สาวซีวิคเผยนาทีชีวิต ชนท้ายรถตู้9ศพ

"สาวชีวิค" เผยโฉมแล้ว พ่อแม่พานั่งรถเข็นเดินสายเยี่ยมคนเจ็บที่ รพ.วิภาวดี

เผยสภาพร่างกายยังฟกช้ำ เปิดใจอยากไปบวชถือศีลอุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิต เผยเพิ่งรู้ถูกกระแสสังคมโจมตีรุนแรงหลังจากนอนซมอยู่ใน รพ. รีบโทรศัพท์ ไปออกรายการข่าวโทรทัศน์แสดงความเสีย ใจกับเหตุที่เกิดขึ้น พร้อมยังเล่านาทีระทึกบางช่วงบางตอน ยอมรับขับรถเร็วจริงแต่ไม่มีเจตนาจะทำให้เกิดความสูญเสีย ส่วนภาพที่วิจารณ์ในอินเทอร์เน็ตกำลังโทรฯแจ้งเหตุไม่ใช่ยืนเล่นบีบี “พล.อ.วิชญ์” มีศักดิ์เป็นลุง ชี้สังคมไม่ต้องเป็นห่วงยันไม่มีใครแทรกแซง ปล่อยตำรวจทำตามกฎหมาย ฝากสื่อหยุดโจมตี ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนกฎหมายแล้ว  
   
จากเหตุการณ์สลดใจ น.ส.อรชร หรือ แพรวา (สงวนนามสกุล) อายุ 17 ปี

ขับรถเก๋งฮอนด้าซีวิคสีขาว ประสบอุบัติเหตุชนท้ายรถตู้โดยสารบนทางด่วนโทลล์เวย์ ก่อนถึงทางลงบางเขน (ฝั่งขาเข้า) ทำให้มีผู้โดยสารในรถกระเด็นออกมาเสียชีวิตทั้ง  หมด 9 ราย และบาดเจ็บอีก 6 ราย เหตุเกิดเมื่อตอนค่ำวันที่ 27 ธ.ค. ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาและนักวิชาการ สำหรับสาววัยรุ่นคนขับรถเก๋งยังนอนพักรักษาตัวอยู่ที่ รพ.แต่ไม่ยอมเปิดเผยสถานที่ หลังจากถูกกระแสสังคมโจมตีอย่างหนัก
   
ความคืบหน้าเรื่องนี้ เมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 31 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงาน 

ว่า น.ส.อรชร (สงวนนามสกุล) คนขับรถเก๋งชนรถตู้บนทางยกระดับโทลล์เวย์ ได้ยอมให้สัมภาษณ์เปิดใจเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดเรื่องสลดใจขึ้นมา โดยโทรศัพท์เข้ามา ในรายการเช้าข่าวข้น คนข่าวเช้า ทางโมเดิร์น ไนน์ทีวีว่า อยากแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด ไม่ได้มีเจตนาอะไรทั้งสิ้นที่จะทำให้เกิดการสูญเสียในครั้งนี้ จากนั้นได้เล่าเหตุการณ์บางช่วงบางตอนอ้างว่า ก่อนเกิดเหตุขับรถอยู่เลนขวาแล้วก็เห็นรถตู้ที่วิ่งอยู่ข้างหน้า แต่รถขับกินเลนเข้ามาฝั่งตนนิดนึงจึงได้เปิดไฟสูงเพื่อขอทางรถตู้ก็กลับเข้าไปในเลนตัวเอง จากนั้นตนพยายามเร่งเครื่องเพื่อจะแซงให้พ้น ปรากฏว่ารถตู้ได้กินเลนออกมาอีก
   
น.ส.อรชร เล่าเหตุการณ์ต่อด้วยน้ำเสียงค่อนข้างแหบแห้งว่า ด้วยความตกใจจึงรีบบีบแตรแล้วพยายามหักหลบหนี

