ที่กระทรวงการต่างประเทศ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีสื่อมวลชนทั้งไทยและต่างประเทศนับร้อยคนมารอทำข่าวการแถลงของนายนพดล ที่ห้องวิเทศสโมสร จนทำให้ห้องแคบไปถนัดตา
ทั้งนี้ พ.ต.อ.จิรภัทร โพธิ์ชนะพันธุ์ ผู้กำกับการสถานีตำรวจนครบาลพญาไทได้นำกำลังตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบมาดูแลความเรียบร้อยประมาณ 30 นาย จนเวลา 14.00 น. นายนพดลได้เดินมาจากห้องทำงาน พร้อม น.ส.ศิลัมพา เลิศนุวัฒน์ เลขานุการรัฐมนตรี นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง สมาชิกพรรคพลังประชาชน และอธิบดีจากหลายกรม
นายนพดลแถลงยืนยันว่า ที่ผ่านมาได้ทำงานด้วยความขยันขันแข็งและซื่อสัตย์สุจริต ได้ปกป้องไม่ให้ไทยเสียดินแดน
พร้อมกับปฏิเสธข้อกล่าวหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน โดยยืนยันว่าได้ทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่น่าเสียดายและเสียใจที่มีการนำประเด็นมาปลุกเร้ากระแสชาตินิยมจนเกินสมควรจนเรื่องดังกล่าวกลายเป็นประเด็นการเมืองทั้งในและนอกสภาโดยไม่คำนึงถึงข้อเท็จจริงเพื่อหวังผลทางการเมือง อย่างไรก็ดีตนเคารพคำตัดสินของศาล และเห็นว่าเป็นคำวินิจฉัยที่จะเป็นกรณีศึกษาสำหรับผู้ที่สนใจต่อไป
''และแม้ว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิดก็ตาม แต่ผมขอแสดงสปิริตและความรับผิด ชอบโดยการลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ตั้งแต่วันที่ 14 กรกฎาคม 2551 เป็นต้นไป'' นายนพดลกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่บอกว่า ''ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินด้วยอารมณ์ ไม่ได้ตัดสินด้วยเหตุผลหรือครับ และที่ท่านบอกว่าถ้าความผิดที่เกิดขึ้นนั้นได้ทำตามคำแนะนำของกรมสนธิสัญญา แสดงว่าการที่ท่านละเมิดรัฐธรรมนูญนั้นท่านโยนความผิดไปให้กรมสนธิสัญญาใช่หรือไม่''
นายนพดลตอบว่า ''คุณสุทิน (เอพี) หรือเปล่าครับ ผมไม่ได้พูดในบริบทที่คุณสุทินถาม ผมได้แถลงไปแล้วชัดเจนว่าเราได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ได้ปรึกษาหารือกับเพื่อนข้าราชการในกระทรวงโดยเฉพาะกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย แต่ในเมื่อศาลรัฐธรรมนูญตัดสินมาเช่นนี้เราก็ต้องเคารพนะครับ''
นายนพดลกล่าวถึงอนาคตทางการเมืองว่า คงจะไปเขียนหนังสือไปทำดิคชันนารีกฎหมาย ไปสอนหนังสือ ไปพัฒนาผลิตนักกฎหมายที่มีคุณภาพให้เพิ่มมากขึ้นครับ
ส่วนที่ว่าได้คุยกับนายกฯหรือไม่ นายนพดลตอบว่า ''เป็นการตัดสินใจของผมเอง และผมได้กราบเรียนท่านนายกฯแล้วครับ จึงมาแถลง'' ทั้งนี้ ตลอดการแถลงข่าว นายนพดลมีน้ำเสียงเครือเป็นระยะ และน้ำตาคลอเบ้า