บอกไม่ใช่หาทางลง เชิญทุกฝ่ายถกการเมืองใหม่ 21 ก.ย. ด้าน"จักรภพ" โผล่เวที นปช. ยันไม่เคลื่อนพลหวั่นปะทะพธม. แทงกั๊กหากนองเลือดผลงานมือที่สาม ตำรวจ-ทหารตรึงกำลัง 14 กองร้อยสกัด 3 จุด
หลังจากแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกมาระบุว่า นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี โทรศัพท์ติดต่อกับแกนนำพันธมิตรเพื่อคลี่คลายปัญหานั้น นายสมชายให้สัมภาษณ์ว่า บางครั้งอย่างที่พูดไว้ เราทุกๆ คนก็เป็นคนไทยด้วยกัน คุยได้กับทุกคน เราไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาว่าใครจะไปโกรธเกลียดกัน เราทำใจว่าความคิดเห็นแตกต่างกันยังสามารถพูดคุยกันได้ทุกระดับทุกคน
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า มีการพูดคุยกันจริงหรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนระหว่างการทำงาน เมื่อถามอีกว่า เท่าที่มีการพูดคุย การตอบรับดีใช่หรือไม่ นายสมชายกล่าวว่า ดีๆ
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ต้องการให้ทุกอย่างราบรื่นและเดินหน้าต่อไปได้และพร้อมเจรจาใช่หรือไม่ นายสมชายพยักหน้าตอบรับ เมื่อพยายามถามว่า พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประกาศพร้อมเจรจาด้วย นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า รอให้เริ่มทำงานก่อนแล้วค่อยว่ากันยาวๆ เรื่องบางอย่างก็ต้องคุยกันสั้นๆ
แหล่งข่าวจากแกนนำพันธมิตรกล่าวยืนยันว่า นายสมชายได้โทรศัพท์มาคุยกับนายสนธิ ลิ้มทองกุล ประมาณ 2-3 นาที แต่เป็นการพูดคุยในเรื่องทั่วไป ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเมืองหรือเรื่องการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร จากนั้นนายสนธิและแกนนำพันธมิตรได้วิเคราะห์พฤติกรรมของนายสมชายในครั้งนี้ และมองว่านายกฯ พยายามใช้สื่อเป็นเครื่องมือในการสร้างภาพว่า มีความพยายามจะสร้างความสมานฉันท์ แต่แกนนำพันธมิตรดื้อรั้น ซึ่งเป็นเกมถนัดของรัฐบาลชุดนี้ ทั้งนี้ แกนนำพันธมิตรยืนยันว่าจะไม่เจรจากับฝ่ายใดทั้งสิ้น
พันธมิตรพร้อมเจรจา
ความเคลื่อนไหวการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 19 กันยายน พล.ต.จำลอง พร้อมด้วยนายพิภพ ธงไชย และนายสมศักดิ์ โกศัยสุข แกนนำกลุ่มพันธมิตร ร่วมกันแถลงข่าวที่ห้องสื่อมวลชนทำเนียบรัฐบาล โดย พล.ต.จำลองกล่าวว่า แกนนำพันธมิตรได้ประชุมกันและมีมติว่า ในวันที่ 21 กันยายนนี้ กลุ่มพันธมิตรจะเชิญนักวิชาการ ข้าราชการ และเจ้าหน้าที่รัฐวิสาหกิจ มาหารือเพื่อกำหนดแนวทางเบื้องต้นของการเมืองใหม่ เมื่อได้โครงร่างแล้วก็จะนำไปเสนอต่อที่ประชุมกลุ่มอาชีพต่างๆ ต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อถามว่ากรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาพูดเรื่องการเมืองใหม่โดยชงสูตร 50 : 50 พล.ต.จำลองกล่าวว่า ถือเป็นเรื่องที่ดีที่มีผู้มีประสบการณ์ทางการเมืองออกมาเสนอแนะ
