดยเฉพาะการที่นายสุลักษณ์ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ พ.ต.ท.ทักษิณ กรณีการโฟนอินในรายการความจริงวันนี้สัญจร เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา และพูดถึงการขอพระราชทานอภัยโทษ ที่นายสุลักษณ์วิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นการกระทำที่ "มิบังควร" เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน และต่อมาวันที่ 6 พฤศจิกายน ตำรวจก็จับกุมนายสุลักษณ์ ขณะที่การบรรยายมีตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2550 จึงทำให้เกิดข้อสงสัยว่า เป็นคดีการเมืองไปแล้วหรือไม่ โดยในชั้นสอบสวนนายสุลักษณ์ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา

ผบ.ทบ.หนุนแนวทางเสวนาเพื่อสันติ

 พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ให้สัมภาษณ์กรณีการสนับสนุนพื้นที่ของกองทัพบก เพื่อรณรงค์หยุดการใช้ความรุนแรงว่า ได้เรียน นพ.วันชัย วัฒนศัพท์ ผอ.ศูนย์สันติวิธีและธรรมาภิบาล ในฐานะหัวหน้าคณะกรรมการประสานงานเครือข่ายสานเสวนาเพื่อสันติธรรม ไปว่า ในส่วนของกองทัพบกถ้าสามารถมีส่วนร่วมที่จะทำให้สถานการณ์บ้านเมืองดีขึ้น ก็พร้อมที่จะให้การสนับสนุน ทั้งการใช้สถานที่หรือจะใช้สื่อของกองทัพบกที่มีอยู่ รวมถึงการใช้กำลังพลในการรณรงค์ประชาสัมพันธ์

 เมื่อถามว่า กองทัพร่วมกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ดูแลเรื่องเว็บไซต์ต่างๆ ที่มีการหมิ่นสถาบันเบื้องสูงอย่างไรบ้าง พล.อ.อนุพงษ์กล่าวว่า ผู้ที่มีอำนาจหน้าที่เขาดำเนินการอยู่แล้วในส่วนนี้ ไม่ควรนำมาพูดในที่สาธารณะ ในส่วนของวิทยุชุมชนนั้นได้ใช้กลไกของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) คือให้แม่ทัพแต่ละกองทัพภาค ในฐานะที่เป็น ผอ.รมน.ภาค และ ผอ.รมน.จังหวัด ไปดำเนินการขอความร่วมมือกับวิทยุชุมชนต่างๆ น่าจะต้องพูดในเชิงที่เกิดความสร้างสรรค์ที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน

ผบ.เหล่าทัพเตรียมนัดถกแก้ปัญหาชาติ

 พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่จะมีการสานเสวนายุติความขัดแย้งของคนในชาติว่า หากมีผู้แทนที่ทุกฝ่ายยอมรับ ก็คิดว่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่สุดในขณะนี้ ส่วน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับนับถือ น่าจะเป็นคนกลางได้ แต่จะรับหรือไม่ ตนไม่แน่ใจ ทั้งนี้กระทรวงกลาโหมจะพยายามหาหนทางออก โดยจะคุยกับ ผบ.เหล่าทัพ ว่าจะมีแนวทางอีกหรือไม่ที่จะแก้ปัญหาความขัดแย้งของคนในชาติให้ยุติโดยเร็ว

 "การสานเสวนาน่าจะเป็นแนวทางแรก ถ้าไม่มีแนวทางอื่นที่ดีกว่านี้ก็ถือว่าเป็นแนวทางที่ควรจะดำเนินการ ผมเห็นว่าทุกฝ่ายน่าจะหันหน้าเข้าหากัน ถ้าไม่ถอยออกไปบ้างจะไม่เกิดโอกาสที่จะพูดคุยอย่างสันติวิธีได้ ถ้าไม่ลดทิฐิลงมาคงจะเป็นเรื่องยากที่จะนำมาสู่การนั่งโต๊ะเจรจา การนั่งเจรจาไม่ได้หมายถึงยอมแพ้ แต่น่าจะเป็นเรื่องสร้างสรรค์มากกว่าที่จะหาโอกาสมานั่งคุยกัน ถ้าไม่คุยกันต่างคนต่างพูด ต่างคนต่างคิดจะไม่มีข้อยุติที่เราจะใช้ร่วมกันได้ คิดว่าทุกคนมีเป้าหมายเหมือนกันคือต้องการให้ความสงบสุขเกิดขึ้นในชาติโดยเร็ว” พล.อ.อภิชาตกล่าว

