พันธมิตรทิ้งทำเนียบฯหนีระเบิด ปักหลัก2สนามบินทหารดูรันเวย์

พันธมิตรตื่นข่าวมือมืดจ้องบึ้มทำเนียบ "จำลอง" สั่งม็อบหนีตายสมทบ "สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง" อ้างต้องเคลียร์พื้นที่ก่อน 5 ธ.ค. แฉหวั่นทหารลุย จับตา ครม.เล็งเชือด ขรก.เกียร์ว่างสังเวยม็อบ ส.ส.พปช.ยุปลด ผบ.ทอ. ขณะที่ต่างชาติกว่าครึ่งหมื่นบินกลับบ้านแล้ว

จนถึงวันนี้ (29 พ.ย.) สถานการณ์วิกฤติของประเทศไทยยังไม่มีแนวโน้มคลี่คลายในทิศทางที่ดีขึ้น โดยผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยยังปักหลักชุมนุมใน 3 พื้นที่ คือ ทำเนียบรัฐบาล สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง ส่วนฝ่ายรัฐบาล หลังประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่เขตดอนเมือง และเขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร และ อ.บางพลี และ อ.บางเสาธง จ.สมุทรปราการ เพื่อควบคุมผู้ชุมชนกลุ่มพันธมิตร ก็ยังไม่มีท่าทีในการแก้ปัญหาที่ชัดเจนออกมา ขณะที่นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงการกลาโหม ยังเก็บตัวเงียบในบ้านพักที่หมู่บ้านกรีนวัลเล่ย์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่


ยิงป่วนพันธมิตรดอนเมือง

 เกิดเหตุความวุ่นวายรายวันขึ้นอีก ในช่วงเวลา 00.20 น. วันที่ 1 ธันวาคม มีเสียงปืนดังขึ้น 4 นัด บริเวณด้านนอกอาคารผู้โดยสารในประเทศ สนามบินดอนเมือง นอกบริเวณการชุมนุม โดยเจ้าหน้าที่การ์ดอาสาของพันธมิตรระบุว่าเห็นรถแท็กซี่ไม่ทราบสีขับผ่านมา คนที่นั่งเบาะหลังได้ลดกระจกลงและยิงปืนออกมา แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ

 ส่วนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรที่สนามบินดอนเมือง ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การ์ดพันธมิตรยังคงคุมเข้มตรวจค้นผู้ที่จะผ่านเข้ามาในพื้นที่อย่างเข้มงวด โดยมีการแบ่งพื้นที่การตรวจค้นถึง 3 ชั้น ก่อนจะเข้าพื้นที่การชุมนุมได้ นอกจากนี้ ในช่วงเช้าที่ผ่านมา การ์ดพันธมิตรได้ควบคุมตัวชายผู้ต้องสงสัย 1 คน ที่เข้ามาปะปนกับกลุ่มผู้ชุมนุม และพยายามชักชวนให้เลิกการชุมนุมแล้วให้เดินทางกลับบ้าน แต่หลังจากคุมตัวไปสอบสวนพบว่าชายคนดังกล่าวมีสติไม่สมประกอบ จึงปล่อยตัวออกนอกพื้นที่

 นอกจากนี้ การ์ดยังจำกัดพื้นที่ของผู้สื่อข่าวให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น โดยนำเก้าอี้และรถเข็นสัมภาระมากั้นเป็นบริเวณ ซึ่งผู้สื่อข่าวจะเข้าไปใช้พื้นที่ภายในอาคารจะต้องติดบัตรแสดงตนให้ชัดเจน จึงจะสามารถเข้าไปใช้พื้นที่ได้

การ์ดพธม.สุวรรณภูมิยำผู้ต้องสงสัย

 ส่วนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อเวลา 10.30 น. การ์ดพันธมิตรได้วิ่งไล่จับชายสวมเสื้อสีขาว กางเกงยีน ผูกผ้าพันคอกู้ชาติสีเหลือง ซึ่งการ์ดพันธมิตรระบุว่าเป็นกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) แฝงตัวเข้ามาเป็นการ์ดพันธมิตรนาน 3 วัน ก่อนจะมีพฤติการณ์ผิดสังเกต โดยชายคนดังกล่าววิ่งหนีการ์ดพันธมิตรที่ถือท่อนไม้และเหล็กไล่ล่าอย่างสุดชีวิต ตั้งแต่จุดตรวจสกัดของการ์ดพันธมิตรด้านหลังโรงแรมโนโวเทลมาจนถึงด้านหน้าอาคารผู้โดยสารและสะดุดล้มลง จึงถูกการ์ดพันธมิตรจับล็อกแขนทั้ง 2 ข้าง และทำร้ายร่างกาย ก่อนจะนำตัวออกไปสอบสวน ขณะที่ผู้สื่อข่าวต่างประเทศได้เข้าไปบันทึกภาพก็ถูกการ์ดพันธมิตรกระชากกล้องและขอฟิล์ม แต่เป็นกล้องดิจิทัลการ์ดพันธมิตรจึงไม่สามารถยึดไว้ได้

