มาร์คย้ำรธน.ใหม่ต้องทำประชามติ หนุนผ่อนปรนอัยการศึก

มาร์คย้ำรธน.ใหม่ต้องทำประชามติ หนุนผ่อนปรนอัยการศึก

"มาร์ค"ย้ำรธน.ใหม่ต้องทำประชามติ หนุนผ่อนปรนอัยการศึก อลงกรณ์ไขก๊อกสะท้อนจุดยืนพรรค

"มาร์ค" เข้าให้ข้อคิดเห็นต่อกมธ.ยกร่างฯ ชู 3 เรื่องใหญ่ ย้ำต้องทำประชามติ ระบุ หากไม่ทำเจอกลุ่มค้านแน่ หนุนผ่อนปรนกฎอัยการศึก เปิดช่องประชาชนแสดงความเห็น ชี้ "อลงกรณ์" ลาออกจากปชป.สะท้อนจุดยืนพรรคไม่ส่งคนเป็นสปช.

เมื่อเวลา 09.40 น. วันที่ 27 พฤศจิกายน ที่รัฐสภา นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เดินทางเข้าให้ความเห็นเกี่ยวกับแนวทางการร่างรัฐธรรมนูญต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ โดยให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าหารือ ว่า การมาให้ความเห็นครั้งนี้เป็นการมาส่วนตัว โดยความเห็นทั้งหมดไม่ผูกพันกับพรรคประชาธิปัตย์ เนื่องจากพรรคยังไม่สามารถจัดประชุมได้ ซึ่งสิ่งที่ตนอยากนำเสนอต่อกมธ.ยกร่างฯ อาจแตกต่างกับที่หลายคนพูดเกี่ยวกับระบบเลือกตั้ง ซึ่งเป็นเรื่องของนักการเมือง พรรคการเมือง แต่สิ่งที่ตนตั้งใจพูดคืออยากได้รัฐธรรมนูญที่นำไปสู่การปฏิรูปและเป็นการปฏิรูปอย่างยั่งยืน ดังนั้นจะเสนอ 3 เรื่องใหญ่

1.ทำอย่างไรให้รัฐธรรมนูญมีความยั่งยืน โดยต้องเริ่มต้นจากการมีกระบวนการทำประชามติ

2.รัฐธรรมนูญไทยไม่ควรถอยหลัง ไม่ควรไปลดทอนสิทธิหรือการมีส่วนร่วมของประชาชน ซึ่งรวมถึงการที่ประชาชนมีสิทธิเลือกผู้บริหารประเทศและการกำหนดทิศทางประเทศ

3. รัฐธรรมนูญฉบับนี้ต้องแก้ปัญหาหลักของระบบการเมือง คือ เรื่องการทุจริตคอร์รัปชั่น การใช้อำนาจโดยมิชอบของฝ่ายการเมือง เป้าหมายคือต้องไปเพิ่มกลไกการตรวจสอบถ่วงดุลและบทบาทของภาคประชาชน รวมทั้งต้องลดอำนาจรัฐเพิ่มอำนาจประชาชน


นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนแนวความคิดที่ว่าจะเลือกตั้งกันอย่างไร ซึ่งถือว่าเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ตรงจุด

อยู่ที่ว่าเมื่อเลือกตั้งเข้าไปแล้วเข้าไปใช้อำนาจทุจริตมิชอบ ประเทศชาติเสียหาย ประชาชนเสียประโยชน์ เราจะแก้ไขและป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้อย่างไร โดยสิ่งเหล่านี้จะต้องบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญและอีกหลายส่วนต้องไปอยู่ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ  เพราะในอดีตบางบทบัญญัติที่อยู่ในกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญเขียนไว้ดีแต่ปฏิบัติไม่ได้ต้องแก้ไขอย่างไร ส่วนระบบการตรวจสอบซึ่งถือเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่เป็นที่มาของวิกฤติการเมือง ซึ่งตนเห็นว่าในระบบรัฐสภาต้องมีเสียงข้างมากไม่เช่นนั้นทำงานไม่ได้ ปมปัญหาที่เกิดขึ้นทำให้พรรคการเมืองหรือการทำงานในสภาอ่อนแอ ดังนั้นรัฐบาลต้องมีเสียงข้างมาก สถาบันการเมืองต้องเข้มแข็ง แต่เมื่อพรรคการเมือง นักการเมืองมีอำนาจแล้วจะต้องยอมถูกตรวจสอบและรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น และการตรวจสอบการถ่วงกุลต้องทันต่อเหตุการณ์ ไม่ใช่เกิดเรื่องขึ้นแล้วแต่ใช้เวลาเป็นปีในการตรวจสอบ ความตรึงเครียดความไม่พอใจการต่อต้านก็สะสมมากขึ้น

นายอภิสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนการได้มาของส.ว.นั้น

มองว่าไม่ควรถอยหลังแต่วิธีการได้มาของส.ว.อย่าให้เหมือนกับฐานการเลือกส.ส.เพราะเป็นคนละวัตถุประสงค์กันและต้องพยายามหาวิธีการไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับนักการเมืองส่วนที่นายเทียนฉาย กีระนันท์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) ระบุว่าจะนำหลักสถิติมาถามความเห็นเกี่ยวกับการปฏิรูปนั้นตนเห็นว่าถ้าใช้หลักสถิติเพื่อก็เป็นเรื่องที่ดี ดีกว่ารับฟังความคิดเห็นโดยไม่มีหลักวิชาการอ้างอิง แต่ต้องเข้าใจว่าการออกแบบระบบการเมืองหรือประเทศจะเอาเพียงแค่ความเห็นเป็นประเด็นมารวมกันไม่ได้ ระบบต้องสอดคล้องกัน จึงคิดว่าเป็นหลักหนึ่งที่ใช้นำมาประกอบเท่านั้น อะไรที่เป็นข้อมูลถูกต้องเที่ยงธรรมก็นำมาเป็นประโยชน์ได้  แต่ไม่ได้ความว่าการยกร่างรัฐธรรมนูญต้องทำตามที่ไปสำรวจมาเพราะการไปสำรวจมาเมื่อนำมาประกอบแล้วอาจไม่สอดคล้องกัน

"ยืนยันว่าการทำประชามติเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะถ้าไม่มีการทำประชามติข้อโต้แย้งเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเกิดขึ้น ประเทศไทยก็จะต้องมาเสียเวลากับคนกลุ่มที่ไม่พอใจรัฐธรรมนูญว่าจะรื้อหรือทำกันใหม่หรือไม่สุดท้ายก็ไม่เดินไปสักที เราหวังว่าเมื่อเหตุการณ์มาถึงจุดนี้เราอยากได้กติกาที่ดี ใช้ได้ ประชาชนยอมรับ พอพ้นระยะที่สาม ประเทศจะได้เดินหน้าพัฒนาเศรษฐกิจ ไม่ต้องมาเถียงกันเรื่องการเมืองและรัฐธรรมนูญอีก แต่ถ้าไม่ทำประชามติ จะร่างรัฐธรรมนูญดีหรือไม่ดีอย่างไร ก็ต้องมีกลุ่มคนที่ไม่พอใจ สิ่งแรกที่เขาจะหยิบขึ้นมาคือรัฐธรรมนูญฉบับนี้ประชาชนให้การยอมรับหรือไม่ ฉะนั้นการทำประชามติเป็นสิ่งที่สำคัญ แต่ผมมีข้อเสนอว่า การทำประชามติต้องมีทางเลือกให้กับประชาชนที่ชัดเจน ไม่ใช่เลือกว่ารับหรือไม่รับ แล้วจะได้อะไรเมื่อไหร่ จึงอยากให้ผู้เกี่ยวข้องพิจารณาเรื่องนี้ให้รอบคอบเพราะไม่อยากให้เสียเวลาอีก" หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว

เมื่อถามว่า ช่วงการแสดงความคิดเห็นควรมีการผ่อนปรนกฎอัยการศึกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า

เราปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่ากฎอัยการศึกเป็นการจำกัดสิทธิเสรีภาพ ดังนั้น ผู้มีอำนาจจะต้องชั่งน้ำหนักระหว่างการรักษาความสงบเรียบร้อยกับการเสียโอกาสในการรับฟังความคิดเห็นที่หลากหลายหรือเปิดเผยมากขึ้น ซึ่งจะบอกว่ากฎอัยการศึกนั้นไม่มีผลกระทบใดเลยคงไม่จริงโดยผลกระทบที่เกิดขึ้นทางผู้มีอำนาจต้องพิจารณาว่าคุ้มค่ากับการที่มีเครื่องมือนี้ในการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือไม่เพราะหน่วยงานความมั่นคงมีข้อมูลอยู่แล้ว ตนเห็นด้วยที่จะให้ผ่อนปรนกฎอัยการศึกตนไม่เชื่อว่าเมื่อไม่มีกฎอัยการศึกแล้วจะมีปัญหาเกิดขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศถ้าเกิดปัญหาตรงจุดใดก็อาจประกาศเฉพาะพื้นที่ได้และคิดว่าหากบรรยากาศยังเป็นข้อโต้แย้งไปเรื่อยๆก็ไม่เป็นประโยชน์ต่อการทำงานปฏิรูป

นายอภิสิทธิ์ยังกล่าวถึงกรณีที่นายอลงกรณ์ พลบุตร เลขาธิการคณะกรรมาธิการกิจการสภาปฏิรูปแห่งชาติ (วิปสปช.) ลาออกจากสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ว่า

+
 สิ่งที่นายอลงกรณ์ชี้แจงไปแล้วนั้นเป็นเรื่องของการอยากทำหน้าที่การเป็นสปช.อย่างอิสระ ซึ่งเป็นจุดยืนของพรรคอยู่แล้ว คือเหตุผลที่ว่าทำไมพรรคจึงไม่ส่งคนมาเป็นสปช. เพราะมองอยู่แล้วว่าคนที่เป็นสปช.แล้วสังกัดพรรคการเมืองก็จะถูกมองอีกแบบหนึ่ง ซึ่งวันนี้ก็เข้าใจตรงกันแล้ว ส่วนหลังจากที่นายอลงกรณ์พ้นจากสปช.แล้วจะกลับเข้าพรรคหรือไม่นั้นก็ต้องถามนายอลงกรณ์ว่ามีแนวทางอย่างไรเมื่อถามว่าการลาออกของนายอลงกรณ์ไม่มีนัยยะทางการเมืองใช่หรือไม่นายอภิสิทธิ์กล่าวเพียงว่า "เห็นว่าเรารักกันเหมือนเดิมนะ"


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์