เฉลิมชำแหละงบฯ53 ให้นายกฯต้องระวัง มีโจรใส่สูท

" ... ขอให้รัฐบาลบริหารบ้านเมือง มากกว่าบริหารการเมือง เพราะกำลังมีโจรใส่สูท เตรียมคิดค่าคอมมิสชั่น ใน 8 แสนล้านบาทฉะนั้นนายกฯต้องระวัง ... รัฐบาลจัดทำงบแบบไม่มีระบบ ไม่มีความรู้ .... ไม่รู้จักวินัยการเงินการคลัง จัดทำงบตรวจสอบไม่ได้ ... "

 
 หมายเหตุ ส่วนหนึ่งคำอภิปรายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ส.ส.สัดส่วน ประธานส.ส.พรรคเพื่อไทย ในการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2553 ที่รัฐสภา เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน
 
-------------------------------------------
 
รัฐบาลตั้งงบ 1.7 ล้านล้านบาท เป็นงบขาดดุลจำนวน  3.5 แสนล้านบาท แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ 84.5 เปอร์เซ็นต์ งบลงทุน 15.5 เปอร์เซ็นต์ ใช้หนี้ 1.2 หมื่นล้านบาท สะท้อนว่า รัฐบาลจัดงบไม่เป็น

เพราะจัดงบทั้งหมดน้อยกว่าการประมาณการ 2 ล้านล้านบาท แต่งบรายจ่ายประจำกลับมากกว่าปีที่แล้ว 2.5 หมื่นล้าน  ที่จริงต้องจัดงบประจำให้น้อยหน่อย ทำอย่างนี้เท่ากับหายนะ ไม่มีงบไปลงทุนมากพอเท่าที่ควร เพราะลดลงจากปีที่แล้วถึง 50 เปอร์เซ็นต์และยังใช้คืนเงินกู้ได้น้อยลงก็ต้องเจอดอกเบี้ย นอกจากนี้รัฐบาลบริหารจัดเก็บภาษีไม่เข้าเป้า เพราะนโยบายไม่ชัดเจน และเข้ามาทำท่าขึงขัง แต่ผลงานกลับทำอะไรไม่ได้เลย โดยเฉพาะเคยพูดว่าจะสร้างความชัดเจนเรื่องฆ่าตัดตอนยาเสพติดที่รัฐบาลที่ผ่านๆมาเคยทำ ซึ่งนายกฯเคยพูดไว้ตอนเป็นฝ่ายค้าน แต่เรื่องนี้นำไปสู่ความวิบัติของสังคม เพราะรัฐบาลต้องการจับผิดเฉพาะบุคคล ตำรวจเลยปล่อยเกียร์ว่าง ไม่กล้าจับกุม วันๆเอาแต่หาว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ อยู่ไหน แต่ไม่ดูเรื่องการจ้างงาน การลงทุน ผลคือก่อปัญหาสังคมอื่นๆตามมา ฉะนั้นต้องมุ่งที่เศรษฐกิจ โดยเริ่มจากแก้การเมืองให้นิ่งได้โดยคืนความยุติธรรมให้พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้ที่โดนตัดสิทธิ์ เพื่อให้รัฐบาลไปได้ทุกพื้นที่
 
นายกฯเอาแต่เดินทางไปต่างประเทศเพื่อไปกู้ แต่เรื่องแก้ปัญหาภาคใต้ที่บอกว่า จะแก้เศรษฐกิจ จะให้มีศบ.ชต. ผมท้าว่า ถ้าแน่จริงทำไมไม่ออกเป็นพ.ร.ก. ผมจะยืนสนับสนุนถ้าเป็นเรื่องดี

เพราะตอนนี้มีการฆ่ากันมาก ทั้งที่โรงพัก และมัสยิด ครู พระ หรืออาจทำเป็นเขตปกครองพิเศษแบบซินเกียง ที่ประเทศจีน ตอนนั้นผมเคยเสนอ แต่พรรคประชาธิปัตย์ด่าแหลก ก็ไม่เป็นไร จะเอาแบบกทม. หรือพัทยาก็ได้ ให้มาคุยกัน นอกจากนี้ แม่ทัพนายกองฝีมือดีๆลงไปอยู่ตรงนั้น แต่กลับสร้างดราม่าให้รองนายกฯด้านความมั่นคงลงไปแล้วใครจะกลัว หรือพ.ร.ก.ฉุกเฉิน พรรคประชาธิปัตย์ก็ด่า ถามว่าตอนนี้ ทำไมไม่ยกเลิกถ้าไม่เห็นด้วย มีการจัดตั้งครม.พิเศษ แต่รัฐธรรมนูญไม่เห็นมีบทบัญญัติให้อำนาจ ผมคิดว่า รัฐบาลควรมอบอำนาจให้กองทัพจัดการ สถานการณ์จะดีขึ้น เพราะ มท.1 มท.3 ไม่รู้เรื่อง แถมไม่คุ้นพื้นที่ นักการเมืองลงไปถือว่าไปท้าทายผู้ก่อเหตุ ถ้าเป็นผมจะแก้จากนอกประเทศเข้ามา และจะไม่ทำอย่างรองนายกฯด้านความมั่นคงเป็นอันขาดที่ เติมกำลังเข้าไป และให้สัมภาษณ์อวดรู้   
 