หึ่งบึ้มทำเนียบ"จำลอง"สั่งม็อบหนี

 ส่วนการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อเวลา 12.15 น. พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ขึ้นเวทีปราศรัยที่ทำเนียบรัฐบาล โดยกล่าวว่า ทำเนียบถือว่ามีความเสี่ยง เราจึงยอมให้เสี่ยงต่อไปไม่ได้ ดังนั้นขอให้ประชาชนที่มาร่วมชุมนุมหากจะพักค้างคืนให้ย้ายไปที่ดอนเมือง หรือสุวรรณภูมิ อย่ามาตายกันที่นี่ ขอให้เก็บข้าวของออกไปจากที่ทำเนียบ โดยให้ไปขึ้นรถที่สนามม้านางเลิ้ง และตนจะพาไปเอง

 หลังจากนั้น 15 นาที พล.ต.จำลอง ขึ้นเวทีย้ำกับกลุ่มผู้ชุมนุมอีกครั้งว่า คืนนี้จะไม่มีพันธมิตรนอนค้างที่ทำเนียบ แต่จะมีการ์ดพันธมิตรคอยดูแลความปลอดภัยในทำเนียบเท่านั้น เพราะเราได้คำนึงแล้วว่า แม้คืนที่ผ่านมาจะปลอดภัยก็ตาม แต่ก็ไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ต้องคำนึงถึงชีวิตให้มากที่สุด แกนนำพันธมิตรจึงตัดสินใจว่า หากใครค้างคืนขอให้ไปที่สุวรรณภูมิหรือดอนเมืองก็ได้ หากใครไม่เชื่อเรา หากจะค้างที่ทำเนียบก็ให้รับผิดชอบเอาเอง

 ภายหลังจากการประกาศของ พล.ต.จำลอง ปรากฏว่ากลุ่มผู้ชุมนุมได้จับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์ว่าอาจจะมีการวางระเบิดจากกลุ่มผู้ไม่หวังดีภายในทำเนียบรัฐบาล จึงทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมต่างทยอยกันเก็บข้าวเก็บของออกจากทำเนียบรัฐบาล ทำให้บรรยากาศภายในทำเนียบเงียบเหงาไปอย่างถนัดตา

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่สนามม้านางเลิ้งมีรถของกองทัพธรรม ทั้งรถหกล้อ รถตู้ รถกระบะ กว่า 10 คันจอดรอกลุ่มผู้ชุมนุม เพื่อนำกลุ่มผู้ชุมนุมไปส่งที่สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง โดยมี พล.ต.จำลอง และน.ส.อัญชลี ไพรีรัก แกนนำพันธมิตรร่วมเดินทางไปด้วย

ชี้5ธ.ค.เงื่อนตายพธม.ทิ้งทำเนียบ

 เมื่อเวลา 15.30 น. พล.ต.จำลองให้สัมภาษณ์ว่า การที่ 5 แกนนำมีมติให้เคลื่อนย้ายผู้ชุมนุมจากทำเนียบรัฐบาลไปสมทบกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมืองนั้น ไม่ได้ถูกบีบคั้นหรือมีแรงกดดัน แต่เนื่องจากขณะนี้กำลังเข้าสู่พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยจะเริ่มพระราชพิธีในวันที่ 2 ธันวาคมนี้ ดังนั้นจึงตัดสินใจจะเอาสิ่งสกปรกรกรุงรังบนถนนราชดำเนินออกให้หมด

 "หลังจากนี้มีแนวโน้มจะย้ายที่ชุมนุมออกจากทำเนียบรัฐบาลทั้งหมด ส่วนจะออกไปวันไหนจะตัดสินใจในระยะเวลาสั้นๆ นี้" พล.ต.จำลองกล่าวและว่า แต่ขณะนี้ตัดสินใจแล้วว่าจะใช้สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินดอนเมือง เป็นที่ชุมนุมหลัก ส่วนทำเนียบรัฐบาลอาจจะไม่กลับมาอีก แต่ต้องรอดูสถานการณ์กันอีกครั้ง