ค้านแจกซีดีโฟนอิน-เชื่อแม้วคิดเองได้

  ส่วนที่จะมีการนำซีดีคำพูดโฟนอินของ พ.ต.ท.ทักษิณ เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน มาแจกจ่ายจะยิ่งสร้างปัญหาหรือไม่ พล.อ.อภิชาตกล่าวว่า ทุกคนรับทราบการโฟนอินเข้ามาของ พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่แล้ว หากทำแจกจะสิ้นเปลืองเงิน เพราะประชาชนรับทราบแล้วว่า พูดอะไร อย่างไร และมีการวิพากษ์วิจารณ์พอสมควรจึงควรยุติได้แล้ว

 เมื่อถามว่า หาก พ.ต.ท.ทักษิณเห็นแก่ชาติบ้านเมือง ควรหยุดการเคลื่อนไหวใช่หรือไม่ พล.อ.อภิชาตกล่าวว่า คงไปเสนอไม่ได้ ความจริง พ.ต.ท.ทักษิณคิดเองได้อยู่แล้ว ว่าจะเดินทางไหนเท่านั้นเอง

เมื่อถามถึงกรณีที่ฝ่ายการเมืองพยายามแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเสนอกฎหมายเพื่อยกเลิกคำสั่ง คปค.ฉบับที่ 27 พล.อ.อภิชาตกล่าวว่า พวกเราคิดเหมือนกัน แต่ในฐานะที่เป็นบุคลากรในกองทัพ ไม่อาจจะไปก้าวล่วงความคิดของฝ่ายรัฐบาล หรือฝ่าย ส.ส. ที่คิดว่าควรจะต้องมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ความคิดของพวกเราคิดว่าน่าจะต้องรอสักระยะหนึ่งให้สถานการณ์คลี่คลายลงไป แล้วค่อยมาว่ากันอีกที ทุกฝ่ายขณะนี้มองไปที่ตัวเองเป็นหลักมากกว่า และพยายามแก้ไขปัญหาให้แก่ตัวเองและพวกพ้องเป็นหลัก

 เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญใช่หรือไม่ พล.อ.อภิชาตกล่าวว่า ถ้ายังเป็นปัญหาขัดแย้ง และยังไม่มีข้อยุติ ยังไม่รู้ว่าจะแก้กันอย่างไร หรือบางคนนำไปบอกว่า การแก้รัฐธรรมนูญเป็นการแก้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มตัวเอง กลุ่มพวกพ้อง ถือว่าไม่ควรจะนำหยิบยกขึ้นมาในขณะนี้ ควรจะหันมาแก้ไขปัญหาของชาติก่อน

ติง "สมชาย" ทำอะไรให้ตรงไปตรงมา

 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี สั่งไม่ให้รัฐมนตรีที่เป็น ส.ส.ลงชื่อแก้รัฐธรรมนูญ แต่ไม่ได้สั่งห้าม ส.ส.ลงชื่อในการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ว่าการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เสนอโดยรัฐบาล ฉะนั้นนายกฯ อย่าทำอะไรอย่างนี้เลย ทำอะไรตรงไปตรงมาดีกว่า เพราะในความเห็นตนยังยืนยันเหมือนเดิมว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเร่งด่วน เพราะมีแต่จะทำให้บรรยากาศทางการเมืองตึงเครียดขึ้น

 ส่วนที่มีอดีต ส.ส.พรรคไทยรักไทย หนึ่งในกลุ่มบ้านเลขที่ 111 เสนอแก้กฎหมายยกเลิกประกาศ คปค.ฉบับที่ 27 เพื่อคืนสิทธิทางการเมืองนั้นเห็นว่า ขณะนี้ในบรรยากาศบ้านเมืองอย่างนี้ รัฐบาลควรจะชะลอเรื่องนี้ไว้ก่อน เวลาที่เหลือของสภา เอาเรื่องสำคัญเข้ามาพิจารณาดีกว่า ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาเพิ่มความขัดแย้ง

