แพทย์3สถาบัน แถลงอาการผู้บาดเจ็บถูกระเบิด เชื่อแค่แก๊สน้ำตาไม่แรงขนาดนี้


ศัลยแพทย์ 3 สถาบันชื่อดัง! แจงข้อมูลพร้อมภาพเหตุการณ์สลายม็อบพันธมิตร มั่นใจเป็นระเบิด ด้าน"พล.ต.ท.อัมพร"โต้ไม่ใช่ระเบิด บอกแก๊สน้ำตาส่งผลรุนแรงได้เช่นกัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 08.30 น. ที่โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นักวิชาการและทีมศัลยแพทย์จากโรงพยาบาลรามาธิบดี วชิรพยาบาล โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ได้ร่วมประชุมวิชาการเรื่อง ความจริงทางการแพทย์ จากเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 โดยภายในงาน มีการรวบรวมภาพบาดแผลของผู้บาดเจ็บ จากเหตุการณ์ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ เข้าสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯมาวิเคราะห์ว่า บาดแผลแต่ละแบบนั้น น่าจะเกิดจากอะไร
 
ผศ.นพ.อัจฉริยะ สาโรวาท อาจารย์ประจำภาควิชาศัลยกรรม คณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี กล่าวพร้อมนำภาพเศษวัสดุที่มีลักษณะคล้ายกระสุนยางที่เก็บในที่เกิดเหตุ และตามร่างกายผู้บาดเจ็บมาแสดง ว่า บาดแผลที่ทำให้กระดูกหัก ไม่น่าจะเป็นแก๊สน้ำตา เพราะมีการทำลายเนื้อเยื่อกระดูก เส้นเอ็น รุนแรงมาก และมีรอยไหม้ จึงน่าจะเป็นระเบิด เพราะแรงกระเทือนรุนแรงมาก ส่วนสภาพจิตใจนั้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาการดีขึ้น เพราะได้รับกำลังใจที่ดี นอกจากนี้ ด้านบาดแผลของนางสาวอังคณา ระดับปัญญาวุฒิ หรือ “โบว์” เห็นได้ชัดว่าถูกของแข็งที่มีความร้อน กระแทกด้วยความเร็วสูงบริเวณลำตัวและแขน แต่ยังไม่สาารถระบุได้ว่าเกิดจากวัตถุประเภทใด
 
ทั้งนี้ ผศ.นพ.อัจฉริยะ ยังตอบคำถามที่ว่า แพทย์ที่ทำการรักษาได้กลิ่นแก๊สน้ำตาจากบาดแผลหรือไม่ ว่า ตนมีคนไข้ที่ผ่าตัดเองและมีบาดแผลที่แขน กระดูกข้อศอกแตก รวมทั้งเส้นประสาทขาด โดยได้ไปสถานที่เกิดเหตุพร้อมกับรถพยาบาล และได้กลิ่นแก๊สน้ำตา แต่พอกลับมาที่ห้องผ่าตัดแล้ว ไม่ได้กลิ่น
 
ด้านนพ.รัฐพลี ภาคอรรถ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวแนะนำแพทย์ที่ต้องการให้ความช่วยเหลือว่า แพทย์เองก็ต้องป้องกันแก๊สน้ำตา โดยแต่งกายให้มิดชิดปิดทุกส่วนของร่างกาย เตรียมหน้ากาก และกระปุกน้ำประมาณ 500 ซีซี รวมทั้งยาหยอดตา และต้องยืนอยู่เหนือลมห้ามยืนใต้ลม โดยจุดประสงค์ของการยิงแก๊สน้ำตา คือ ก่อให้เกิดความวุ่นวาย ตื่นตระหนก เพราะไม่สามารถมองเห็นได้ ซึ่งการใช้ยาชาหยอดตานั้น ช่วยลดความเจ็บแสบ และยังสามารถช่วยให้มองเห็นได้ด้วย นอกจากนี้ มีตัวอย่างผู้ได้รับบาดเจ็บ 1 ราย ถูกวัตถุบางอย่างกระแทกหน้าแข้ง แต่หลังตรวจรักษาแล้ว แผลก็ยังไม่หาย จึงเชื่อว่ามีบางอย่างฝังอยู่ภายใน ผ่าตัดดูพบว่าเป็นกระสุนยาง จึงเชื่อว่าผู้ที่ได้รับบาดเจ็บที่ค่อนข้างรุนแรง ไม่น่าจะเกิดจากกระบอกลูกปืนธรรมดา