"จำลอง"แอ่นอกรับผิดคนเดียว

 พล.ต.จำลองกล่าวด้วยว่า ได้บอกไปยังสำนักนายกรัฐมนตรีว่า ถ้าจะให้ออกโดยเร็วควรต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง เพราะกลุ่มพันธมิตรมาเรียกร้องครั้งนี้ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่เป็นการทำเพื่อชาติบ้านเมือง เป็นการมาเฉพาะกิจ ดังนั้นหากมีอะไรบกพร่องเสียหายจะต้องมีการลงนามเป็นลายลักษณ์อักษรว่าจะไม่เอาผิด หรือคิดค่าเสียหาย อย่างไรก็ตาม หากจะมีการฟ้องร้องค่าเสียหายจากการเข้ามายึดทำเนียบรัฐบาลคิดเป็นมูลค่า 1,000 ล้านบาทนั้น ตนขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว รวมทั้งค่าเสียหายจากการปิดสนามบินสุวรรณภูมิวันละ 123 ล้านบาท ที่ฟ้องแกนนำรวม 11 คนนั้น ตนก็ขอรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว โดยให้มาเก็บกับตนได้ แต่ต้องบอกว่ามีแต่ตัวไม่มีทรัพย์สินอะไร

ดึงจนท.ตรวจทำเนียบก่อนส่งคืน

 ด้านนายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มพันธมิตร แถลงว่า ขณะนี้มีการประสานไปยังองค์กรข้างนอก เพื่อให้เข้ามาร่วมกันตรวจสอบทำเนียบรัฐบาลก่อนจะมีการส่งคืน เช่น คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน พีเน็ต กรรมาธิการสิทธิมนุษยชนและผู้บริโภคของสภาผู้แทนราษฎร ตัวแทนจากทหาร ตำรวจ ตัวแทนจากสำนักนายกรัฐมนตรี และตัวแทนสื่อมวลชน เพื่อให้มาร่วมกันตรวจสอบทำเนียบรัฐบาลว่าพันธมิตรไม่เคยสร้างความเสียหาย หรือทำลายข้าวของอย่างที่เป็นข่าว ซึ่งหากตรวจสอบพบแล้วไม่มีข้าวของเสียหายก็สามารถส่งคืนทำเนียบรัฐบาลได้ในทันที

 เมื่อถามว่ากลุ่มพันธมิตรจะรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นภายในทำเนียบรัฐบาลอย่างไร นายสุริยะใสกล่าวว่า เป็นขั้นตอนของการเจรจา หากจะมีการดำเนินคดีก็ไม่มีปัญหา เราพร้อมรับผิดชอบในสิ่งที่กระทำ และไม่ได้คิดหนี แต่ไม่มีเงินจ่าย ส่วนเรื่องการออกจากสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมินั้น จะยังไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร จนกว่าจะได้เจรจากับรัฐบาล ซึ่งจะต้องรอศาลรัฐธรรมนูญตัดสินคดียุบพรรคด้วย ทางแกนนำพันธมิตรจึงจะมีการประเมินอีกครั้ง เพราะหากศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรค ก็เท่ากับว่านายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ หลุดสภาพจากนายกรัฐมนตรีทันที ซึ่งแกนนำพันธมิตรจะต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้งว่าพรรคพลังประชาชนจะตั้งนอมินีภาคสามหรือไม่

แฉพธม.หนีก่อนทหารลุย

 มีรายงานแจ้งว่า การตัดสินใจย้ายผู้ชุมนุมจากทำเนียบรัฐบาลนั้น พล.ต.จำลอง ได้เรียกประชุมแกนนำอย่างเร่งด่วนในช่วงเช้าที่ผ่านมา เนื่องจากมีกระแสข่าวว่าจะมีกองกำลังทหารร่วมมือกับตำรวจเข้าสลายการชุมนุมทั้ง 3 จุด ในคืนนี้ (1 ธ.ค.) พล.ต.จำลองจึงแก้เกมด้วยการเคลื่อนย้ายคนออกทันที เพราะจะทำให้แผนปฏิบัติการดังกล่าวสะดุด และรัฐบาลต้องประเมินสถานการณ์กันใหม่

 รายงานระบุด้วยว่า อีกเหตุผลหนึ่งที่มีการย้ายกลุ่มผู้ชุมนุมออกจากทำเนียบ ก็เพราะว่าในทำเนียบรัฐบาลขณะนี้ไม่มีความปลอดภัยเพียงพอที่จะคุ้มครองผู้ชุมนุมที่มาปักหลักอยู่ พล.ต.จำลองจึงเสนอให้ทิ้งทำเนียบรัฐบาล และนำกำลังคนไปเสริมที่สนามบินทั้งสองแห่ง