เมื่อดูงบต่างๆ อาทิ งบรักษาความมั่นคงของรัฐ 1.1 หมื่นล้านบาท แต่เจ้าหน้าที่เสียขวัญ แผนเสริมสร้างระบบป้องกันประเทศ 1 แสนกว่าล้าน มากไปในภาวะแบบนี้

แผนงานระบบข่าวกรองภาครัฐ 612 ล้าน จะไปทำอะไร ทำไมไม่ให้ความสำคัญกับการข่าวที่จะเป็นส่วนสำคัญในการหาข้อมูลเชิงลึก งบแก้ก่อการร้าย 8 พันกว่าล้าน ถามว่าจะแก้อย่างไรเมื่อในครม. ก็มีคนที่โดนโจมตีเรื่องปิดสนามบินนั่งอยู่ 1 คน งบฉุกเฉินจำเป็น 3.9 หมื่นล้านบาท สงสัยว่า จะเป็นงบหาเสียงหรือไม่ เพราะถ้าไม่มีเหตุฉุกเฉิน นายกฯเป็นคนถือ สามารถจัดเป็นงบลับหรืออื่นๆได้  จึงเกรงว่าจะกลายเป็นการโกงกันใหญ่ ไม่มีหิริโอตตัปปะ แผนรักษาความสงบเรียบร้อยของสำนักปลัดสำนักนายกฯ 52 ล้าน เสียของ เพราะทำเนียบฯยังรักษาไม่ได้ ส่วนงบกระทรวงเกษตรฯ น้อยมาก ไม่สนใจเกษตรกรที่เป็นหลักของประเทศ

ส่วนป.ป.ช.ก็ได้งบน้อยไป ควรให้อีกพันล้าน และงบลับ ถ้านายกฯต้องการจะปราบทุจริตอย่างแท้จริง

เช่น กรณีบางคนในสตง. ลูกสะใภ้มีเงินเข้าหลายครั้งจำนวนมากทั้งที่ไม่ได้ทำงาน หรือ สตช.กับดีเอสไอ ให้น้อยไป สงสัยว่าจะไม่ชอบเพราะเกียร์ว่าง และมีการลือว่าประชาธิปัตย์ไม่ชอบดีเอสไอ ส่วนกรรมการสิทธิมนุษยชนได้ 160 ล้าน เสียของ เพราะไม่มีผลงานนอกจากด่านักการเมืองที่ตัวเองไม่ชอบ จัดการคนที่ไม่ใช่พวก เช่น กรณี 7 ตุลาคม 51 ผลสอบออกมา รู้หมด เห็นหมด พอพวกตนไปร้องกรณีเสื้อแดงก็เงียบ นอกจากนี้ควรเร่งเพิ่มเงินตอบแทนกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน     

รัฐบาลขาดทักษะ 13 ข้อ ได้แก่

1.ขาดความเข้าใจการบริหารเศรษฐกิจอย่างถ่องแท้ นายกฯบอกจะเป็นรัฐสวัสดิการ แต่จะเป็นได้ ประเทศนั้นๆ ต้องเก็บภาษีได้เกิน 50 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี แต่ไทยเก็บได้เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี จะเป็นรัฐสวัสดิการได้อย่างไร
2 .รัฐบาลกู้แล้วมาลงทุนภาครัฐมาก ซึ่งคิดก็ผิดแล้ว เพราะควรให้เอกชนลงทุน
3.ประเมินเศรษฐกิจไว้ดีเกินจริง แม้มีคนเตือนหลายคนก็ไม่เชื่อแถมตอบโต้ สุดท้ายผลออกมาไม่เป็นไปตามที่รัฐบาลประมาณการ ไตรมาสแรกลบถึง 7.1 
4.รัฐบาลใช้มาตรการที่ไม่กระตุ้นเศรษฐกิจ มากระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น การช่วยเหลือด้านการศึกษา 15 ปี นอกจากนี้ การกระตุ้นเศรษฐกิจยาว 3 ปีก็ไม่ใช่ เพราะต้องทำระยะสั้นๆ
5.ขึ้นภาษี แต่เอาเงินไปแจก เรื่องนี้ไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจ เพราะเป็นการเข้ากระเป๋าซ้ายออกกระเป๋าขวา
6.แก้เศรษฐกิจแบบไม่แก้ มีการทะเลาะกันในที่ประชุมครม. นายกฯไม่กล้าตัดสินใจเด็ดขาด เช่น จำนำข้าวบอกมีทุจริต ก็ต้องตั้งกรรมการสอบทันที แต่ปรากฏว่า เปลี่ยนเป็นประกันราคาแทน ระหว่างนั้นก็เพิ่มโควต้าจำนำข้าว


