อย่างไรก็ตาม ในญัตติดังกล่าวพรรคประชาธิปัตย์แนบรายชื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค ซึ่งเป็นบุคคลตามมาตรา 171 วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญเป็นผู้สมควรดำรงตำแหน่งนายกฯคนต่อไป
สำหรับญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรมต.รายบุคคล ประกอบด้วย
1.น.พ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯ และรมว.คลัง 2.นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ รองนายกฯและรมว.พาณิชย์ 3.ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.มหาดไทย 4.นายสมพงษ์ อมรวิวัฒน์ รมว.ยุติธรรม 5.นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมว.คมนาคม 6.นายทรงศักดิ์ ทองศรี รมช.คมนาคม และ7.นายนพดล ปัทมะ รมว.ต่างประเทศ โดยทั้งหมดบริหารราชการแผ่นดินบกพร่อง ผิดพลาดล้มเหลว ไร้ประสิทธิภาพ ขาดคุณธรรมจริยธรรม ขัดหลักนิติธรรม ใช้อำนาจหน้าที่บีบบังคับข้าราชการ กลั่นแกล้งบุคคลอื่นเพื่อมุ่งสนองตอบผู้มีพระคุณในทางการเมืองส่วนตน ละเลยผลประโยชน์จนเกิดความเสียหายแก่ชาติอย่างรุนแรงมีการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ จึงไม่สมควรดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอีกต่อไป
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ถึงการขอเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญอีกครั้งเพื่ออภิปรายไม่วางใจว่า
ถือเป็นช่องทางหนึ่ง ทั้งนี้พรรคไม่ได้คาดหวังใช้ช่องทางดังกล่าว เนื่องจากฝ่ายค้านต้องอาศัยการเข้าชื่อร่วมกับส.ว.อีก เพราะต่างฝ่ายต่างทำเองไม่ได้ ที่สำคัญความคิดทั้งฝ่ายค้านและส.ว.แน่ชัดว่าขอให้ต่างคนต่างทำ ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน และคงไม่ชักชวนกลุ่มส.ว.ทั้ง 61 คนที่ยื่นอภิปรายทั่วไป มาร่วมเข้าชื่อตามมาตรา 129 แต่ยืนยันว่าพรรคฝ่ายค้านไม่ได้สวมรอยหรือแก้เกี้ยวอภิปรายทั่วไปตามมาตรา 179 ตามที่กลุ่มส.ว. 61 คนกล่าวหา แต่เป็นเพราะความพ้องและต้องกันเรื่องเวลา ที่ต้องอภิปรายปัญหาวิกฤตของประเทศพอดี
"มาตรา 129 ไม่ใช่ประเด็นหลัก ประเด็นอยู่ที่รัฐบาลโดยนายกฯพยายามยื้อและเลือกเฉพาะเจาะจงวันที่จะพิจารณาร่างงบประมาณ เพื่อให้พอดีกับเวลาปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญวันที่ 28 มิ.ย. ดังนั้น รัฐบาลโดยนายกฯสามารถแสดงความจริงใจโดยเปิดประชุมสภาสมัยวิสามัญใหม่อีกครั้ง แม้จะปิดประชุมสภาไปแล้ว"โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ามีข้อมูลเด็ดหรือหมัดน็อกรมต.หรือไม่ นายองอาจกล่าวว่า ไม่มีหมัดเด็ด แต่ทุกหมัดเท่าเทียมกันหมด แต่หากย้อนดูอดีตจะพบว่าหลังอภิปรายไม่ไว้วางใจ รัฐบาลจะปรับครม.แทบทุกครั้ง