นอกจากนี้ พล.ต.จำลองยังกล่าวถึงกรณีที่ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ระบุว่า กลุ่มพันธมิตรต้องการต่อรองเรื่องการถอนหมายจับข้อหากบฏ 9 แกนนำนั้นว่า ไม่เป็นความจริง แกนนำทั้งหมดพร้อมให้จับกุม แต่ตำรวจต้องรับผิดชอบผลที่จะตามมา ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ทนายความไปแจ้งความดำเนินคดีกับตำรวจที่เข้ามาสลายการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์แล้ว
“ถ้าตำรวจจะเข้ามาสลายการชุมนุมสามารถทำได้อยู่แล้ว เพราะมีอาวุธครบมือ ไม่ว่าจะเป็นโล่ กระบอง หรือแก๊สน้ำตา แต่ผมไม่รู้สึกหวั่นไหว หรือทุกข์ร้อน หากเจ้าหน้าที่ยังยืนยันว่าจะสลายการชุมนุม สรส.(สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์) พร้อมที่จะใช้มาตรการหยุดงาน ตัดน้ำ ตัดไฟ และอาจเพิ่มมาตรการความเข้มมากกว่าเดิม” พล.ต.จำลองกล่าว
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีได้ต่อสายเพื่อขอเจรจากับแกนนำพันธมิตรนั้น พล.ต.จำลองกล่าวว่า พวกเราเป็นคนที่พูดรู้เรื่อง ยอมรับว่ามีความริเริ่มที่จะมีการเจรจา คิดว่าเป็นเรื่องที่ดี กลุ่มพันธมิตรพร้อมที่จะเจรจาตลอด แต่ยังไม่ขอบอกเงื่อนไขและรายละเอียด อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าไม่มีเรื่องผลประโยชน์ส่วนตัวและหมู่คณะแอบแฝงอยู่
พล.ต.จำลอง กล่าวอีกว่า ขอยืนยันว่าแกนนำไม่ได้หาทางลง เนื่องจากการใช้ทางลงหมายถึงเราตะเกียกตะกายขึ้นไปที่จะมีอำนาจ ซึ่งไม่ได้เป็นเช่นนั้น อีกทั้งเราไม่ได้เป็นฝ่ายริเริ่ม แต่เห็นว่าเป็นคนไทยเหมือนกันน่าจะคุยกันรู้เรื่อง แต่หากรัฐบาลจะไม่เจรจาก็ไม่เป็นไร เพราะเราไม่ได้ขัดขวาง
“เราก็ไม่ได้มีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นใครในการเข้ามาเจรจา หากมีเงื่อนไขจะดูว่าเราดื้อดึง และยืนยันว่าไม่มีการแอบเจรจากับแกนนำเป็นรายบุคคล แต่ถ้าจะมีการพูดคุยเป็นรายบุคคลก็จะต้องนำรายละเอียดในการพูดคุยมาหารือกับแกนนำทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 พวกเราจะไม่มีการหักหลังกัน อีกทั้งการทำงานของแกนนำก็มีความกลมเกลียวและไม่มีการแตกแยก ขอย้ำว่าพวกเราไม่มีการปิดการเจรจา อาจจะมีคนกลางหรือใครก็ได้ที่เข้ามามีส่วนร่วมในการเจรจาซึ่งมีผลทั้งนั้น” พล.ต.จำลองกล่าว
นายสมศักดิ์กล่าวถึงกรณีที่เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กลับเข้ามาดำเนินคดีในประเทศไทยว่า เราต้องติดตามดูพฤติการณ์ของนายสมชายก่อน กลุ่มพันธมิตรยังยืนยันคำตอบเดิมคือต้องการนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณเข้ามาดำเนินคดี อีกทั้งต้องการให้ยกเลิกพาสปอร์ตแดงของพ.ต.ท.ทักษิณด้วย
