ตู่ปูดเอกสารลับบัวแก้วระลอก2 ลั่นไม่กลัวโดนฟ้อง

      เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 23 ธ.ค. ที่พรรคเพื่อไทย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย แถลงเปิดเอกสารลับของกระทรวงการต่างประเทศชุดที่ 2 และ 3 ว่า ตามที่เคยเปิดเอกสารชุดแรกที่ลงนามโดยนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ถึงนายกรัฐมนตรีไปแล้ว และในเอกสารชุดนั้น ยังมีเอกสารประกอบอีก 2 ส่วน ที่จัดทำโดยกองเอเชียตะวันออก 2 กรมเอเชียตะวันออก กระทรวงการต่างประเทศ ลงวันที่ 12 พ.ย. 52 โดยส่วนแรกเป็นเอกสารวิเคราะห์สถานการณ์ระหว่างไทย-กัมพูชา และข้อเสนอแนะแนวทางการตอบโต้ โดยระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นภัยหลักที่มุ่งคุกคามความอยู่รอดของรัฐบาลโดยใช้ยุทธศาสตร์มุ่งให้เกิดสถานการณ์ที่เสื่อมทรามลง โดยอาศัยความร่วมมือจากนายกฯกัมพูชา ซึ่งปักใจเชื่อว่ารัฐบาลไทยในปัจจุบันไม่ให้สิ่งที่กัมพูชาต้องการ คือทรัพยากรทางทะเล และประสาทเขาพระวิหาร และเชื่อว่ารัฐบาลไทยไม่มีความแข็งแกร่งทางการมือง สังคมไทยขาดเอกภาพ จนจะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในอนาคตอันใกล้ เป็นแรงกดดันจากภายนอก เพื่อกระตุ้นแรงกดดันจากภายในคือการเคลื่อนไหวของนปช. เพื่อยั่วยุให้เกิดความรุนแรงภายในประเทศ โดยหวังบั่นทอนเสถียรภาพของรัฐบาลไทย ให้ตกอยู่สภาพไร้อำนาจรัฐ

     นายจตุพร กล่าวว่า เอกสารดังกล่าวยังเสนอแนวทางการดำเนินการว่า จะต้องแสดงให้กัมพูชาเห็นว่าไม่มีโอกาสแม้แต่น้อยที่พ.ต.ท.ทักษิณจะชนะหรือกลับสู่อำนาจ และแม้รัฐบาลจะให้ประโยชน์อันมิชอบหรือไม่เป็นธรรมกับกัมพูชาได้ แต่กัมพูชาจะไม่เสียประโยชน์ในระยะยาว และต้องบริหารจัดการเวลาให้เป็นประโยชน์กับรัฐบาลไทยมากที่สุด เพราะรัฐบาลไทยเป็นต่อ ในขณะที่พ.ต.ท.ทักษิณ มีเวลาน้อยลงตามลำดับจากการพิจารณาคดีที่งวดเข้ามา ที่สำคัญคือคดียึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้ต้องเร่งดำเนินการและอาจตกเป็นฝ่ายเพลี้ยงพล้ำเองได้ และเมื่อต้นเหตุของปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา มาจากพ.ต.ท.ทักษิณ การจัดการปัญหาต้องมุ่งไปที่ต้นตอของปัญหาด้วยการขจัดภัยคุกคามหลัก และแยกความร่วมมือระหว่างพ.ต.ท.ทักษิณ และนายกฯกัมพูชา

     นายจตุพร กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีการประเมินสถานการณ์ไว้ 3 ด้าน คือ 1.ดีที่สุด คือสามารถประคองสถานการณ์ปัจจุบันเพื่อไม่ให้พ.ต.ท.ทักษิณและนายกฯกัมพูชาสร้างสถานการณ์ที่เลวร้ายลง จนนายกฯกัมพูชาตระหนักว่ารัฐบาลและสังคมไทยมีศักยภาพมากกว่าที่ประเมินไว้ หรือได้รับประโยชน์จากพ.ต.ท.ทักษิณระดับหนึ่งแล้ว ก็อาจปรับท่าทีความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาได้อีก แต่ต้องระมัดระวังและดูจังหวะเวลาการใช้ประเทศที่ 3 มาเป็นคู่เจรจา เนื่องจากอาจถูกมองว่าไทยกำลังเพลี่ยงพล้ำ 2.ระดับกลาง คือต่างฝ่ายต่างใช้มาตรการโต้ตอบระหว่างกัน แต่ต้องระมัดระวังให้เป็นการตอบโต้เที่ไม่กระทบผลประโยชน์ไทย มีความสมน้ำสมเนื้อ ไม่กระทบประชาชนทั้ง 2 ประเทศ และไม่สร้างรอยแผลในความสัมพันธ์ระยะยาว และ 3. เลวร้ายที่สุด คือนายกฯกัมพูชา และพ.ต.ท.ทักษิณ ร่วมกระทำการใดๆที่รุนแรงจนเกิดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในวงกว้าง ละเมิดบูรณภาพแห่งดินแดน คุกคามอำนาจอธิปไตย และสถาบันสำคัญของไทย รวมถึงการจัดตั้งรัฐบาลผลัดถิ่นในกัมพูชา อันเป็นการแทรกแซงกิจการภายในและบ่อนทำลายประเทศอย่างโจ่งแจ้ง จึงจำเป็นที่รัฐบาลไทยต้องพิจารณาตัดความสัมพันธ์ทางการทูต และยกเลิกการติดต่อทุกด้าน รวมทั้งใช้มาตรการทางทหารเพื่อปกป้องอธิไตย