จับหนุ่มขโมยรถ-มีผ้าโพกหัวกู้ชาติ

 เมื่อเวลา 20.00 น. พล.ต.ต.ศรีวราห์ รังสีพราหมณกุล ผบก.ตปพ. พร้อมเจ้าหน้าที่ ตปพ.กก.1 งานสายตรวจ 3 แถลงข่าวจับกุม นายสุชาญ รั้งแท้ อายุ 36 ปี อยู่บ้านเลขที่ 92 หมู่ 8 ต.ท้ายสำเภา อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช พร้อมของกลางรถยนต์โตโยต้า รุ่นยาริส สีแดง ทะเบียน ชฟ 2049 กรุงเทพมหานคร แผ่นป้ายทะเบียนปลอม 2 แผ่น อาวุธปืนยี่ห้อสมิทธ์แอนด์เวสสัน 9 มม. 1 กระบอก กระสุนขนาด 9 มม. 20 นัด ผ้าโพกหัวสีเหลืองกู้ชาติ 1 ผืน โดยจับกุมได้ภายในซอยเพชรเกษม 63/3 แขวงและเขตบางแค กรุงเทพฯ

 พล.ต.ต.ศรีวราห์กล่าวว่า จากการสอบสวน ผู้ต้องหาให้การว่า รถคันดังกล่าวเป็นของเพื่อนซึ่งยืมมาใช้ โดยยังไม่บอกว่าชื่ออะไร ส่วนปืนเป็นของภรรยา จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่ารถคันดังกล่าวเป็นทะเบียนปลอม มีการแจ้งหายไว้ที่ จ.อุดรธานี ส่วนอาวุธปืนตรวจสอบพบว่ามีทะเบียน เบื้องต้นจึงแจ้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ หรือรับของโจร มีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พกพาอาวุธในที่สาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร

เผยพธม.ขอรับถอนคดียึดทำเนียบ

 เมื่อเวลา 16.30 น.ที่พรรคพลังประชาชน นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการที่กลุ่มพันธมิตรมีมติถอนกำลังผู้ชุมนุมจากทำเนียบรัฐบาลว่า เป็นข่าวดี ส่วนการถอนกำลังของพันธมิตร ซึ่ง พล.ต.จำลอง ได้ติดต่อมาที่ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีนั้น ขอให้ทางการถอนแจ้งความบุกรุกทุกคดีที่มีการแจ้งความไว้ และขอให้ข้าราชการงดเว้นไม่เอาผิดคดีแพ่ง คดีอาญากับกลุ่มผู้ชุมนุมในการที่กลุ่มผู้ชุมนุมทำให้ทรัพย์สินเสียหาย เป็นเงื่อนไขสองข้อ แต่เรียนว่า อาคารสถานที่ในทำเนียบไม่ได้เป็นของรัฐบาล แต่เป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน

 นายณัฐวุฒิกล่าวต่อว่า กรณีมีข่าวว่า หน่วยรบพิเศษจาก จ.ลพบุรี มาฝึกอาวุธกับการ์ดพันธมิตรที่ใส่หมวกไหมพรม จึงฝากให้เหล่าทัพที่รับผิดชอบชี้แจงและตรวจสอบตามระเบียบวินัยด้วย รวมถึงกระแสข่าวที่นายทหารกลุ่มหนึ่งวางแผนจะรวบตัวนายกฯ และบังคับให้เซ็นลาออกจากตำแหน่งนั้น ถือเป็นเรื่องที่กองทัพจะต้องช่วยชี้แจง สร้างความกระจ่างให้แก่สังคมด้วย

"สมชาย"เล็งสอยขรก.สังเวยม็อบ

 นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.วัฒนธรรม และ ส.ส.แพร่ พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในวันที่ 2 ธันวาคมนี้ คาดว่าจะมีขึ้นที่ จ.เชียงใหม่ คงจะมีการหารือในหลายเรื่อง ส่วนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่ารัฐบาลเพิกเฉยต่อปัญหาการชุมนุมของกลุ่มพันธมิตรนั้น จะมีการหารือถึงข้าราชการที่ใส่เกียร์ว่างไม่ดำเนินการตามคำสั่งรัฐบาล แต่ยืนยันว่าในส่วนของทหารเราจะไม่เข้าไปยุ่งแน่นอน นอกจากนี้ ในที่ประชุม ครม.จะต้องมีการพูดคุย เพื่อสรุปมาตรการที่ชัดเจนและเด็ดขาด และจะมีคำตอบให้สังคมได้อย่างแน่นอน