 นายอภิสิทธิ์ยังไม่เห็นด้วยกับกรณีที่มีพันธมิตรในสหรัฐอเมริกา ไปชูป้ายต่อต้านนายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ที่เดินทางไปรักษาตัวที่สหรัฐ เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน โดยกล่าวว่า "เรื่องนี้ ผมไม่ชอบเลย"

"หมัก" เล็งเขียนจ.ม.แจงเหตุที่สหรัฐ

 นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงกรณีที่นายสมัครพร้อมครอบครัว ถูกกลุ่มพันธมิตรในสหรัฐ ชูป้ายขับไล่ที่สนามบินฮุสตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา ขณะเดินทางไปรักษาตัวว่า ได้รับการประสานจากตัวแทนของนายสมัครที่ร่วมเดินทางไปด้วย ให้ชี้แจงว่าทันทีที่นายสมัครพร้อมครอบครัว รวม 5 คน เมื่อเดินทางไปถึงสนามบิน มีคนไทย 3-4 คนมายกป้ายด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย กล่าวหาว่าขายชาติ โดยถือป้ายขับไล่ตั้งแต่ออกจากเครื่องบิน แม้แต่ตอนที่นายสมัครอยู่ในลิฟต์ก็ยังถูกกลุ่มบุคคลดังกล่าวตามไปยกป้าย หรือช่วงที่ออกไปรอกระเป๋า ก็ยังถูกวิ่งไปล้อมหน้าล้อมหลัง ชูป้ายพร้อมตะโกนด่า ซึ่งตลอดเวลาที่ถูกกระทำดังกล่าว นายสมัครและครอบครัวไม่ได้แสดงอาการตอบโต้ หรือใช้ความรุนแรงใดๆ ส่วนที่บนเวทีพันธมิตรก็ทราบว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรได้แสดงอาการเหยียดหยาม และแสดงท่าทางล้อเลียนนายสมัคร อย่างไรก็ตามนายสมัครจะเขียนจดหมายเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดพร้อมความรู้สึกของตัวเองมาให้ เพื่อนำไปออกอากาศในรายการ "ความจริงวันนี้" ทางสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที เวลา 22.00 น. วันที่ 7 พฤศจิกายนนี้

 นายณัฐวุฒิกล่าวด้วยน้ำเสียงดุดันว่า ขอประณามการกระทำที่สนามบินฮุสตัน และบนเวทีพันธมิตรว่า ไม่ใช่การกระทำของวิญญูชน ไร้มนุษยธรรม ไม่มีจิตใจปกป้องศักดิ์ศรีของคนร่วมชาติ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่กำลังเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง สิ่งที่เกิดขึ้นนอกจากย่ำยีนายสมัครแล้ว ยังเหยียบย่ำภาพลักษณ์ประเทศไทยต่ออารยประเทศ จนเป็นข่าวไปทั่วโลก ทั้งนี้หากพันธมิตรเห็นว่า มีบัญชีใดที่คิดว่านายสมัครต้องชดใช้ ก็ให้ปล่อยนายสมัครไปแล้วมาคิดบัญชีกับตนแทน

สมัครสลดใจคนไทยก้าวร้าว

 นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ส่งจดหมายเขียนด้วยลายมือตัวเองจำนวน 3 หน้ากระดาษ ถึงผู้ดำเนินรายการความจริงวันนี้ เนื้อหาแสดงความไม่พอใจกรณีที่มีคนไทยประมาณ 3-4 คน ที่อ้างเป็นเครือข่ายพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ยืนถือป้ายประท้วงบริเวณสนามบินฮุสตัน ภายหลังจากเดินทางไปรักษาอาการมะเร็งขั้วตับ ที่สถาบันมะเร็งฮุสตัน รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา โดยเนื้อหาในจดหมายระบุว่า ตั้งแต่ผ่านพ้นตำแหน่งทางการเมืองมาแล้ว ก็ไม่เคยแสดงความคิดเห็นอะไร และต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลจากอาการป่วย ระหว่างที่ทำหน้าที่นายกฯตลอด 7 เดือน ไปไหนมาไหนก็ไม่เคยมีใครมาถือป้ายด่าทอให้เห็น แต่พอมาถึงฮุสตันก็มีคน 3-4 คนถือป้ายด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย กล่าวหาเป็นคนขายชาติ ทำราวกับตนเป็นอาชญากรสำคัญที่ทำลายบ้านเมือง

 อดีตนายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า ตนเป็นคนที่รักษาระบอบประชาธิปไตยให้อยู่กับบ้านเมือง ไม่เคยเอาชาติไปขายให้ใคร ให้ความเคารพเทิดทูนสถาบันอันสูงสุดของบ้านเมืองมาตลอด โดยไม่ต้องมาประกาศให้ใครรู้ 

 นายสมัครยังตัดพ้อก่อนจะลงท้าย "ด้วยรักและจริงใจ" ว่า คนพวกนี้ออกมาอยู่ไกล เป็นกลุ่มที่กระจายกันคนละซีกโลกของบ้านเมืองเรา จึงเสพหรือรับรู้แต่ข่าวที่เป็นการให้ร้ายป้ายสีในการล้างผลาญกันทางการเมือง โดยไม่ยอมรับรู้ความจริง ถึงขนาดแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมออกมาอย่างภาคภูมิใจ เป็นกิจกรรมที่ทำลายความเป็นชนชาติไทยที่มีความรักความผูกพันกันมายาวนานตลอดชีวิตคนไทยอย่างน่าเศร้าน่าสลดใจเป็นที่สุด เหมือนอย่างชื่อหนังสือเล่มใหม่ของเขาที่กำลังเขียนอยู่ ที่มีชื่อว่า "บางทีจะสายไป..หากคนไทยยังไม่ฉุกคิด"

วุฒิสภาบรรจุวาระถอดถอน "รสนา"

 ในการประชุมวุฒิสภา สมัยสามัญนิติบัญญัติ ประธานการประชุมแจ้งต่อที่ประชุมว่า มีการรวบรวมรายชื่อ ส.ส.จากพรรคร่วมรัฐบาล 145 คน ยื่นเรื่องให้ประธานวุฒิสภาส่งเรื่องต่อไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อถอดถอน น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.กรุงเทพฯ ออกจากตำแหน่ง เนื่องจากมีพฤติการณ์ส่อไปในทางทุจริตต่อหน้าที่และฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ทำให้สมาชิกวุฒิสภาโดยเฉพาะกลุ่ม 40 ส.ว. อภิปรายถึงความเหมาะสมที่จะยื่นถอดถอน น.ส.รสนา รวมทั้งขอให้หารือในเรื่องดังกล่าวเพื่อให้มีความชัดเจน

 นายประสพสุข บุญเดช ประธานวุฒิสภา กล่าวว่า เมื่อมีการยื่นถอดถอนสมาชิกวุฒิสภา ข้อกำหนดมีไว้ว่าประธานวุฒิสภาต้องแจ้งให้ที่ประชุมทราบโดยเร็ว เห็นว่าควรมีการลงมติว่าจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่วาระเร่งด่วนของที่ประชุมหรือไม่ ทำให้ที่ประชุมต้องลงมติ โดยมีมติ 42 ต่อ 41 งดออกเสียง 6 เสียง ให้นำเรื่องดังกล่าวบรรจุในวาระเร่งด่วนเพื่อหารือต่อไป

"เสรี" เชื่อคนนับแสนไม่ยอมให้ถอด

 นายเสรี สุวรรณภานนท์ อดีต ส.ว.กล่าวว่า ถ้าหากยังจะฝืนถอดถอน น.ส.รสนาต่อไป เชื่อว่าคนกรุงเทพฯ นับแสน ที่เลือก น.ส.รสนามาทำหน้าที่จะไม่ยอมแน่นอน เนื่องจากเป็นการใช้เผด็จการในระบอบรัฐสภา นำเสียงข้างมากมารังแกเสียงข้างน้อยอย่างไม่ยุติธรรม รู้สึกผิดหวังที่ผลักดันให้นักการเมืองหญิงมีสิทธิเท่ากับนักการเมืองชาย แต่สุดท้ายก็มายอมให้นักการเมืองชายมาอยู่เบื้องหลัง

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 07.00 น. ที่สวนลุมพินี ประชาชนประมาณ 15 คน ซึ่งใช้ชื่อกลุ่มว่า "กลุ่มเพื่อนรสนา" นำโปสเตอร์ข้อความ "หยุดคุกคาม ส.ว.รสนา" มาติดหน้าทางเข้าสวนลุมพินี พร้อมตะโกนเรียกร้องให้รัฐบาลและ ส.ส.พรรคพลังประชาชน ที่ล่าชื่อยื่นถอดถอน น.ส.รสนาออกจากตำแหน่ง หยุดการกระทำดังกล่าว

