วันนี้ (17 พ.ค.) นายไชยา สะสมทรัพย์ รมว.สาธารณสุข กล่าวถึงการปรับ ครม.ว่า
ตนได้เรียนนายกฯว่ากรณีการถือครองหุ้นของนางจุไร สะสมทรัพย์ ภรรยาของตนเกิน 5 % นั้นอยากจะต่อสู้ให้ถึงที่สุดก่อน คือ ขึ้นสู่ศาลรัฐธรรมนูญ ผลออกมาอย่างไรก็เป็นอย่านั้นคิดว่าคงพิจารณาไม่นานเพราะเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนูญไม่กี่มาตรา คือ มาตรา 263 มาตรา 269 และอ้างอิงถึงมาตรา 182 (7) และทาง ป.ป.ช.ก็ส่งเรื่องให้ 4 หน่วยงานไปแล้ว ทาง กกต.ก็เรียกตนไปสอบสวนและส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญแล้ว อีกทั้งศาลรัฐธรรมนูญก็มีหนังสือให้ตนชี้แจงแล้ว
นายไชยา กล่าวต่อว่า
การชี้แจงต่อ กกต.เมื่อหลายวันก่อน ทางกกต.ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เพราะตามกฎหมาย กกต.ก็มีสิทธิเข้ามาพิจารณาเรื่องนี้ ซึ่ง กกต.ดูแล้วว่าตนและภรรยาไม่มีเจตนาปกปิดบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน แต่กรณีการถือครองหุ้นเกิน 5 % นั้น ตามกฎหมายไม่ได้ระบุชัดไปถึงภรรยาของตน ยกตัวอย่างถ้าภรรยาของตนถือครองหุ้นอยู่ แล้วอยู่ดี ๆ โอนหุ้นให้คนอื่นไปจัดการเกิดบริการแล้วเสียหายใครจะรับผิดชอบ
เมื่อถามว่ามองว่าตกเป็นเป้าในการปรับ ครม.หรือไม่ นายไชยา กล่าวว่า
อย่าไปคิดว่าเป็นเป้า ให้คิดว่าการทำงานก็เป็นเรื่องปกติ เพราะประเทศไทยชอบจับผิด เรื่องนี้ถ้าตนถือครองหุ้น 5 % แล้วไม่แจ้ง แน่นอนว่าตนต้องออกไม่ต้องมาดื้อรั้น แต่เมื่อเป็นกรณีของภรรยาก็ต้องขอพิสูจน์ คิดว่าคดีคงเร็ว และศาลรัฐธรรมนูญก็ให้เวลาตนชี้แจง 15 วัน โดยในวันอังคารที่ 20 พ.ค. ตนก็จะยื่นชี้แจงแล้ว
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมานายกฯก็เคยถามว่ากรณีของตนอีกนานหรือไม่ ตนก็ได้ตอบไปว่าคงเร็ว ๆ นี้ เพราะการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวข้องกับไม่กี่มาตรา ไม่ต้องสืบพยานอะไร ตนไม่อยากบอกว่าจะถอยหรือไม่ถอย แต่อยากให้เรื่องนี้ถึงที่สุด เพื่อเป็นบรรทัดฐาน เพราะถ้ารัฐธรรมนูญไม่ชัดเจน ก็ทำให้ผู้ปฏิบัติสับสน.