 ด้านนายสุขุมพงศ์ โง่นคำ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า เรื่องที่ข้าราชการไม่ทำตามคำสั่งรัฐบาลในเรื่องการดูแลกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น ก็เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีที่จะเร่งรัดเรื่องนี้ ซึ่งคงจะมีวิธีในใจอยู่แล้ว ส่วนจะมีการปลดข้าราชการที่ใส่เกียร์ว่างหรือไม่เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี

 พ.ต.ท.สมชาย เพศประเสริฐ ส.ส.นครราชสีมา พรรคพลังประชาชน กล่าวว่า ในสถานการณ์ขณะนี้ตนไม่ได้มองไปที่การปลดตำรวจคนอื่นๆ แต่มองไปที่ พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) ที่ไม่ได้ช่วยรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเลย แต่กลับออกมาแสดงความเห็นที่มีผลกระทบต่อรัฐบาล

ปาประทัดใส่พรรคประชาธิปัตย์

 เมื่อเวลา 01.30 น. พ.ต.ท.พาติกรณ์ ศรชัย สวป.สน.บางซื่อ รับแจ้งว่า มีคนร้ายขว้างระเบิดใส่ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ ถนนเศรษฐศิริ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท กรุงเทพฯ จึงนำกำลังเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบ พบว่าที่บริเวณท่อระบายน้ำด้านข้างที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์มีเศษประทัดยักษ์บรรจุในกระป๋องกาแฟตกอยู่ ใกล้กันมีเศษนอต สกรูกระจัดกระจาย นอกจากนี้ยังพบว่า บริเวณหน้าบ้านเลขที่ 69/1-2 ซึ่งอยู่ใกล้เคียงมีเศษประทัดยักษ์ตกอยู่เช่นกัน

 นายทินวุฒิ พิลาแสน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหน้าที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เมื่อช่วงเวลาประมาณ 01.30 น. สังเกตพบรถจักรยานยนต์ 2 คัน เป็นรถจักรยานยนต์ฮอนด้า สีดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มีผู้โดยสาร 3 คน และรถจักรยานยนต์ฮอนด้าคลิก สีดำ ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน มีผู้โดยสาร 2 คน แต่ละคนสวมหมวกไหมพรมปิดหน้า ขี่มาสังเกตการณ์อยู่บริเวณร้านสวัสดิการกลางกองทัพบก ฝั่งตรงข้ามที่ทำการพรรค แล้วก็ขี่รถออกไป

ขอ ตร.คุมเข้มรันเวย์

 ขณะเดียวกัน นายเสรีรัตน์ ประสุตานนท์ ผู้อำนวยการการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า สั่งการให้ขนย้ายอุปกรณ์เอกซเรย์ออกจากสนามบินสุวรรณภูมิไปติดตั้งที่สนามบินอู่ตะเภา ได้แก่ เครื่องเอกซเรย์สัมภาระผู้โดยสาร 2 เครื่อง เครื่องเอกซเรย์กระเป๋าสัมภาระผู้โดยสารที่จะถือขึ้นเครื่องบิน 2 เครื่อง เครื่องตรวจวัตถุระเบิดแบบเดินผ่าน 2 เครื่อง เพื่อให้บริการแก่ผู้โดยสาร คาดว่าจะติดตั้งและเปิดให้บริการได้ภายในค่ำวันนี้ (1 ธ.ค.)

 ส่วนที่รันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ ทหารได้นำลวดหนามมาปิดกั้นอาคารสำนักงานใหญ่ ทอท.บริเวณใกล้รันเวย์ พร้อมทั้งนำกำลังกว่า 30 นาย มาตรึงกำลัง เพื่อไม่ให้บุคคลที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าไปภายในอาคารและรันเวย์

สื่อถอนจากอาคารสนามบิน

 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากถูกคุกคามและถูกกดดันจากกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรตลอดเวลาในการรายงานข่าวการชุมนุมที่สนามบินสุวรรณภูมิ ล่าสุด นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำกลุ่มพันธมิตรให้สัมภาษณ์ที่สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายนว่า ที่ผ่านมาว่าการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรขณะนี้อยู่ในสภาวะสงคราม คงไม่สามารถรับรองความปลอดภัยของทุกคนได้ ปรากฏว่า การปฏิบัติหน้าที่ตลอดทั้งวันของผู้สื่อข่าวทุกแขนง ไม่เว้นแม้แต่ผู้สื่อข่าวของเอเอสทีวี ถูกกลุ่มผู้ชุมนุมต่อว่า และติดตามถ่ายภาพผู้สื่อข่าวทุกคน และบันทึกวิดีโอการทำงานของผู้สื่อข่าวตลอดเวลา รวมถึงยังติดตามมาบันทึกภาพการรายงานข่าวจากรถถ่ายทอดสัญญาณที่จอดอยู่รอบนอกอาคารผู้โดยสาร เป็นเหตุให้ผู้สื่อข่าวทั้งหมดประชุมและตกลงร่วมกันว่า การทำงานที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอยู่ในสภาวะที่ล่อแหลมเสี่ยงต่อการได้รับการคุกคามจากการทำงานเป็นอย่างมาก ผู้สื่อข่าวทุกแขนง ทั้งสื่อสิ่งพิมพ์ สถานีวิทยุ วิทยุโทรทัศน์ และวิทยุกระจายเสียง ตัดสินใจย้ายไปอยู่ร่วมกันที่บริเวณ อาคารสำนักงาน ทอท. และรวมกลุ่มกันเวลาต้องเข้าไปปฏิบัติงานภายในพื้นที่ชุมนุม

