เมายาบ้าแย่งพวงมาลัยบัสพัทยา-กรุงเทพชนระนาว

ผู้โดยสารเมายาบ้าแย่งพวงมาลัยคนขับรถโดยสารสายพัทยา-กรุงเทพ ไปเบียดรถเก๋งซีอาวี ชนท้ายสิบล้อ จนพลิกคว่ำโชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ


 เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 16 ก.ค. พ.ต.ท.สมหมาย ชนะพะเนาว์ สารวัตรเวร สภ.ศรีราชา จ.ชลบุรี ได้รับแจ้งเหตุมีผู้โดยสารรถทัวร์สายพัทยา-กรุงเทพ เมายาแล้วคลุ้มคลั่ง แย่งพวงมาลัยพนักงานขับรถทัวร์จนไปเบียดกับรถเก๋งซีอาวี ไปชนท้ายกับรถสิบล้อ จนพลิกคว่ำแต่ไม่มีคนได้รับบาดเจ็บ เหตุเกิดที่ถนนสาย 7 ตอน 2 ขาเข้ากรุงเทพฯ หมู่ที่ 8 ต.บางพระ อ.ศรีราชา ให้รีบไปทำการสอบสวนเนื่องจากมีรถติดยาววิ่งได้เพียงเลนเดียว ส่วนผู้ก่อเหตุทางผู้โดยสารได้ช่วยกันจับกุมและรุมประชาทัณฑ์จนสบักสบอม และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวไปตรวจสอบสารเสพติดแล้ว

 ที่เกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจพบรถโดยสารปรับอากาศชั้น1 ยี่ห้อเบ็นซ์ ของ บริษัทรุ่งเรืองทัวร์ สายพัทยา-กรุงเทพ หมายเลขข้างรถ 48-54 หมายเลขทะเบียน12-0995 กทม. จอดอยู่เลนขวา สภาพรถข้างประตูทางขึ้นมีรอเบียด ห่างไปด้านหลังพบรถซีอาร์วี สีบรอนหมายเลขทะเบียน ฆฏ-1734 กทม. ด้านข้างประตูคนขับถูกเบียดเป็นแนวยาว และด้านหน้ารถโดยสารปรับอากาศ พบรถบรรทุกสิบล้อยี่ห้อ ฮีโน่หัวสีขาว หมายเลขทะเบียน 96-2330 กทม.พลิกคว่ำอยู่ โดยบรรทุกเม็ดพลาสติก อยู่ในตู้คอนเทรนเน่อร์

 เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวน นายสิทธิชัย มีพึ่ง อายุ 42 ปี พนักงานขับรถโดยสารปรับอากาศให้การว่า ขับรถออกจากพัทยาเพื่อไปส่งผู้โดยสารที่นั่งมาในรถที่ขนส่งสายใต้ ขณะที่ขับรถมาถึงที่เกิดเหตุได้มีชายวัยรุ่นที่นั่งอยู่เบาะที่ 2 ด้านหลังคนขับ ได้กระโดดมาแย่งพวงมาลัยรถที่ตนกำลังขับอยู่แล้วตะโกนว่าถูกตามฆ่า ให้จอดรถจะลงรถ ทำให้รถโดยสารได้ไปเบียดกับรถยนต์ฮอนด้าซีอาร์วีสีบรอนหมายเลขทะเบียน ฆฏ-1734 กทม.ทำให้พุ่งชนท้ายกับรถบรรทุก 10 ล้อ ที่บรรทุกเม็ดพาสติกมาเต็มคันรถจนรถพลิกคว่ำ

 ตนเองพยายามเบรกรถ และน.ส.สายพิณ กระจ่างวงษ์ อายุ 28 ปี พนักงานต้อนรับ ซึ่งนั่งอยู่ด้านหน้า ก็ได้พยายามจับตัวชายคนดังกล่าวไว้ไม่ให้แย่งพวงมาลัย ซึ่งผู้โดยสารที่นั่งมาในรถต่างมาช่วยกันจับตัวชายคนดังกล่าวไว้ได้ และยังช่วยประชาทัณฑ์จนบาดเจ็บ ซึ่งผู้โดยสารที่นั่งมาในรถโดยสารปรับอากาศ 26 คน ต่างปลอดภัยไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ขณะเดียวกันทางบริษัทได้ส่งรถอีกคันมารับผู้โดยสารไปยังจุดหมายแล้ว

 น.ส.เยาวภา แสนปัญญา อายุ 28 ปี คนขับรถซีอาร์วี ให้การว่า ขณะขับรถรถมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯเมื่อถึงที่เกิดเหตุ พบว่ารถโดยสารปรับอากาศได้ส่ายไปมา เบียดกับรถตนอย่างแรง ทำให้ไปพุ่งชนท้ายกับรถบรรทุกสิบล้อ ที่วิ่งอยู่ด้านหน้าจนพลิกคว่ำดังกล่าว

