ทนาย 'แม้ว' แปลกใจ อสส.ส่งฟ้องคดีภาษีสรรพสามิตมือถือเร็ว ทั้งที่สำนวนเกือบ 2 หมื่นหน้า ป.ป.ช.เล็งสอบ 'ทักษิณ' รวยขึ้น 3.3 พันล้านบาท ข้องเอาใจมาจากไหนพร้อมหารือสิทธิอายัดทรัพย์อดีตนายกฯ 7.6 หมื่นล้าน 'ศันสนีย์' โต้รวยอยู่แล้วแค่ดอกเบี้ยเงินฝาก
นายฉัตรทิพย์ ตัณฑประศาสน์ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ให้ดูแลกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณถูกกล่าวหาว่าออกนโยบายเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเองและพวกพ้อง กล่าวถึงกรณีที่อัยการสูงสัยสั่งฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ในคดีแปลงค่าสัมปทานโทรศัพท์มือถือเป็นภาษีสรรพสามิต ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า ไม่รู้สึกแปลกใจที่อัยการสั่งฟ้อง เพราะไม่ใช่เรื่องใหม่ อย่างไรก็ตาม จะขอดูสำนวนที่อัยการสั่งฟ้องก่อน โดยเฉพาะประเด็นที่อ้างว่ามีหลักฐานแน่นหนานั้น หมายถึงอะไร จากนั้นจะนัดประชุมทีมทนายความทั้งที่รับผิดชอบคดีสรรพสามิต และคดีหุ้น เพราะมีความเกี่ยวข้องกัน เพื่อหาแนวทางในการต่อสู้คดี
''ไม่แปลกใจที่อัยการสั่งฟ้อง เพียงแต่สงสัยว่าสำนวนมีความหนาเกือบ 2 หมื่นหน้า เหตุใดอัยการถึงอ่านสำนวนและส่งฟ้องได้เร็วขนาดนั้น'' นายฉัตรทิพย์กล่าว
นายกล้านรงค์ จันทิก โฆษกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กล่าวถึงกรณีที่นิตยสารฟอร์บส์เผยแพร่การจัดอันดับ 40 บุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย โดยปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อยู่ในลำดับที่ 16 มีทรัพย์สินกว่า 400 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.3 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 3,300 ล้านบาท ว่า ยังตอบไม่ได้ว่าจำนวนเงินที่เพิ่มขึ้นมาของ พ.ต.ท.ทักษิณนั้น น่าสงสัยหรือไม่ เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ป.ป.ช.จะต้องเข้าไปตรวจสอบ หากเห็นว่าเป็นประเด็นที่น่าสงสัย จะลงพื้นที่เพื่อสืบหาที่มาของเงินที่เพิ่มกว่า 100 ล้านดอลลาร์ ว่าเป็นทรัพย์สินส่วนใด และได้มาได้อย่างไร ส่วนจะเชิญตัวแทนจากนิตยสารฟอร์บส์มาสอบถามข้อเท็จจริงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับเจ้าหน้าที่จะพิจารณา
ส่วนความคืบหน้าในการติดตามและอายัดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ มูลค่ากว่า 76,000 ล้านบาท เนื่องจากมีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกตินั้น โฆษก ป.ป.ช.กล่าวว่า ที่ประชุมมอบหมายให้นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช. ไปศึกษาปัญหาข้อกฎหมายเรื่องอำนาจหน้าที่ว่า ป.ป.ช.สามารถทำงานต่อเนื่องจากคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ได้หรือไม่ อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ก็ให้กับอำนาจ ป.ป.ช.สามารถยึดทรัพย์นักการเมืองได้ หากพบว่ามีพฤติกรรมที่ร่ำรวยผิดปกติ
ขณะที่ น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ โฆษกส่วนตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เงินจำนวน 100 ล้านดอลลาร์ ที่เพิ่มขึ้นมาของ พ.ต.ท.ทักษิณ น่าจะเป็นดอกเบี้ยจากเงินฝากในธนาคาร เพราะอดีตนายกฯก็เป็นคนที่มีเงินเยอะอยู่แล้ว ส่วนกรณีที่ ป.ป.ช.เตรียมตรวจสอบที่มาของเงินดังกล่าว ก็ไม่ได้รู้สึกกังวลอะไร หากทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการก็ไม่น่ามีปัญหา
