ถ้าศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์ของนายสมัคร ก็หมายความว่า นายสมัครต้องถูกจำคุกจริงทำให้ต้องพ้นตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ และไม่สามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือ ส.ส.ได้อีกหลังจากพ้นโทษไม่ถึง 5 ปี คราวนี้นายสมัครและคณะรัฐมนตรีจะถึงกาลอวสานอย่างแท้จริง
แม้นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีจะมีอำนาจตามกฎหมายในฐานะมุขฝ่ายบริหาร แต่โดยสภาพความเป็นจริงแล้วนายสมัคร ถูกเปรียบเป็นเพียง"สัมภเวสี"ที่ต้องเร่ร่อนไปมา เพราะ นอจากทำเนียบรัฐบาลถูกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยึดครองแล้ว นายสมัครก็แทบไม่มีอำนาจในการบังคับบัญชาหน่วยงานหรือกลไกรัฐให้ทำงานตามคำสั่งได้เลย
ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ซึ่งประกาศใช้เมื่อวันที่ 2 กันยายนที่ผ่านมา มีค่าน้อยกว่ากระดาษชำระเสียอีก เพราะแทบไม่ผลใดๆในการบังคับใช้ ขณะที่กลุ่มพันธมิตรฯยังคงชุมนุมอยู่ในทำเนียบฯได้ตามปกติ
ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นบ่งบอกอย่างชัดเจนว่า รัฐบาลนายสมัครล้มเหลวอย่างสิ้นเชิงในการบริหารราชการแผ่นดินและโดยสภาพก็ไม่มีความเป็นรัฐบาลหลงเหลืออยู่แล้ว
แต่นายสมัครและพรรคร่วมรัฐบาลก็ยังคงหลอกตัวเองว่า สามารถบริหารราชการแผ่นดินต่อไปได้และการดำรงอยู่ของตนเองเป็นการป้องกันและรักษาระบอบประชาธิปไตยไว้ ทั้งๆที่การอยู่ในตำแหน่งของนายสมัครเป็นหนทางนำบ้านเมืองสู่หายนะอย่างใหญ่หลวง
แม้ฝ่ายต่างๆจะพยายามเสนอทางออกและเสนอมาตรการต่างๆมากมาย แต่ได้รับการปฏิเสธอย่างไม่ไยดี นายสมัครยังคงดื้อด้านเพื่อนั่งอยู่บนเก้าอี้นายกรัฐมนตรีให้นานที่สุด
เมื่อไม่มีหนทางใดๆที่จะทำให้นายสมัครสละเก้าอี้ได้ ก็คงต้องให้ตุลาการใช้อำนาจแห่งกฎหมายเป็นผู้ชี้ชะตาเนื่องนายสมัครมีคดีความในศาลซึ่งคาดว่า จะมีคำพิพากษาภายในเดือนกันยายนหรือต้นเดือนตุลาคมถึง 2 คดี
คดีแรก นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนา สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)ระบบสรรหาแฃะคณะ ส.ว.รวมทั้งคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญว่า นายสมัคร มีการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 (ห้ามนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งใดๆในห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือองค์การที่ดำเนินธุรกิจโดยมุ่งหาผลกำไรหรือรายได้มาแบ่งปันกันหรือเป็นลูกจ้างของบุคคลใดก็มิได้วย)ซึ่งจะทำให้ความเป็นรัฐมนตรี(นายกรัฐมนตรี)สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182(7)
เหตุที่นายเรืองไกรและ กกต.ยื่นคำร้องดังกล่าว เพราะหลังจากที่นายสมัครได้รับการดปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว นายสมัคร ยังคงเป็นพิธีกรในรายการ"ชิมไปบ่นไป"และรายการ"ยกโขยงหกโมงเช้า"ของบริษัทเฟซ มีเดียซึ่งเข้าข่ายเป็นลูกจ้างของบุคคลใด เนื่องจากนายสมัครเป็นพิธีกรในรายการดังกล่าวมาหลายปีตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่งนายกฯและยังคงเป็นพิธีกรต่อเนื่องหลังจากรับตำแหน่งนายกฯแล้ว
