ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคพลังประชาชน กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาคดีดักฟังโทรศัพท์
ในสมัยที่เป็นแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ (นปก.) ที่ได้เผยแพร่บทสนทนา ซีดีบันทึกเสียงระหว่างข้าราชการระดับสูง ผู้พิพากษาอีก 2 คน ซึ่งบทสนทนาพาดพิง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ว่า เรื่องดังกล่าวถือว่าเป็นความอยุติธรรม เพราะนายจักรภพเคยไปแจ้งความดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพกับ พล.อ.เปรม หลังจากนั้น อัยการสั่งไม่ฟ้องโดยไม่มีเหตุผล
'แต่ภายหลังมีนายตำรวจคนหนึ่งไปแจ้งความกลับหาว่า ผม นายจักรภพ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำให้เหตุการณ์โอละพ่อ เปลี่ยนจากโจทก์กลายเป็นจำเลยทันที ตามกรณีนี้ศาลอาญาได้นัดดูพยานในวันที่ 23 มิถุนายนนี้ ทั้งนี้ บุคคลที่เป็นผู้สนทนา ทั้งปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ผู้พิพากษา 2 คน รวมทั้งคนที่ถูกเอ่ยถึง เช่น พล.อ.เปรม ก็จะถูกเชิญให้เป็นพยานในชั้นศาลด้วยเช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้นคดีนี้จะเป็นคดีประวัติศาสตร์ทางการเมือง'
'จตุพร' ชี้ต้องขึ้นศาลเหมือนคนปกติส่วนกรณีที่นายจักรภพกล่าวที่สมาคมนักข่าวต่างประเทศ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2550 ที่ระบุว่า
อยากให้ พล.อ.เปรมขึ้นศาลนั้น นายจตุพรกล่าวว่า นายจักรภพมีคดี 2 คดี ที่เกี่ยวกับการหมิ่นประมาท พล.อ.เปรม ซึ่งกรณีนี้นายจักรภพหมายความว่า พล.อ.เปรมต้องขึ้นศาลในฐานะพยานหลักฐานต่อสู้คดี และเห็นว่า พล.อ.เปรมสามารถขึ้นศาลได้เหมือนคนปกติทั่วไป ส่วนกรณี ปชป.ยื่นถอดถอนนายจักรภพ นายจตุพรกล่าวว่า เป็นการประจานตนเอง เป็นเรื่องน่าละอาย ที่ปชป.ไม่ปกป้องระบอบประชาธิปไตย และนายจักรภพไม่ได้แทรกแซงสื่อเพราะสื่อของรัฐไม่ควรสนับสนุนรัฐประหาร