องค์กรสื่อจี้ม็อบหยุดความรุนแรง

 วันเดียวกัน องค์กรวิชาชีพสื่อได้แก่ สภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ สมาพันธ์นักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย และสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์ 4 ข้อ โดยมีเนื้อหาโดยสรุป ดังนี้ 1.ขอประณามการกระทำความรุนแรงต่อนักข่าว ช่างภาพ ของสื่อมวลชนทุกแขนงในทุกกรณี และเรียกร้องต่อผู้ชุมนุมทุกฝ่ายยุติการกระทำดังกล่าวโดยเด็ดขาด

 2.สื่อมีหน้าที่ในการนำเสนอข้อเท็จจริงที่รอบด้านทุกแง่ทุกมุมของทุกฝ่าย เพื่อให้ประชาชนนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจ หากกลุ่มใดคุกคามการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน ย่อมสูญเสียการสนับสนุนจากสาธารณชน 3.ขอเรียกร้องต่อองค์กรสื่อทุกแขนง ไม่ว่าจะสังกัดใด ควรทำหน้าที่และบทบาทของตนเองอย่างเหมาะสมไม่เอนเอียง และ 4.ให้นักข่าวทุกแขนงระมัดระวังการเข้าไปปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่การชุมนุม

 ทั้งนี้เพื่อให้นักข่าวจากสื่อมวลชนทุกแขนงได้รับความสะดวก มีความปลอดภัยในการปฏิบัติหน้าที่ สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ได้จัดทำปลอกแขนให้แก่สื่อมวลชนทุกแขนงเพื่อแสดงตนในการเข้าไปทำข่าวในพื้นที่การชุมนุมของฝ่ายต่างๆ โดยจะแจกผ่านกองบรรณาธิการของสื่อมวลชนแขนงต่างๆ

ต่างชาติแห่เช็กอินที่ไบเทค

 เมื่อเวลา 06.00 น. วันที่ 1 ธันวาคม ทอท.เปิดให้บริการเช็กอิน ที่ศูนย์แสดงสินค้านิทรรศการ และการประชุมไบเทค บางนา เพื่อให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ยังตกค้างไม่สามารถเดินทางกลับประเทศได้ สามารถไปขึ้นเครื่องบินที่สนามบินอู่ตะเภา ซึ่งจะช่วยลดอุปสรรคการให้บริการที่ล่าช้าของสนามบินอู่ตะเภา ที่มีผู้โดยสารหนาแน่นได้ในระดับหนึ่ง โดยที่ไบเทคจะเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ผู้โดยสารชาวต่างชาติสามารถตรวจสอบเส้นทางและการเดินทางได้ที่ไบเทค หรือโทร.0-2749-3974, 0-2749-3982 

 ส่วนบรรยากาศหลังเปิดให้บริการตั้งแต่ 07.00 น. พบว่ามีนักท่องเที่ยวต่างชาติทยอยมาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง จุดเช็กอินที่ไบเทคจะเป็นจุดสุดท้าย หลังจากผู้โดยสารเช็กอินแล้วเสร็จก็จะมีรถโดยสารรับส่งไปขึ้นเครื่องที่สนามบินอู่ตะเภา โดยตลอดวันจะมีเที่ยวบินให้บริการทั้งสิ้นรวม 17 เที่ยวบิน แบ่งเป็นการบินไทย 8 เที่ยวบิน อีวีเอ แอร์เวย์ส 3 เที่ยวบิน บางกอก แอร์เวย์ส 1 เที่ยวบิน แอร์เอเชีย 1 เที่ยวบิน นกแอร์ 2 เที่ยวบิน ไชน่า เซาเทิร์นแอร์ไลน์ 1 เที่ยวบิน ดรุค แอร์ไลน์ 1 เที่ยวบิน