ในการไต่สวนของศาลรัฐธรรมนูญ ทางบริษัทยอมรับว่า ได้จ่ายเงินให้แก่นายสมัครตอนละ 5,000 บาทโดยอ้างว่า เป็นค่าน้ำมันรถ ซึ่งตุลาการศาลรัฐธรรมนูญบางคนซักถามว่า ทำมไมค่าน้ำมันรถจึงแพงจัง ซึ่งทางบริษัทอ้างว่า เป็นค่าอาหารที่นายสมัครซื้อมาทำในรายการด้วย โดยเป็นการจ่ายแบบเหมาจ่าย
ในวันจันทร์ที่ 8 กันยายน ศาลรัฐธรรมนูญได้นัดไต่สวนนายสมัคร และกรรมการผู้จัดการบริษัท เฟซ มีเดีย เป็นครั้งสุดท้ายและคาดว่า จะนัดฟังคำวินิจฉัยได้ภายในเดือนกันยายนนี้
ถ้าศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นายสมัครมีการกระทำต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 267 จริง นายสมัครต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีทันทีและจะทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องสิ้นสุดลงด้วย
อย่างไรก็ตาม การพ้นจากตำแหน่งนายกฯตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182(7) ไม่มีบทลงโทษใดๆ เช่น การเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งหรือการห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ดังนั้น ส.ส.พรรคพลังประชาชนและ ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ยังสามารถลงมติเลือกนายสมัครกลับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีได้อีกและนายสมัครต้องจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ขึ้นมาบริหารประเทศ
แต่ในทางการเมืองแล้ว อาจมีปัจจัยอื่นที่ทำให้ ส.ส.พรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลไม่เลือกนายสมัครกลับเข้าดำรงตำแหน่งอีก
คดีที่สอง คดีที่นายสมัครและนายดุสิต ศิริวรรณ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คู่หูตกเป็นจำเลยในข้อหาหมิ่นประมาทนายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการ กทม.ซึ่งศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 12 เมษายน 2550 ให้จำคุกจำเลยทั้งสอง รวม 4 กระทง กระทงละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 24 เดือนหรือ 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา
แต่นายสมัครและนายดุสิตยื่นอุทธรณ์ซึ่งศาลอาญานัดอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ในวันที่ 25 กันยายนนี้
อย่างไรก็ตามา นายสมัครอ้างว่า ต้องเดินทางไปประชุมสหประชาชาติที่นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา จะยื่นคำร้องต่อศาลขอเลื่อนอ่านคำพิพากษา
แต่จากข้อเท็จจริงในสภาพบ้านเมืองกำลังวิกฤต เกิดการเผชิญหน้า รัฐบาลล้มเหลวในการบริหารราชการแผ่นดิน นายสมัครยังจะเดินทางไปประชุมนิวยอร์คอีกหรือ
หรือเป็นเพียงข้ออ้างเพื่อประวิงเวลา ในการอ่านคำพิพากษาเท่านั้น
เพราะถ้าศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้จำคุกนายสมัคร 2 ปี โอกาสที่นายสมัคร จะหลุดจากเก้าอี้นายกฯมีอยู่สูง แม้นายสมัครจะยืนยันว่า สามารถที่จะอุทธรณ์ต่อศาลฎีกาได้
ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 บัญญัติว่า ในคดีที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าศาลอุทธรณ์ยังคงลงโทษจำเลยไม่เกินกว่ากำหนดที่ว่ามานี้ ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง...