ด้าน นายวิชัย วิวิตเสวี กรรมการ ป.ป.ช. กล่าวว่า ในวันที่ 15 กรกฎาคม จะมีการประชุม ป.ป.ช. เพื่อชี้ขาดว่า ป.ป.ช.มีอำนาจในการอายัดทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตามที่ คตส.อายัดไว้กว่า 69,000 ล้านบาทหรือไม่ หลังจากที่ให้เจ้าหน้าที่ไปศึกษาปัญหาทางข้อกฎหมายมาแล้ว
''ยอมรับว่าเรามีอำนาจน้อยกว่า คตส. โดยเฉพาะอำนาจตามกฎหมายป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่ ป.ป.ช.ไม่มี แต่ คตส.มี หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า ป.ป.ช.ไม่มีอำนาจอายัดทรัพย์ ก็จำเป็นต้องคืนทรัพย์สินทั้งหมดให้กับเจ้าของเดิมไป'' นายวิชัยกล่าว
นายวิชัยกล่าวกรณีที่นิตยสารฟอร์บส์ระบุว่า ปีที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นกว่า 100 ล้านดอลลาร์นั้นว่า เงินจำนวนดังกล่าวไม่ใช่น้อยๆ ดังนั้น หากกรรมการ ป.ป.ช.คนไหนติดใจก็สามารถไต่สวนได้ ทั้งนี้ อาจจะต้องเรียกตัวแทนจากนิตยสารฟอร์บส์เข้าไต่สวน ในฐานะผู้เผยแพร่ข้อมูลด้วย
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงว่า ที่อัยการสูงสุดยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง กรณีการแปลงค่าสัมปทานมือถือเป็นภาษีสรรพสามิตนั้น จะเห็นว่าการดำเนินการเรื่องดังกล่าวในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนายกฯนั้น เรื่องนี้อึกทึกครึกโครมอย่างต่อเนื่อง เพราะก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ อาทิ กระทรวงการคลัง กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) บริษัท ทีโอที บริษัท กสท ทำให้บริษัท ทีโอที และบริษัท กสท ซึ่งเป็นคู่สัญญา นำค่าภาษีสรรสามิต มาหักออกจากค่าสัมปทาน ทำให้บริษัท ทีโอที เสียหาย 41,951.68 ล้านบาท และบริษัท กสท เสียหาย 25,992.08 ล้านบาท ที่สำคัญที่สุดคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่กำหนดให้จัดเก็บภาษีสรรพสามิต ในกิจการดาวเทียมทั้งที่เป็นกิจการโทรคมนาคม และเป็นกิจการที่บริษัท ชิน แซทเทิลไลท์ จำกัด (มหาชน) ในเครือบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป ได้รับสัมปทานจากรัฐ เช่นเดียวกับโทร.พื้นฐานและโทรศัพท์เคลื่อนที่ คนอื่นจ่ายภาษีสรรพสามิต แต่ พ.ต.ท.ทักษิณออกนโยบายแก้ไขกฎหมายต่างๆ มากมายทำให้บริษัทชินคอร์ปได้ประโยชน์
นายองอาจกล่าวว่า ทำให้พรรคสงสัยว่านี่คือส่วนหนึ่งของผลประโยชน์ที่อดีตนายกฯได้รับจนเป็นผู้ที่ร่ำรวยอันดับที่ 16 ของประเทศไทยหรือไม่ ไม่ทราบว่าความร่ำรวยดังกล่าวเกิดขึ้นจากการใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบไปเพิ่มเติมประโยชน์ให้กับตัวเองหรือไม่ พรรคเชื่อว่าความร่ำรวยของ พ.ต.ท.ทักษิณและครอบครัวส่วนหนึ่งอาจเกิดจากการทำมาหากินโดยสุจริตปกติ แต่เมื่อมีข้อกล่าวหาว่ากระทำผิดในลักษณะนี้ และในลักษณะอื่นๆ ทำให้พรรคสงสัยว่าความร่ำรวยของอดีตนายกฯเกิดขึ้นจากผลประโยชน์ทับซ้อน การทุจริตเชิงนโยบายในเรื่องอื่นๆ อีกหรือไม่
นายองอาจกล่าวว่า เรื่องนี้คงต้องติดตามดูการดำเนินการของอัยการ จะดำเนินการเรื่องนี้อย่างจริงจังหรือไม่ เพราะในอดีตที่ผ่านมาหลายครั้งอัยการดำเนินการหลายเรื่องที่ทำให้พรรควิตกกังวล ว่าจะไม่เอาจริงในคดีความต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น พรรคหวังว่า คดีนี้จะเป็นแบบอย่างที่ดี เพราะประจักษ์พยานหลักฐานต่างๆ ค่อนข้างชัดเจน น่าจะเป็นแบบอย่างที่ดีที่อัยการสมควรเอาจริงเอาจัง