ส่งนักท่องเที่ยวกลับ 4-5 พันคน

 นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่ได้มาตรวจจุดเช็กอินที่ไบเทค บางนา กล่าวว่า จะสามารถส่งนักท่องเที่ยวเดินทางกลับประเทศได้ไม่น้อยกว่า 4,000-5,000 คน และจำนวนการรองรับผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณในแต่ละวัน ตามเที่ยวบินที่เพิ่มสูงขึ้น จากสถานการณ์ขณะนี้น่าจะส่งนักท่องเที่ยวได้หมดก่อน 10 วัน

 ส่วนคนไทยที่เดินทางไปต่างประเทศและตกค้างไม่สามารถกลับประเทศได้นั้น นายวีระศักดิ์กล่าวว่า จากการประเมินเชื่อว่ามีมากกว่า 1 หมื่นคน หลังจากนี้เครื่องบินของการบินไทยที่บินไปยังประเทศต่างๆ จะทยอยรับคนไทยที่ตกค้างกลับประเทศด้วย จึงอยากประชาสัมพันธ์ให้ญาติของผู้โดยสารที่ตกค้างติดต่อขอให้คนไทยในต่างประเทศแจ้งที่อยู่และรายงานตัวต่อสถานทูต สถานกงสุล และสายการบินที่ตนเองถือตั๋วโดยสารอยู่ เพื่อเตรียมการเดินทางกลับ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่า คนไทยที่ตกค้างในต่างประเทศรัฐบาลจะดูแลค่าใช้จ่ายให้วันละ 2,000 บาทเช่นเดียวกัน

ส่งเครื่องรับคนฝรั่งเศส-ดัตช์ที่ภูเก็ต

 ส่วนความเคลื่อนไหวของประเทศต่างๆ ในการช่วยเหลือคนของตัวเองที่ตกค้างอยู่ในประเทศไทยนั้น ล่าสุดหลายประเทศได้ส่งเครื่องบินมารับคนของตัวเองมากขึ้น โดยขยายไปใช้ท่าอากาศยานภูเก็ต นอกเหนือจากที่อู่ตะเภาซึ่งมีขนาดเล็กและไม่สามารถรองรับคนเป็นจำนวนมากได้

 ทั้งนี้ สายการบินแอร์ฟรานซ์ของฝรั่งเศส และสายการบินเคแอลเอ็มของเนเธอร์แลนด์ ได้นำเครื่องมารับนักท่องเที่ยวที่ตกค้างในไทยออกจากท่าอากาศยานภูเก็ตแล้ว นอกจากนี้ทางการฝรั่งเศสยังส่งเครื่องบินลำเลียงมารับคนของตัวเองกลับด้วย

คนฮ่องกงกลับบ้านแล้วกว่าพัน

 ส่วนนักท่องเที่ยวชาวฮ่องกงทยอยเดินทางกลับบ้านด้วยเที่ยวบินพิเศษแล้ว โดยเที่ยวบินพิเศษของสายการบินคาเธ่ย์ แปซิฟิก ออกเดินทางออกจากฮ่องกงมารับผู้โดยสารชาวฮ่องกง 380 คน กลับตั้งแต่ช่วงเย็นวันอาทิตย์ พร้อมเพิ่มเที่ยวบินพิเศษกลับไปยังสนามบินอู่ตะเภาอีกในวันจันทร์ ขณะที่สายการบินดรากอนแอร์ก็เพิ่มเที่ยวบินพิเศษจากภูเก็ตไปยังฮ่องกง เมื่อคืนวันอาทิตย์ที่ผ่านมาเช่นกัน ทำให้มีชาวฮ่องกงเดินทางกลับบ้านแล้วมากกว่า 1,100 คน

 ส่วนสายการบินแควนตัสของออสเตรเลีย ก็จัดเที่ยวบินพิเศษมารับนักท่องเที่ยวกลับเมื่อวันจันทร์ โดยนำเครื่องลงจอดที่ภูเก็ต นอกจากนี้ นายสตีเฟน สมิธ รัฐมนตรีต่างประเทศของออสเตรเลีย ยังกล่าวด้วยว่า จะกดดันเจ้าหน้าที่สายการบินไทย และการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยต่อไปให้ช่วยแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการปิดสนามบินทั้งสองแห่ง

นักจักรยานชื่อดังติดค้างในไทย

 ด้านหนังสือพิมพ์สกอตส์แมนในอังกฤษ รายงานการเปิดเผยของนายริกกี้ โคแวน ตัวแทนของนายคริส ฮอย นักปั่นจักรยานชื่อดังของสหราชอาณาจักรที่ระบุว่า นายฮอยและแฟนสาวคือหนึ่งในนักท่องเที่ยวที่ติดค้างอยู่ในประเทศไทย โดยหลังจากได้รับการติดต่อจากบริษัทขนส่งชื่อดังอย่างดีเอชแอล โลจิสติกส์ หนึ่งในสปอนเซอร์ของนายฮอย นักปั่นจักรยานชื่อดังจึงสามารถบินออกจากเกาะภูเก็ตไปยังสิงคโปร์ได้