นั่นหมายความว่า นายสมัครสามารถอุทธรณ์ได้เฉพาะข้อกฎหมายซึ่งเป็นการพิจารณาว่า ข้อความที่นายสมัครกล่าวหานายสมารถ ราชพลสิทธิ์ว่า เป็นการหมิ่นประมาทหรือไม่เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ออกระเบียบที่ประชุมใหญ่ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2551 ว่า ศาลฎีกาสามารถที่จะไม่รับคดีที่อุทธรณ์หรือฎีกาได้ ถ้าเห็นว่า ไม่เป็นสาระอันควรแก่แก่การพิจารณาไว้ในการพิจารณาพิพากษา(ระเบียบที่ประชุมใหญ่ว่าด้วยการไม่รับคดีซึ่งข้อกฎหมายหรือข้อเท็จจริงที่อุทธรณ์หรือฎีกาจะไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณาไว้พิจารณาพิพากษา พ.ศ.2551)
ดังนั้น ถ้าดูจากคดีหมิ่นประมาทของนายสมัครและนายดุสิตแล้ว การพิจารณาข้อกฎหมายว่า ข้อความที่นายสมัครและนายดุสิตกล่าวเป็นการหมิ่นประมาทหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่ไม่ยุ่งยากซับซ้อน
การที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนถึง 2 ศาล อาจเข้าเงื่อนไขที่ศาลฎีกาอาจไไม่รับคดีไว้พิจารณา เช่น เป็นข้อกฎหมายซึ่งศาลล่างได้วินิจฉัยถูกต้องแล้ว และไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลล่าง(ข้อ 4(1) 1.3) หรือเป็นข้อกำหมายที่ไม่ยุ่งยากและการวินิจฉัยข้อกฎหมายดังกล่าว จะไม่มีผลเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลล่าง(ข้อ 4(1)1.2)
ถ้าศาลฎีกาไม่รับอุทธรณ์หรือฎีกาของนายสมัคร ก็หมายความว่า นายสมัครต้องถูกจำคุกจริงทำให้ต้องพ้นตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 182(3)และ มาตรา 174 และไม่สามารถกลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหรือ ส.ส.ได้อีกหลังจากพ้นโทษไม่ถึง 5 ปี
คราวนี้นายสมัครและคณะรัฐมนตรีจะถึงกาลอวสานอย่างแท้จริง
สำหรับคดีหมิ่นประมาทที่นายสมัครและนายดุสิตตกเป็นจำเลยนั้น มีรายละเอียดตามคำพิพากษาศาลอาญา ดังนี้
ตามฟ้องโจทก์(นายสามารถ ราชพลสิทธิ์)ระบุความผิดจำเลย สรุปว่า ระหว่างวันที่ 12-19 มกราคม 2549 จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้ดำเนินรายการ เช้าวันนี้ที่ช่อง 5 และรายการ สมัคร-ดุสิต คิดตามวัน ทางช่องโมเดิร์นไนน์ทีวี
โดยวันที่ 12 มกราคม 2549 จำเลยทั้งสองกล่าวถ้อยคำกล่าวหาว่า มีผู้บริหารกรุงเทพมหานครบางคนออกรถบีเอ็มฯซีรีส์ โดยใช้ชื่อภรรยาเป็นเจ้าของ ที่แท้มีผู้รับเหมาซื้อให้ผ่านทั้งสองรายการในวันเดียวกัน
ต่อมาวันที่ 13 มกราคม นายดุสิต จำเลยที่ 2 กล่าวผ่านรายการ สมัคร-ดุสิต คิดตามวันว่าโครงการประมูลของกรุงเทพมหานคร 10 โครงการมันกินกัน 12-13% เกือบ 3,000 ล้านบาท โดยมีจำเลยที่ 1 (นายสมัคร) กล่าวสนับสนุน
นอกจากนี้ในวันที่ 17 มกราคม จำเลยที่ 2 (นายดุสิต)กล่าวผ่านรายการ เช้าวันนี้ที่ช่อง 5 ว่า ขออ่านจากข่าวนะ นายสามารถชี้แจงว่า ไม่เคยสั่งการให้ผู้ใต้บังคับบัญชาล็อกสเป๊ก ขอถามคุณสมัครหน่อยว่า ใครจะกล้ารับว่า ตัวเองเป็นคนสั่ง และข้อความอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จทั้งสิ้น เหตุเกิดที่แขวงและเขตห้วยขวาง และที่อื่นเกี่ยวพันกัน