     นายจตุพร กล่าวว่า สำหรับเอกสารส่วนที่ 3 เป็นเรื่องการส่งสัญญาณและระดับความรุนแรงเพื่อเตรียมมาตรการป้องปรามและตอบโต้การกระทำของนายกฯกัมพูชา โดยเริ่มตั้งแต่มาตรการความรุนแรงน้อย อาทิ ชะลอความร่วมมือทางวิชาการ ชะลอให้ความช่วยเหลือซ่อมคอสะพานเชื่อมถนนสาย 48 มาตรการความรุนแรงปานกลาง เช่นระงับจุดผ่อนปรนด้านการค้าบริเวณบ้านโนนหมากมุ่น จ.สระแก้ว ชะลอการทำความตกลงยกเว้นการตรวจลงตราหนังสือเดินทางธรรมดา ชะลอการเก็บกู้ทุ่มระเบิดสังหารบุคคลตามแนวชายแดน จนถึงมาตรการที่รุนแรงมาก เช่น สร้างความไม่สะดวก หรือห้ามคนไทยไปเล่นการพนันในกัมพูชา ยกเลิกเอ็มโอยูว่าด้วยสิทธิในไหล่ทวีป ยกเลิกสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน รวมถึงการเสริมกำลังทางทหารบริเวณชายแดน โดยเฉพาะบริเวณประสาทพระวิหาร

     นายจตุพร กล่าวว่า เอกสารทั้งหมดแสดงให้เห็นว่ารัฐบาลไทยโดยนายกษิตได้พยายามสั่งการและมีแนวทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างเลวร้ายที่สุด รวมถึงความพยายามเข้าไปก้าวล่วงอำนาจศาล รวมถึงความพยายามไล่ล่าเข่นฆ่าพ.ต.ท.ทักษิณ เพราะเอกสารระบุถึงการกำจัดภัยคุกคาม ซึ่งคำว่ากำจัดก็คือการทำให้หมดไป ก็หมายถึงการฆ่านั่นเอง นอกจากนี้ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศที่เอาเอกสารมาให้ ก็บรรยายให้ฟังว่ามีบทสนทนาในเรื่องการลอบสังหาร โดยระบุว่าถ้าจัดการไม่ได้ภายในเดือนธ.ค. 52 ก็ให้จัดการให้ได้ภายในเดือนเม.ย. 53

     นายจตุพร กล่าวว่า รวมทั้งการพยายามเอาเครื่องบินขับไล่ขึ้นประกบเครื่องบินของพ.ต.ท.ทักษิณ สิ่งที่พล.อ.อ.อิทธิพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. ออกมาปฏิเสธก็โกหก และพล.อ.อิทธิพร ไม่ควรจะนั่งเป็นผบ.ทอ.ต่อไปตั้งแต่ปล่อยให้เครื่องบินสัญชาติจอร์เจียขนอาวุธเข้ามาในประเทศไทย เพราะไม่มีผบ.ทอ.ประเทศไทยปล่อยปละละเลยได้อย่างนี้ จึงคิดว่าถ้าพล.อ.อ.อิทธิพร ไม่รู้เห็นเป็นใจ ก็ต้องโง่ ดังนั้นคนโง่ไม่ควรนั่งเป็นผบ.ทอ.

     “เราจะเก็บรวบรวมข้อมูลนี้ไว้เพื่อการอภิปรายไม่ไว้วางใจ และใครที่เกี่ยวพันกับเรื่องนี้ถ้าอยากฟ้องก็ฟ้องมาเลย ผมจะได้ฟ้องกลับ อย่างนายกษิตนี่ก็แทรกแซงอำนาจศาลชัดเจน รวมถึงเรื่องการกระทำที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ก็ขอให้ฟ้องมา จะติดคุกพร้อมกันก็ได้ จะได้เตะกันถนัดๆหน่อย และขอย้ำว่าตามที่คนเสื้อแดงจะออกมาขับไล่รัฐบาลในปีหน้านั้น ตอนนี้องค์ประกอบครบหมดแล้ว และถ้ามาแล้วเราจะไม่มาอีกเป็นครั้งที่ 2 จะต้องชัดเจนในปีหน้าแน่นอน และสำหรับเอกสารชิ้นนี้พ.ต.ท.ทักษิณ จะโพสต์ลงในทวิตเตอร์ ทั้งฉบับภาษาไทยและแปลเป็นภาษาอังกฤษ”นายจตุพร กล่าว

     จากนั้นนายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ประธานคณะกรรมาธิการการต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร ได้รับมอบเอกสารลับดังกล่าวไว้ดำเนินการ และกล่าวว่า หลังจากที่นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ปฏิเสธที่จะเข้าชี้แจงต่อที่ประชุมกรรมาธิการการต่างประเทศมาหลายหน นับแต่กรณีนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรชาวไทยและล่าสุดกรณีเอกสารลับกระทรวงการต่างประเทศ โดยให้เหตุผลว่าติดภารกิจในฐานะรมว.ต่างประเทศนั้น  ตนพร้อมกรรมาธิการจึงมีความเห็นว่าจะส่งตารางการประชุมของคณะกรรมาธิการไปให้นายกษิต ได้เลือกวันด้วยตัวเอง หากนายกษิตยังจะไม่ให้ความร่วมมือกับกรรมาธิการเลย ตนก็จะออกหนังสือประนามเพราะถือว่าไม่ให้เกียรติและตบหน้าประชาชน เพราะกรรมาธิการทำงานในนามผู้แทนประชาชน อย่างไรก็ตามตนยืนยันว่านายกษิต้องมาชี้แจงกรณีเอกสารลับด้วยตัวเอง เพราะเกี่ยวข้องกับกระทรวงการต่างประเทศโดยตรง


เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์