ส่งผลทำให้ร่างถลำเข้าไปกระแทกใต้แผงคอนโซลอย่างแรงเนื่องจากไม่ได้คาดซีท เบลล์ (เข็มขัดนิรภัย) จากนั้นก็จำไม่ได้ว่าเหตุการณ์เป็นเช่นไร ลุกขึ้นมาได้ก็ช่วงมีเจ้าหน้าที่กู้ภัยฯช่วยนำออกมาจากรถ ภาพที่เห็นกำลังยืนกดโทรศัพท์นั้น คือต้องโทรฯแจ้งประกันเพราะว่าเจ้าหน้าที่ไม่ส่งโรงพยาบาลจนกว่าจะโทรฯเรียกประกัน ส่วนขับรถด้วยความเร็วมากแค่ไหนนั้นจำไม่ได้ ขอไม่พูดเพราะวันที่ 5 ม.ค. 54 นัดจะไปให้ปากคำตำรวจ
   

ต่อข้อซักถามว่า ช่วงนี้มีความตั้งใจจะทำอะไรบ้าง น.ส.อรชร ตอบว่า

ขอแสดงความเสียใจเพราะว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุไม่ได้ตั้งใจแล้วก็เกิดขึ้นจากความประมาท ยอมรับผิดเพราะว่าถ้าหนูไม่ขับเร็วในวันนั้นเหตุการณ์นี้ก็คงไม่เกิดขึ้นหรืออาจจะไม่รุนแรงขนาดนี้ แต่หนูพยายามเต็มที่แล้วที่จะหักหลบ เพียงแต่ว่ารถมันเสียหลักแล้วไปกระแทกต้องขอโทษจริง ๆ นอกจากนี้อยากไปบวชหรือไปถือศีลเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้ผู้เสียชีวิต รวมทั้งอยากไปร่วมงานศพแต่ด้วยสถานการณ์ที่สื่อออกไปนั้นภาพมันค่อนข้างรุนแรงนิดนึง
   
“คุณพ่อคุณแม่ได้เล่ารายละเอียดทั้งหมดให้หนูฟังว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะตั้งแต่เกิดเรื่องก็ไม่ได้เข้าอินเทอร์เน็ตและเล่นบีบีเพราะคุณหมอให้ยาเพื่อพักผ่อน เพิ่งจะมารู้ทุกอย่างชัดเจนก็เมื่อคืนที่ผ่านมา (30 ธ.ค.) ยืนยันมีเฟซบุ๊กอันเดียวไม่ได้เล่นทวิตเตอร์และไฮไฟว์ หลังจากเกิดเรื่องก็ไม่ได้มีการ   อัพเดตข้อความอะไรร้ายแรงที่เกี่ยวกับเหตุการณ์สถานะใด ๆ ทั้งสิ้นขอย้ำว่าไม่มีเลยจริง ๆ กระทั่งเริ่มจากเห็นข่าวหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง พอถามผู้ปกครองจึงรู้ว่ากระแสภายนอกเป็นยังไง ตกใจมากเลยต้องออกมาพูดอะไรสักอย่าง” น.ส.อรชร กล่าว
   
ต่อมาเวลา 09.00 น. วันเดียวกัน ที่โรงพยาบาลวิภาวดี ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.อรชร พร้อมด้วยมารดาและบิดา
 
เดินทางเข้าเยี่ยมอาการผู้ได้รับบาดเจ็บ 5 รายที่ยังพักรักษาตัวอยู่ที่ชั้น 11 พร้อมนำกระเช้าดอกไม้และขนมมามอบให้ สภาพของน.ส.อรชร ต้องนั่งรถเข็นคนไข้เนื่องจากมีอาการบาดเจ็บฟกช้ำ ได้กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง พร้อมกล่าวขอโทษเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ส่วนมารดาของ น.ส. อรชร ก็กล่าวขอโทษเช่นเดียวกันแต่ที่ออกมาเยี่ยมช้าเพราะลูกสาวก็ได้รับบาดเจ็บทำอะไรไม่ถูก สำหรับที่ต้องย้ายโรงพยาบาลเพราะกลัว เนื่องจากกระแสข่าวในอินเทอร์เน็ตโจมตีลูกสาวอย่างรุนแรง หลังจากเสร็จเรื่องก็อาจจะส่งลูกกลับไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา
   