"หน้าที่ของหมอ ก็คือการชี้แจงให้ข้อมูล โดยไม่แสดงความคิดเห็นว่าใครทำอะไร เพียงแต่ต้องการชี้แจงข้อมูลให้สังคมตัดสิน ทั้งนี้อานุภาพความรุนแรงจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนรับกรรมคือประชาชน ซึ่งความรุนแรงดังกล่าว ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้กับประชาชน" นพ.รัฐพลี กล่าว
 
ส่วนพล.ต.ท.อัมพร จารุจินดา อดีตผู้บัญชาการสำนักงานวิทยาศาสตร์ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้เชี่ยวชาญด้านวัตถุระเบิด กล่าวพร้อมภาพกระสุนแก๊สน้ำตาว่า ปลอกกระสุนแก๊สน้ำตาที่ใช้ลักษณะยาว 6 นิ้วมี 2 รุ่น เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 37-38 มิลลิเมตร ขณะที่ปืนยิงออกจะมีลูกแก๊สน้ำตาพุ่งออกไป ความเร็วสูง โมเมมตัมมหาศาล ยิงแล้วหากกระแทกก็จะเกิดระเบิด เป็นผลิตภัณฑ์มาจากประเทศจีน แตกต่างกับของประเทศที่เจริญแล้ว ที่ยิงออกไปแล้วไม่ระเบิดจะตกแล้วแก๊สจะค่อยๆ ซึมออก ภาพบาดแผลที่เห็นจึงมีความเป็นไปได้ว่าการใช้แก๊สน้ำตาจำนวนมาก ด้วยความเร็วของกระสุนเมื่อถูกกระแทกขาแรงๆ และระเบิดซ้ำอีก ก็จะส่งผลให้สูญเสียอวัยวะ รวมทั้งกระสุนดังกล่าวมีความร้อนสูงจึงอาจพบบาดแผลที่เกิดจากการเผาไหม้ได้ด้วย ทั้งนี้ จากการที่พูดคุยกับแพทย์จึงทราบว่า ไม่มีการพบสะเก็ดระเบิด
 
ขณะที่นพ.สุเทพ กลชาญวิทย์ แพทย์ประจำคณะแพทย์ศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า เหตุการณ์ดังกล่าวสร้างความสะเทือนใจ จึงอยากหยุดยั้งความรุนแรง เพราะฉะนั้นเราจึงอยากป้องกันจากต้นเหตุ ต้องทำให้อิมแพค ให้เขาหยุดยั้งการดำเนินการต่อ และขอยืนยันว่าเราเป็นเพียงกลุ่มแพทย์เท่านั้น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ยังรับรักษาตำรวจทุกท่าน
 
ด้านนายบุรณัชย์ สมุทรรักษ์ ในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (เงา) พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ชนิดของอาวุธที่ใช้และการสั่งการถึง 3 ครั้งในวันเดียวนั้น ย่อมพิสูจน์ว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้น ตำรวจจงใจบิดเบือน โดยให้ข่าวว่าเป็นการชุมนุมที่รุนแรง ทั้งที่ผู้ชุมนุมเป็นไปอย่างสงบและไม่ได้ทำลายสถานที่ราชการ การให้ข่าวว่าผู้ชุมนุมพกระเบิดมาเอง ถือว่าจงใจใส่ร้ายและโกหกอย่างเลวร้ายที่สุด ทั้งนี้ ข้อมูลในวันนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าอาวุธที่ใช้คือแก๊สน้ำตาจริงหรือไม่ การกระทำดังกล่าวหวังผลเพื่อระเบิดจนมีคนเจ็บและคนตาย 

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์