ส่วนที่ พ.ต.ท.ทักษิณได้ให้สัมภาษณ์รอยเตอร์ว่า ถูกใส่ร้ายทางการเมืองและถูกพันธมิตรรังแก นายสมศักดิ์กล่าวว่า พ.ต.ท.ทักษิณขณะนี้เปรียบเสมือนแผ่นเสียงตกร่อง เนื่องจากไม่ยอมรับความผิด ทั้งที่ประชาชนรับรู้ความจริงทั้งหมด รวมทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณก็ไม่ได้กล้าหาญที่จะเดินทางกลับมาขึ้นศาลและยอมรับความผิด
ด้าน นายพิภพกล่าวว่า การที่พ.ต.ท.ทักษิณให้สัมภาษณ์ว่าการเมืองกลั่นแกล้งในทันทีที่นายสมชายขึ้นมารับตำแหน่งนายกฯ แสดงว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม ดังนั้นนายสมชายในฐานะน้องเขย พ.ต.ท.ทักษิณ จะต้องตอบคำถามให้ได้ว่าจะใช้การเมืองเข้าไปช่วยแก้ปัญหาให้ พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่ และต้องตอบคำถามให้ชัดเจนว่าจะมีการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมเพื่อช่วย พ.ต.ท.ทักษิณหรือไม่
เมื่อถามว่า การชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ท้องสนามหลวง อาจจะมีการเคลื่อนมา กลุ่มพันธมิตรมีมาตรการป้องกันอย่างไร นายพิภพกล่าวว่า กลุ่มพันธมิตรมีมาตรการเตรียมพร้อมอยู่แล้ว โดยให้การ์ดดูแลความปลอดภัยในพื้นที่การชุมนุม อย่างไรก็ตามพันธมิตรจะไม่มีการเคลื่อนการชุมนุมเพราะจะทำให้เกิดการปะทะ
การ์ดอาสาหวิดวางมวยนักรบศรีวิชัย
ในช่วงสายวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการกระทบกระทั่งกันระหว่างการ์ดอาสาพันธมิตรที่ทำหน้าที่ตรวจค้นผู้ที่จะผ่านเข้าออกทำเนียบรัฐบาล กับนักรบศรีวิชัย เนื่องจากการ์ดอาสาพยายามตรวจค้นทุกคนที่จะผ่านเข้าทำเนียบรัฐบาล ไม่เว้นแม้แต่นักรบศรีวิชัย ตามมาตรการรักษาความปลอดภัยขั้นสูงสุด ที่นายสมศักดิ์ซึ่งรับผิดชอบดูแลเรื่องการ์ดอาสาสั่งการไว้
จากเหตุดังกล่าวทำให้นักรบศรีวิชัยที่ถูกตรวจค้นแสดงความไม่พอใจ เนื่องจากแขวนป้ายและแต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่ของกลุ่มพันธมิตรเช่นเดียวกัน แต่กลับถูกการ์ดอาสาตรวจค้นอย่างละเอียด แม้จะชี้แจงแล้วแต่การ์ดอาสาก็ไม่ยินยอม ทำให้เกิดปากเสียงกันขึ้น จากนั้นการ์ดอาสาอีกคนหนึ่งได้เข้ามาแยกก่อนที่จะรุนแรงถึงขั้นลงไม้ลงมือกัน
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า นอกจากนี้บริเวณสะพานอรทัย ซึ่งเป็นด่านที่มีการนำแผงเหล็กมาปิดกั้นทางเข้าออกทั้งหมด โดยผู้ที่จะเข้าออกด้านนี้ ต้องปีนข้ามรั้ว ทำให้ประชาชนที่จะเข้ามาชุมนุมโดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้หญิง ไม่ได้รับความสะดวก อีกทั้งการตรวจค้นของการ์ดอาสาในบริเวณนี้ก็จะทำอย่างละเอียด ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงและใช้ถ้อยคำที่ไม่สุภาพ ทำให้ผู้ชุมนุมเริ่มไม่พอใจการกระทำของการ์ดอาสา ส่วนผู้สื่อข่าวที่แม้จะแขวนบัตรแสดงตน แต่การ์ดอาสาก็จะตรวจค้นอย่างละเอียด พร้อมทั้งใช้คำพูดที่ไม่สุภาพเช่นกัน
สมาคมนักข่าวฯเคลียร์การ์ดพธม.