7.กรณีรถเมล์เอ็นจีวี นายกฯโยนให้สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เพราะสงสัยว่าทุจริต แต่ก็ไม่กล้าพูด เพราะกลัวรัฐบาลล่ม ตอนหลังกทม.เริ่มออกมาขานรับ ขอเตือนว่า เป็นรัฐบาลต้องใจกว้าง
8.การจัดเก็บภาษีไม่เป็นธรรม คือ น้ำมันซึ่งส่งผลสินค้าอุปโภค บริโภค ต้นทุนการผลิต   
9.โครงการลงทุนขนาดใหญ่ เช่น 3.9 แสนล้าน 43 โครงการ ที่มาบตาพุดแต่ติดขัดเรื่องมลพิษ ก็ต้องใช้วิธีกำกับไม่ใช่ไปควบคุม หรือ งบทหาร ให้น้อยสุดในรอบสิบปี ทำนองลืมบุญคืน
10.ชอบแก้ตัว มากกว่าแก้ไข เช่น จีดีพีติดลบ 7.1 เปอร์เซ็น  ไตรมาสแรก รองนายกฯด้านเศรษฐกิจบอก เป็นเรื่องการเมือง แต่ข้อเท็จจริงคือเสื้อแดงชุมนุมเดือนเมษายน
11.รัฐบาลทำงานมา 5-6 เดือน ไม่เคยพูดเรื่องบการสร้างรายได้ พูดแต่การสร้างหนี้ แล้วก็ไม่บอกว่า กู้แล้วจะคืนอย่างไรด้วย
12.ขึ้นภาษีเดือดร้อนประชาชน ผิดกับยุคพ.ต.ท.ทักษิณ ที่เอาเงินให้รากหญ้า
13.งบเพิ่มเติมกลางปีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งแรก 1.6 แสนล้านบาท ใช้ไม่ได้ผล เช่น เช็คช่วยชาติ 2 พันบาทที่มีคนไม่มารับเป็นจำนวนมาก ก็ไม่รู้เอาเงินที่เหลือไปไว้ไหน หรือต้นกล้าอาชีพ มีเป้าช่วยคนตกงาน 5 แสนคน ปรากฏว่า มีคนมาสมัคร 7.9 หมื่นคน ชี้ให้เห็นความผิดฝาผิดตัว เพราะคนทำงานเป็น แต่เขาต้องการงานทำ จึงต้องหางานให้
 

รายได้หลักของประเทศอย่างการท่องเที่ยว ตอนนี้ลบ 40 เปอร์เซ็นต์ รัฐบาลเอาเงินไปช่วยท่องเที่ยวนิดเดียวก็แก้ไม่ได้ เพราะต่างชาติไม่มั่นใจ กลัวมีปิดสนามบิน ฉะนั้นต้องทำการท่องเที่ยวเป็นวาระแห่งชาติไปเลย รวมถึงโรคระบาดไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ มาใส่ผ้าปิดจมูกแบบนี้ นักท่องเที่ยวก็กลัว ต้องพัฒนาสนามบินเป็นศูนย์กลางการบินภูมิภาค 

 " ขอให้รัฐบาลบริหารบ้านเมือง มากกว่าบริหารการเมือง เพราะกำลังมีโจรใส่สูท เตรียมคิดค่าคอมมิสชั่น ใน 8 แสนล้านบาท ฉะนั้นนายกฯต้องระวัง ทั้งนี้ขอสรุปว่า รัฐบาลจัดทำงบแบบไม่มีระบบ ไม่มีความรู้ ไม่คำนึงถึงการลงทุนในประเทศและต่างประเทศ อวดดี ขายภาพ ไม่รู้จักวินัยการเงินการคลัง จัดทำงบตรวจสอบไม่ได้ นั่นคือ พ.ร.ก.และร่างพ.ร.บ.กู้เงิน 8 แสนล้านที่ไม่มีแผนปฏิบัติ วันนี้การเมืองต้องสู้กันโดยนโยบาย แต่ประชาธิปัตย์กลับลอกนโยบายไทยรักไทย ทั้งที่สถานการณ์ต่างกัน  
  
---------------------------------------

เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์