ด้านนายวรัญญู เกตุชู 1 ใน 5 ผู้ได้รับบาดเจ็บ เปิดเผยว่า น.ส.อรชร ได้มาขอโทษในสิ่งที่ทำลงไปบอกว่ารู้สึกผิด

นอกจากนี้ยังถูกกดดันจากกระแสในอินเทอร์เน็ตที่โจมตีรุนแรง ส่วนพ่อของ น.ส.อรชร บอกว่าไม่ต้องห่วงในเรื่องคดีก็ว่ากันไปตามกฎหมายพร้อมจะรับผิดชอบเต็มที่ หากมีหมายเรียกก็พร้อมที่จะนำลูกไปเข้าพบตำรวจ ก็รู้สึกดีที่น้องและครอบครัวออกมาขอโทษ ส่วนเรื่องการฟ้องร้องค่าเสียหายนั้นผมยัง   ไม่ได้คิดเพราะมารดาบอกให้พักรักษาตัวให้หายดีเสียก่อน
   
ส่วนที่ จ.บุรีรัมย์ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ศพของ น.ส.จันจิรา ซิมกระโทก หรือน้องป้าย อายุ 22 ปี นักศึกษา ชั้นปี 4 ม.ธรรมศาสตร์ ที่เสียชีวิตเป็นรายที่ 9

นายสะโอด นางปิยะวรรณ ซิมกระโทก ผู้เป็นพ่อและแม่ ได้รับศพบุตรสาวกลับไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่วัดบ้านสวน ต.ห้วยหิน อ.หนองหงส์ ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความเศร้าโศกของคนในครอบครัวและบรรดาญาติพี่น้อง รวมทั้งเพื่อน ๆ ร่วมสถาบัน โดยมีกำหนดทำพิธีฌาปนกิจศพ เวลา 15.00 น. วันที่ 1 ม.ค. 54
   
ขณะเดียวกัน พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก ในฐานะลุงของ น.ส.อรชร ให้สัมภาษณ์ว่า
 
รู้สึกเสียใจต่ออุบัติเหตุที่เกิดขึ้นและพี่น้องในตระกูลเทพหัสดิน ณ อยุธยา ทุกคนโดยเฉพาะตนเป็นผู้ใหญ่ของตระกูลก็รู้สึกเสียใจ และทางพ่อเด็กพร้อมที่จะช่วยเหลือดูแลชดใช้ให้กับผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนในเรื่องความยุติธรรมที่สังคมกังขาว่าจะมีการช่วยเหลือในฐานะตระกูลใหญ่ ขอให้ไว้วางใจทางตระกูลเราได้เลย โดยเฉพาะเรื่องความเป็นธรรมต้องเกิดขึ้นกับทุกคน
   
“ผมไม่เคยลงไปยุ่งเกี่ยวในทางคดี ส่วนน้องชาย ซึ่งเป็นพ่อของเด็กก็บอกแล้วในเรื่องคดีความให้ตำรวจว่ากันไปตามกฎหมาย เชื่อว่าสภาพจิตใจของหลานสาว อยู่ในอาการไม่ค่อยดี หากเป็นไปได้ขอให้สื่อหยุดการเสนอข่าวได้แล้วเพราะขณะนี้ก็อยู่ในขั้นตอนขบวนการของกฎหมายแล้วจึงขอให้มั่นใจการทำงานของตำรวจ ตระกูลเราไม่มีการเข้าไปแทรกแซงการทำงานแน่นอน” พล.อ.วิชญ์ กล่าว.

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์