ต่อมาเวลา 13.00 น. น.ส.นาตยา เชฐโชติรส นายกสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย พร้อมคณะกรรมการบริหารสมาคม เดินทางมาตรวจสอบข้อเท็จจริง พร้อมให้กำลังใจสื่อมวลชนกรณีที่ถูกคุกคามการปฏิบัติหน้าที่รายงานข่าวการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตร โดย น.ส.นาตยา กล่าวว่า สมาคมเป็นห่วงผู้สื่อข่าวที่ปฏิบัติหน้าที่การทำข่าวของกลุ่มพันธมิตรในทำเนียบรัฐบาล ที่การรายงานข่าวไม่ราบรื่น และมีการกระทบกระทั่งกับมวลชนของกลุ่มผู้ชุมนุม จึงหารือกับแกนนำกลุ่มพันธมิตร การ์ดอาสา และกลุ่มนักรบศรีวิชัย ซึ่งกลุ่มพันธมิตรรับปากจะกวดขันป้องปรามการกระทบกระทั่งกับสื่อให้น้อยที่สุด
"ตัวแทนพันธมิตรยอมรับว่า มีการ์ดประมาณ 10-20% ที่ทำอะไรเกินเลยไป และมีปัญหาซึ่งได้สอบสวนและไล่ออกไปบ้างแล้ว ต่อไปหากสื่อมวลชนมีปัญหา ขอให้ไปร้องเรียนต่อนายกิตติชัย ใสสะอาด หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยกลุ่มพันธมิตร ที่ สน.พันธมิตร เพื่อดำเนินการสอบสวนต่อไป" น.ส.นาตยากล่าว
นปช.ยันไม่เคลื่อนพลหวั่นปะทะ
ส่วนการชุมนุมของกลุ่ม นปช. ที่ท้องสนามหลวง วันนี้ (19 ก.ย.) นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน อดีตแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.) รุ่น 1 กล่าวยืนยันว่า จะไม่มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้น โดยเฉพาะการปะทะกัน และจะเป็นผู้กำชับด้วยตัวเองว่า ห้ามเคลื่อนขบวนไปไหนทั้งสิ้น จะชุมนุม ณ ฐานที่มั่นบริเวณท้องสนามหลวง และขอเรียกร้องไปยัง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้มาตรวจอาวุธทั้งกลุ่มผู้ชุมนุม นปช. และพันธมิตร
นายชินวัฒน์ หาบุญพาด แกนนำ นปช. กล่าวว่า เวทีปราศรัยเริ่มตั้งแต่เวลา 17.00 น. ในชื่อ “กำจัดพันธมิตรฯ ยุติการเมืองใหม่” โดยกิจกรรมจะเน้นการปราศรัยและให้ความรู้แก่ผู้ชุมนุม กรณีหลังเกิดรัฐประหารในระยะเวลา 2 ปี ประเทศไทยได้อะไรบ้าง ซึ่งมีแกนนำพูดบนเวที เช่น นายสุรชัย แซ่ด่าน นายจรัล ดิษฐาอภิชัย นพ.เหวง โตจิราการ รวมทั้ง นายจักรภพ เพ็ญแข ที่ขึ้นเวทีปราศรัยในเวลาประมาณ 20.00 น. ส่วน นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ได้รับการประสานมาว่า ภายหลังจัดรายการความจริงวันนี้เสร็จอาจจะขึ้นเวทีปราศรัยด้วย
"นปช.จะไม่เคลื่อนย้ายกลุ่มผู้ชุมนุมไปไหน เพราะไม่ต้องการเกิดการปะทะ หากมีกลุ่มอื่นหรือมือที่สามเคลื่อนย้ายไปปะทะกับพันธมิตร ยืนยันว่าไม่ใช่กลุ่ม นปช.แน่ และจะไม่รับผิดชอบใดๆ ทั้งสิ้น ส่วนจะชุมนุมยืดเยื้อบริเวณท้องสนามหลวงต่อไปหรือไม่นั้น แกนนำจะขอฉันทามติจากกลุ่มผู้ชุมนุมก่อนว่าควรชุมนุมต่อหรือไม่ หากผู้ชุมนุมเห็นด้วยก็จะตั้งเวทียาวทันที" นายชินวัฒน์ กล่าว
ด้านนายวีระ มุสิกพงศ์ กรรมการบริหาร นปช.กล่าวว่า รัฐธรรมนูญ 2550 เป็นกับดักทางการเมืองให้แก่รัฐบาลประชาธิปไตย จึงต้องแก้ไขหรือฉีกทิ้ง เพื่อนำรัฐธรรมนูญ 2540 กลับมาใช้ ทั้งนี้หากรายการความจริงวันนี้ ซึ่งออกอากาศผ่านสถานีโทรทัศน์เอ็นบีทีถูกถอด จะมาอยู่กับเวที นปช.ทันที
