นักเขียน-ศิลปินทุกสาขาผนึกกำลังล่าชื่อคัดค้านความไม่ชอบธรรมรัฐบาล ชี้เป็นกลุ่มหุ่นเชิด ขายชาติ ใช้อำนาจโฉด แก้ปมการเมืองน้ำเน่า-เขาวงกต ที่ทำให้ชนชั้นกลางไม่กล้า-คนรากหญ้าเป็นเหยื่อ พร้อมให้ยุติความรุนแรง
จากวิกฤติการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง และลุกลามสร้างความแตกแยกร้าวฉานในสังคมวงกว้าง ล่าสุด "แนวร่วมศิลปินประชาธิปไตย" นำโดย เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ พร้อมศิลปินแห่งชาติ นักเขียน กวี ศิลปินทุกสาขา นักร้อง อาจารย์ อาทิ อังคาร กัลยาณพงศ์ อาจินต์ ปัญจพรรค์ 'รงค์ วงษ์สวรรค์ ประเทือง เอมเจริญ สถาพร ศรีสัจจัง อัศศิริ ธรรมโชติ สุเทพ วงศ์กำแหง ชัย ราชวัตร สุรชัย จันทิมาธร จิระนันท์ พิตรปรีชา ไพวรินทร์ ขาวงาม ศักดิ์สิริ มีสมสืบ ไพฑูรย์ ธัญญา คมทวน คันธนู มนตรี ศรียงค์ ชัชรินทร์ ชัยวัฒน์ สุชาติ สวัสดิ์ศรี ประพันธ์ ศรีสุดา โชติช่วง นาดอน
สุนทรี เวชานนท์ ลานนา คัมมินส์ แน่งน้อย ปัญจพรรค์ วิลิต เตชะไพบูลย์ สมาคมภาษาและหนังสือแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ สมาคมนักเขียนแห่งประเทศไทย กลุ่มวรรณกรรมภูเก็ต ฯลฯ ร่วมกันออกแถลงการณ์แสดงจุดยืน เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 5 กันยายน ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา บริเวณสี่แยกคอกวัว
ข้อความในแถลงการณ์มีดังนี้
1.รัฐบาลที่มีพรรคพลังประชาชนเป็นแกนนำ มีนายสมัคร สุนทรเวช เป็นหัวหน้าพรรคและดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี มีพฤติกรรมเชิงประจักษ์มาแต่ต้นว่าเป็นตัวแทนของพรรคไทยรักไทย และตลอดเวลาตั้งแต่รัฐบาลปัจจุบันบริหารประเทศมา ก็มีพฤติกรรมเชิงประจักษ์เช่นเดียวกับพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบไปนั้น สมกับความเป็นตัวแทนดังอ้างนั้นโดยแท้
2.กรณีคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบการลงนามรับรองการขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหาร โดยไม่ผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทน ซึ่งผิดกฎหมายรัฐธรรมนูญอันอาจมีผลถึงการเสียอธิปไตยเหนือดินแดนอีกด้วย
3.การบริหารงานล้มเหลวของรัฐบาล ทั้งการตั้งบุคคลผู้ไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมเข้าดำรงตำแหน่ง การพยายามแก้รัฐธรรมนูญเพื่อปกป้องความผิดในลักษณะ “คนไม่ผิด แต่กฎหมายผิด” จนเป็นเหตุให้เกิดการคัดค้านและต่อต้านอันนำมาสู่ความรุนแรงจากอันธพาลทางการเมืองครั้งแล้วครั้งเล่าจนเป็น “ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย” ตั้งแต่เหตุการณ์ 6 ตุลา 19 จนถึงวันนี้
นายเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ให้สัมภาษณ์ว่า จากพฤติกรรมดังกล่าวานวันยิ่งวิกฤติขึ้นเป็นลำดับ กลุ่มศิลปิน จิตรกร นักดนตรี นักคิดนักเขียนแต่ละแขนง จึงรวมตัวกันแสดงจุดยืน ต่อต้านการเมืองน้ำเน่า-เขาวงกตนี้
"พวกเราไม่ต้องการรัฐบาล 1.หุ่นเชิด 2.ขายชาติ 3.ใช้อำนาจโฉด มาบริหารประเทศ เพราะจะทำให้เกิดการแบ่งแยกทางชนชั้นคือ ชนชั้นกลางไม่กล้า-คนรากหญ้าเป็นเหยื่อ จึงขอเรียกร้องให้ประชาชนทั่วไป เข้าใจในสถานการณ์ ศึกษาอารยะขัดขืนด้วย ไม่ใช่อะไรๆ เฮกัน หรือโรงเรียนปิด ก็มาด่าว่า ขณะที่ประเทศชาติเดือดร้อน จะมาห่วงเรื่องสิวเรื่องฝ้ากันอีก พวกเราขอคัดค้านความรุนแรงทุกรูปแบบ" ศิลปินแห่งชาติกล่าว
ด้าน จิระนันท์ พิตรปรีชา กวีซีไรต์ กล่าวว่า ท่ามกลางสังคมที่แตกเป็น 2 ขั้ว แต่คนในสังคมที่อยู่เฉยๆ ไม่ใช่ว่าจะไม่คิดอะไร คนในกลุ่มนี้มีจำนวนไม่น้อย แต่ไม่มีเวทีให้แสดงออก
"รัฐบาลนี้หมดสภาพ หมดภาวะผู้นำแล้ว สังคมอยู่ต่อไปไม่ได้แล้ว ทั้งเศรษฐกิจ สังคม การศึกษา วัฒนธรรม ก็อยากจะขอร้องให้พิจารณาตัวเองซะ ขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้เชื่อมั่นในสิ่งที่อีกฝ่ายเสนอมาทั้งหมด เราไม่ได้มาเพื่อสมานฉันท์ เพราะเลยจุดนั้นมาแล้ว แต่ขอลุกขึ้นพูดบ้างในฐานะพลเมือง ฐานะศิลปิน เรามีจุดร่วมคืออย่างนี้ แต่จุดต่างก็มีเยอแยะ อยากพูดอะไรก็พูดไป เป็นเวทีเปิดความคิด" เจ้าของกวีนิพนธ์ใบไม้ที่หายไป กล่าวพร้อมกับย้ำว่า
"ที่ผ่านมาสังคมไทยเป็นสังคมบริโภคนิยม จนหน้ามืดตามัว ตอนนี้หักเหไปสู่สังคมบริภาษนิยม ระดมกระสุนคำพูดใส่กัน โดยลืมหลักการ หรือทางออกเพื่อแก้ไขปัญหา วันนี้ขอเป็นเวทีที่แตกต่าง แนวร่วมทางความคิดก็มี ว่าเราอยากจะเห็นอย่างนี้ เราไม่ได้ห้าม ใครอยากทำอะไรทำไป แต่จุดต่างก็มี" จิระนันท์กล่าว
ขณะที่ อาจารย์ปัญญา วิจินธนสาร คณบดีคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กล่าวว่า แถลงการณ์แนวร่วมศิลปินประชาธิปไตย ต้องการให้ผู้ที่ทำงานศิลปะมีส่วนร่วมในการพูดถึงความไม่ชอบธรรมของรัฐบาล ซึ่งกำลังเป็นชนวนปัญหาของสถานการณ์บ้านเมืองเวลานี้ เป็นการประกาศจุดยืนครั้งสำคัญ เพื่อแก้วิกฤติ
"ตอนนี้คงต้องให้สถานการณ์เป็นปกติโดยเร็ว โดยการพิจารณาด้วยสติและปัญญาว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันอาจไม่ใช่เรื่องของความถูกต้อง แต่มันเป็นเรื่องของความชอบธรรม ทุกวันนี้ในสังคมไม่มีใครพูดถึงความชอบธรรม มีแต่พูดถึงตัวเอง อย่างที่มีคำกล่าวว่าความผิดของผู้อื่นเห็นง่าย แต่ความผิดของตนกลับไม่เคยมองเห็น เป็นสิ่งที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นในสังคมไทย นั่นจึงเป็นที่มาที่ต้องมีการทบทวนและพูดถึงความชอบธรรมในสังคม ในการทำงานศิลปะในฐานะศิลปินคนหนึ่ง ผมพยายามสื่อสารเรื่องนี้ออกมาให้สังคมรับทราบเสมอ เพราะถ้าสังคมไม่มีความชอบธรรมก็จะไม่มีใครคิดเสียสละ" คณบดีกล่าวทิ้งท้าย