พธม.มีมติไม่เปิดเส้นทาง

 พล.ต.จำลอง ศรีเมือง และนายพิภพ ธงไชย แกนนำกลุ่มพันธมิตร ร่วมกันแถลงข่าว โดย พล.ต.จำลองกล่าวถึงการสานเสวนาว่า พันธมิตรยืนยันว่าเราไม่เคยปิดประตูในการเจรจา แต่การเจรจาต้องมีเหตุผล โดยจะต้องเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องโดยตรง คือ พันธมิตรและรัฐบาลเท่านั้น เราจึงจะยอมเจรจาด้วย ส่วนบุคคลที่จะทำหน้าที่เจรจาต้องเป็นที่ยอมรับของพันธมิตรและรัฐบาล อย่างไรก็ตามเชื่อว่าในส่วนของ พล.อ.เปรม ตินสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ คงไม่รับเป็นคนกลางเจรจาแน่นอน เพราะที่ผ่านมามีกลุ่มคนในรัฐบาลนำมวลชนไปด่าทอถึงบ้านพัก และหน้าที่นี้มีแต่จะเปลืองตัว เนื่องจากรัฐบาลไม่จริงใจแก้ปัญหา

 พล.ต.จำลองกล่าวถึงการเปิดถนนบริเวณพื้นที่รอบการชุมนุมว่า จากการประสานตำรวจทราบว่า เจ้าหน้าที่จะเปลี่ยนเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินของพระบรมวงศานุวงศ์ในช่วงงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ระหว่างวันที่ 14-19 พฤศจิกายนนี้ เนื่องจากเห็นว่าพื้นที่ดังกล่าวยังไม่ปลอดภัยเพียงพอ ซึ่งก่อนหน้านี้เราเคยประกาศว่าจะเปิดถนนราชดำเนินนอกทั้ง 6 ช่องทาง โดยพันธมิตรได้รื้อเวทีและเต็นท์บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ออกจากพื้นที่ แต่ตำรวจก็ไม่จัดกำลังเข้ามาดูแลความปลอดภัย จนทำให้พันธมิตรถูกก่อกวนจากฝ่ายตรงข้าม ไม่ว่าจะเป็นการปาระเบิดและประทัดยักษ์ ส่งผลให้มีผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บหลายราย อย่างไรก็ตามหลังจากตำรวจตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเสด็จฯ พันธมิตรคงต้องปิดถนนราชดำเนินนอกตามเดิม แต่จะไม่นำเวทีและเต็นท์มาตั้งอีก

ผบ.ตร.สั่งตั้งศูนย์ปฏิบัติการข่าว

 พล.ต.อ.วิโรจน์ พหลเวชช์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้ช่วยผบ.ตร. พล.ต.ท.เรืองศักดิ์ จริตเอก จเรตำรวจแห่งชาติ (สบ 8) พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ฯลฯ ร่วมประชุมคณะกรรมการศูนย์อำนวยการติดตามสถานการณ์ร่วมของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศตร.ตร.) ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อรองรับการปฏิบัติงานในคณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วมของรัฐบาล โดยใช้เวลาประชุมร่วม 3 ชั่วโมง

 พล.ต.ต.สุรพลกล่าวหลังการประชุมว่า พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. สั่งตั้ง ศตร.ตร.ตามคำสั่ง ตร.ที่ 730/2551 เพื่อเป็นศูนย์ปฏิบัติการข่าวสาร ติดตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นขณะที่มีการชุมนุมเรียกร้องต่างๆ ในขณะนี้ โดยมีหน้าที่ตรวจสอบประเมินแนวโน้มสถานการณ์ที่อาจส่งผลกระทบต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน และเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ เสนอแนะความเห็น เสนอมาตรการต่อ ผบ.ตร. และประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานด้านความมั่นคงและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในการวางแผน เตรียมการ และจัดหน่วยงานเพื่อติดตามสถานการณ์และแก้ไขความไม่สงบที่เกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ การรักษาความปลอดภัยของประชาชนเป็นไปอย่างเหมาะสม


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์