ส่วนนายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า การเมืองใหม่ของกลุ่มพันธมิตรเป็นการเมืองเก่า มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ได้อำนาจรัฐ หากเกิดขึ้นจริงจะทำให้เกิดสงครามกลางเมือง
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า จะไม่ยอมให้นายกรัฐมนตรียกเลิกข้อหากบฏ 9 แกนนำพันธมิตร ถ้าเอาพันธมิตรออกจากทำเนียบรัฐบาลไม่ได้ ก็ให้อยู่ในทำเนียบไปตลอดชีวิต
วางกำลัง14กองร้อยสกัดม็อบ
พล.ต.ต.สุรพล ทวนทอง รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รอง ผบช.ก.) ในฐานะรองโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กล่าวว่า คณะกรรมการติดตามสถานการณ์ร่วม (คตร.) โดยมี พล.อ.อนุพงษ์เป็นประธาน ได้ประชุมถึงแนวทางป้องกันการกระทบกระทั่งระหว่างผู้ชุมนุมฝ่ายพันธมิตร และฝ่าย นปช.
"นปช.มีการตั้งเวทีชุมนุมที่สนามหลวง ซึ่งถ้ามาชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธก็เป็นสิทธิที่จะทำได้ ตำรวจต้องป้องกันการเคลื่อนที่หรือแสดงอาการยั่วยุไปที่ทำเนียบรัฐบาล" พล.ต.ต.สุรพลกล่าว
รองโฆษก ตร.กล่าวอีกว่า ตำรวจได้วางแนวสกัดกั้นไว้ 3 ชั้น หากมีการเคลื่อนที่ของกลุ่มผู้ชุมนุมเพื่อไม่ให้เกิดการปะทะกัน แนวที่ 1 บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ จุดนี้เจ้าหน้าที่ประมาณ 2 กองร้อย ไม่มีอาวุธ ไม่มีโล่ เป็นจุดเจรจา โดยมี พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เป็นผู้รับผิดชอบเจรจา แนวที่ 2 เป็นจุดหน้ากระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นแนวสกัดกั้น มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจประมาณ 2 กองร้อย พร้อมโล่
แนวที่ 3 เป็นจุดหน้ากองบัญชาการกองทัพบก เป็นจุดควบคุมขั้นเด็ดขาดไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมมาปะทะกันได้ จุดนี้มีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ 5 กองร้อย ร่วมกับกำลังทหารอีก 5 กองร้อย พร้อมอุปกรณ์ปราบจลาจลเต็มจำนวน รถดับเพลิง ลวดหนาม สกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมเข้าปะทะกันโดยเด็ดขาด ส่วนจำนวนของกลุ่ม นปช.ที่ประเมินไว้นั้น คงมีจำนวนประมาณเท่ากับครั้งที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังเตรียมกำลังสำรองไว้เพื่อให้สามารถเคลื่อนกำลังได้ภายใน 10 นาที เพื่อไปสกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมหากใช้เส้นทางอื่นในการเคลื่อนที่ และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
"การติดตามดูความเคลื่อนไหวของแกนนำพันธมิตรนั้น ไม่ได้บอกว่าจัดเป็นชุดเฉพาะกิจคอยเฝ้าดู แต่มีการจัดเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้ามองแกนนำที่ออกมานอกทำเนียบรัฐบาล เป็นแผนงานของ คตร.อยู่แล้ว” พล.ต.ต.สุรพลกล่าว