 บนเว็บไซต์ส่วนตัวของนายเดวิด ฮอย บิดาของนักปั่นชื่อดังเจ้าของ 4 เหรียญทองโอลิมปิกเผยว่า หลังจากชัดเจนว่าไม่มีเที่ยวบินออกจากกรุงเทพฯ จึงมองหาทางเลือกซึ่งรวมถึงการเดินทางด้วยรถไฟเป็นเวลา 2 วัน หรือขับรถเป็นระยะทาง 1,900 กิโลเมตร เพื่อหาทางออกจากประเทศไทย ซึ่งขณะนั้นเที่ยวบินท้องถิ่นของไทยถูกจองเต็มนานเป็นสัปดาห์แล้ว โชคดีที่นายกาย เอลเลียต ประธานบริหารดีเอชแอลทราบเรื่อง จึงติดต่อบริษัทท้องถิ่นที่สามารถนำนายฮอยเดินทางไปสิงคโปร์ได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมง ก่อนจะต่อเครื่องไปยังนครแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี และไปยังเกาะมายอร์กาในสเปน เพื่อพบกับสปอนเซอร์อีกรายหนึ่งเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

ร้อง ตร.เร่งคลี่คลายสถานการณ์

 กลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากการปิดท่าอากาศยานสุวรรณภูมิจำนวนกว่า 200 คน นำโดย น.ส.ฤทัย คำหอม อายุ 25 ปี พนักงานบริษัทไทยจัดการลองสเตย์ ซึ่งตั้งอยู่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ นำของมอบแก่ พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ รักษาการผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อแจกจ่ายให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลการชุมนุม

 น.ส.ฤทัยกล่าวว่า เนื่องจากพนักงานที่ทำงานในสนามบิน ทั้งแม่บ้าน พนักงานทำความสะอาด พนักงานขับรถ บริษัทต่างๆ พนักงานร้านขายของภายใน หลายพันคนได้รับความเดือดร้อน หลายคนมีครอบครัวต้องเลี้ยงดู ไม่ได้ทำงานก็ไม่มีรายได้ และหลายคนอาจต้องตกงาน จึงขอเป็นกำลังใจให้ตำรวจคลี่คลายสถานการณ์โดยเร็ว

 ส่วนกลุ่มตัวแทนพนักงานขับรถในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้พวกตนเดือดร้อนมาก บางคนรายได้หายไปวันละประมาณ 700 บาท ตอนนี้หยุดงานไปแล้ว 7 วันรายได้ไม่มี ครอบครัวได้รับความเดือดร้อน

 ขณะที่สมาคมทนายความแห่งประเทศไทย ออกประกาศว่า หากบุคคลใด หรือผู้ประกอบธุรกิจรายใดได้รับความเสียหายจากการประท้วงของกลุ่มพันธมิตรในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา หรือได้รับผลกระทบจากการที่กลุ่มพันธมิตรปิดสนามบินดอนเมืองและสนามบินสุวรรณภูมิ และต้องการจะฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากแกนนำกลุ่มพันธมิตรและธุรกิจต่างๆ ที่ให้การสนับสนุนกิจกรรมของกลุ่มดังกล่าว ขอให้ติดต่อสมาคมทนายความแห่งประเทศไทยได้ที่ 26 ถนนราชดำเนิน เขตพระนคร กทม. 10200 โทรศัพท์ 0-2224-1873

30 สถานประกอบการปิดชั่วคราว

 นางอัมพร นิติสิริ อธิบดีกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน (กสร.) เปิดเผยถึงสถานการณ์ผลกระทบกรณีผู้ชุมนุมปิดล้อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิว่า ขณะนี้มีตัวเลขสถานประกอบการเกี่ยวเนื่องกับท่าอากาศยาน การบินกรุงเทพกว่า 30 แห่ง ลูกจ้างจำนวน 13,210 คน ได้รับผลกระทบจนต้องปิดกิจการชั่วคราว โดยไม่มีกำหนดเปิดทำการ และเชื่อว่าหากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิสามารถเปิดให้บริการตามปกติ สถานประกอบการต่างๆ จะยินยอมจ่ายเงินเดือนในอัตราค่าจ้างตามปกติ เพราะเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุสุดวิสัย


เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์