การกระทำของจำเลยทั้งสอง ทำให้ประชาชนที่ชมรายการดังกล่าวเข้าใจผิดคิดว่า โจทก์เป็นคนไม่ดี เรียกรับทรัพย์สินเพื่อประโยชน์ของตัวเอง ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง จึงนำคดีมาฟ้อง ขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ทำนองเดียวกันว่า ไม่มีเจตนาหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย เพียงแต่กล่าวไปตามข้อเท็จจริงที่ทราบข้อมูลมา แต่ไม่ได้มีการตรวจสอบข้อเท็จจริง รวมทั้งการดำเนินรายการก็เป็นการระดมความคิดเห็นร่วมกับประชาชนให้ได้รับทราบ
ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายแล้ว เห็นว่า ถ้อยคำที่บ่งบอกว่า ผู้บริหารระดับสูงของกรุงเทพมหานครมีพฤติกรรมไม่ชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นความผิดทางอาญา โดยมีจำเลยที่ 1 กล่าวสนับสนุนว่า เป็นความจริง เมื่อฟังประกอบกันแล้ว ทำให้เห็นได้ชัดว่า เป็นผู้บริหารกรุงเทพมหานครคือโจทก์นั่นเอง เพราะขณะนั้นภรรยาโจทก์ขับรถยนต์ยี่ห้อบีเอ็มดับเบิลยู ป้ายแดงได้ 2 เดือน ทั้งยังมีการกล่าวย้ำว่า มีการใช้ตำแหน่งแสวงหาผลประโยชน์แม้ไม่ได้ระบุชื่อก็ตาม ทั้งที่ความจริงแล้ว โจทก์มีหน้าที่รับผิดชอบงานด้านโยธา ดูแลเรื่องการก่อสร้างถนน สะพานข้ามแยก อุโมงค์ทางลอดต่างๆ
นอกจากนี้โจทก์ยังมี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอ เบิกความเกี่ยวกับการตรวจสอบทางทุจริตของโจทก์นั้น ชุดสืบสวนไม่ได้ตรวจสอบเรื่องการซื้อรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูคันดังกล่าว เพราะเป็นทรัพย์สินที่โจทก์ซื้อด้วยเงินตัวเอง โดยมีการนำสำเนาบัญชีของธนาคารกรุงเทพฯ สำเนาเช็คเงินสด มาแสดงเป็นหลักฐานการชำระเงิน
การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการเสนอข่าวให้ประชาชนเชื่อว่า การก่อสร้างของกรุงเทพมหานครมีเงื่อนงำ ทุจริต ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์ให้ได้รับความเสียหาย ถูกดูหมิ่นเกลียดชังจริง ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น
ทั้งนี้จำเลยที่ 1 (นายสมัคร)เคยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาทมาแล้วหลายครั้ง โดยศาลปรานี ให้รอการลงโทษไว้ เพื่อให้ปรับตัวเป็นคนดี แต่ จำเลยที่ 1 กลับกระทำผิดซ้ำในความผิดเดิมอีก พิพากษาให้จำคุกจำเลยทั้งสอง รวม 4 กระทง กระทงละ 6 เดือน รวมจำคุกคนละ 24 เดือน โดยไม่รอลงอาญา และให้โฆษณาคำพิพากษาย่อในหนังสือพิมพ์ติดต่อกันเป็นเวลา 3 วัน โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
จับตา!!ตุลาการพิฆาต? คำพิพากษาคดี2สำคัญ สมัครเก้าอี้นายกฯกระเด็น
หน้าแรกTeeNee ที่นี่ข่าววันนี้, ข่าวหน้าหนึ่ง ข่าวการเมือง จับตา!!ตุลาการพิฆาต? คำพิพากษาคดี2สำคัญ สมัครเก้าอี้นายกฯกระเด็น



กระทู้ร้อนแรงที่สุดของวันนี้
























กระทู้ล่าสุด


รูปเด่นน่าดูที่สุดของวันนี้
















































Love Attack เทศกาลความรักแบบนี้ บอกอ้อมๆให้เขารู้กัน
Chocolate Dreams สาวชั่งฝันและช็อคโกแลต กับหนุ่มหล่อ ไม่แน่คุณอาจจะได้เจอแบบนี้ก็ได้
Love You Like Crazy เพลงเพราะๆ ที่ถ้าส่งให้คนที่เรารัก โลกนี้ก็สีชมพูกันทีเดียว