 ส่วนนายสำราญ พิงค์ดี อายุ 21 ปี คนขับรถบรรทุกสิบล้อ บอกว่า รถตนเองเป็นรถหนักเมื่อถูกพุ่งชนท้ายทำให้รถเสียหลักเกิดพลิกคว่ำทันที โชคดีตนเองกับแฟนสาว ไม่ได้รับบาดเจ็บ

 ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวชายวัยรุ่นดังกล่าวที่ชื่อ นายนพดล พวงเขียว อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 96ม.12 ต.บางขันแตก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร มาตรวจปัสสวะพบว่าเป็นสีม่วง  นายนพดล ให้การว่า เป็นพนักงานเสริฟอยู่ผับแห่งหนึ่งถนนข้าวสาร และได้ลงมาหาแฟนเก่าที่เมืองพัทยา เมื่อ 2 วันที่แล้วและได้พักค้างคืนกับแฟนเก่าและได้นำยาบ้าและยาไอซ์มาเสพ  โดยก่อนกลับก็ยังเสพยาอีกและมาขึ้นรถปรับอากาศเพื่อกลับกรุงเทพฯ
 
 "เมื่อมาถึงที่เกิดเหตุเกิดหลอนว่าผู้โดยสารที่นั่งมาด้านหลังเป็นทหารปลอมตัวมาและจะฆ่าตนเองจึงกระโดดไปแย่งพวงมาลัยคนขับรถ เพื่อจะให้จอดรถแล้วจะหลบหนีการตามฆ่า" นายนพดล กล่าว

 จากพฤติกรรมดังกล่าวทำให้เกิดอุบัติรถเบียดกันและมีรถพลิกคว่ำดังกล่าว และยังถูกผู้โดยสารที่มาช่วยกันจับรุมประชาทัณฑ์จนได้รับบาดเจ็บ  ตำรวจจึงได้แจ้งข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่1(ยาบ้า)โดยผิดกฎหมายและกระทำการอันประมาททำให้เกิดอุบัติมีผู้ได้รับความเสียหาย หลังจากนั้นจึงนำตัวไปควบคุมเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

 รวบเจ้าหน้าที่สธ.เมืองคอนค้ายาบ้าแสนเม็ด

 เมื่อเวลา 00.40 น. วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ต.ท.วันชัย ปาละวัน สวญ.สภ.กะปาง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช พ.ต.ท.ชัชชัย แก้วอ่อน สว.สส.สภ.กะปาง นำกำลังตำรวจตั้งด่านจุดตรวจบนถนนสายทุ่งสง-ตรัง ช่วงกิโลเมตรที่ 18-19 หมู่ 7 ต.ที่วัง อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ระหว่างนั้นมีรถยนต์กระบะแบบสองตอน ยี่ห้อโตโยต้า สีดำ ทะเบียน กจ 3784 นครศรีธรรมราช ขับมาจากทาง จ.ตรัง มุ่งหน้าเข้า อ.ทุ่งสง แต่ก่อนที่จะถึงด่านจุดตรวจ ปรากฏว่ารถยนต์กระบะคันดังกล่าวมีท่าทีพิรุธ เนื่องจากได้ชะลอความเร็วลงและจอดข้างทาง ก่อนเลี้ยวกลับรถเข้าไปภายในปั๊มน้ำมันซัสโก้ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากด่านจุดตรวจมากนัก

 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นพิรุธดังกล่าวจึงระดมกำลังจำนวนหนึ่ง ติดตามเข้าไปภายในปั๊มน้ำมัน พบรถยนต์ต้องสงสัยจอดอยู่หน้าห้องน้ำของปั๊ม ตรวจสอบภายในรถพบชายคนหนึ่งนั่งตรงเบาะคนขับ เจ้าหน้าที่จึงขอตรวจสอบและทราบชื่อคือ นายสราวุธ สองสี อายุ 42 ปี รับราชการ เป็นเจ้าพนักงานสาธารณสุข ระดับ 6 สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครศรีธรรมราช รักษาการหัวหน้าสถานีอนามัยบ้านไร่เหนือ อ.ทุ่งสง อยู่บ้านเลขที่ 54/1 หมู่ 13 ต.หนองหงส์ อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช

 ส่วนที่นั่งเบาะนั่งข้างคนขับ มีชายอีกคนทราบชื่อคือ นายราเชนทร์ จงกลบาล อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 79 หมู่ 6 ต.ปริก อ.ทุ่งใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช นอกจากนี้ประตูรถด้านหลังซ้ายได้เปิดอ้าทิ้งไว้ โดยมีชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ข้างๆ รถ ตรวจสอบทราบชื่อคือ นายวินิจ นิลเอียด อายุ 35 ปี อยู่บ้านเลขที่ 71/3 หมู่ 3 ต.ปริก อ.สะเดา จ.สงขลา และนางสุกรรน์ดา กาเทฬ อายุ 28 ปี อยู่บ้านเลขที่ 4 ซอย 1 ชุมชนเทศบาล 17 ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส

 ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ขอตรวจค้นภายในรถยนต์คันดังกล่าว ปรากฏว่าพบยาบ้าซุกซ่อนอยู่จำนวน 50 มัด บรรจุมัดละ 2,000 เม็ด รวมทั้งหมด 1 แสนเม็ด เงินสด 5.2 หมื่นบาท สมุดคู่ฝากบัญชีออมทรัพย์ 4 เล่ม มีเงินหมุนเวียนกว่า 10 ล้านบาท โทรศัพท์มือถือ 8 เครื่อง จึงควบคุมตัวทั้ง 4 คน พร้อมของกลางไปสอบสวนต่อที่ สภ.กะปาง อ.ทุ่งสง พร้อมกับรายงานให้ พล.ต.ต.กระจ่าง สุวรรณรัตน์ ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช ทราบ จากนั้นทาง ผบก.ภ.จว.นครศรีธรรมราช จึงเดินทางมาตรวจสอบและสอบปากคำผู้ต้องหาด้วยตัวเอง

 จากการสอบสวนเบื้องต้น มีเพียงนายราเชนทร์เพียงคนเดียวที่ให้การยอมรับสารภาพว่าร่วมกับนายสราวุธ และพวก ค้ายาบ้ามานานกว่า 1 ปี โดยรับยาบ้าจากผู้ค้าในภาคเหนือมาส่งในภาคใต้ตอนบนและจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยนายสราวุธเป็นคนชักชวน เนื่องจากนายสราวุธมีปัญหาเรื่องหนี้สินจำนวนมาก โดยเส้นทางการค้ายาบ้า เริ่มจากการค้าและส่งยาครั้งละจำนวนไม่มากนัก จากนั้นก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงหลักแสนเม็ด กระทั่งมาถูกจับกุมได้ดังกล่าว

 สำหรับยาบ้าที่ถูกจับกุมในครั้งนี้มีเป้าหมายส่งขายในจังหวัดชายแดนใต้ ราคาขายเม็ดละ 400 บาท มูลค่าสินค้าเที่ยวนี้ 40 ล้านบาท ส่วนนายสราวุธ นายวินิจ และนางสุกรรน์ดา ยังไม่ยอมให้การใดๆ เจ้าหน้าที่จึงควบคุมตัวไว้ดำเนินคดีและสอบสวนเพื่อขยายผลต่อไป

หนุ่มเสพยาบ้ายัวะเมียไม่ให้หลับนอนจ่อยิงดับ

 เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 16 กรกฎาคม พ.ต.ท.อภิธาร ภูมี สารวัตรเวร สภ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช รับแจ้งเหตุยิงกันตายที่บ้านเลขที่ 55 หมู่ 1 ต.สระแก้ว อ.ท่าศาลา จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ. อดุลย์ ธนะชัยขันธ์ ผกก. พ.ต.ท.ประเสริฐ นาคง รอง ผกก.ป. นำกำลังตำรวจสายตรวจสายสืบ เจ้าหน้าที่มูลนิธิประชาร่วมใจและ นพ.กิตติ รัตนสมบัติ ผอ.รพ.ท่าศาลา ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ

 ที่เกิดเหตุภายในห้องนอนพบศพนางวิลาวัลย์ สมพงศ์ อายุ 27 ปี เจ้าของบ้านนอนจมกองเลือดในลักษณะนอนหงาย มีบาดแผลถูกยิงด้วยกระสุนปืนลูกซองเข้าที่หน้าผากเป็นแผลเหวอะหวะ มันสมองกระจายเกลื่อนบริเวณ แพทย์ระบุเสียชีวิตมาแล้วประมาณ 6 ชั่วโมง จากการตรวจสอบห้องที่เกิดเหตุพบร่องรอยการต่อสู้ อีกทั้งยังพบอุปกรณ์การเสพยาบ้าตกอยู่ 1 ชุด และพบแหวนโลหะทราบว่าเป็นของนายประภาส ชูบุรี สามีของนางวิลาวัลย์ ผู้ตายตกอยู่ 1 วง จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน จากนั้นจึงนำศพส่ง รพ.ท่าศาลา ให้แพทย์ตรวจชันสูตรอย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่ง เบื้องต้นจากการรวบรวมข้อมูลของเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบว่านายประภาส เคยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวในข้อหาค้ายาเสพติดหลายครั้ง

 จากการสอบสวนทราบว่า การคบหาระหว่างนายประภาสกับนางวิลาวัลย์ มีปัญหาเนื่องจากญาติของฝ่ายหญิงพยายามกีดกันให้เลิกรากัน กระทั่งต่อมานายประภาสถูกจับในคดีค้ายาเสพติด เพิ่งพ้นโทษออกมาได้ 2 เดือน แต่ไม่ได้กลับมาอยู่กับนางวิลาวัลย์ โดยอาศัยอยู่คนละบ้าน แต่จะไปๆ มาๆ ก่อนพบนางวิลาวัลย์กลายเป็นศพถูกยิงเสียชีวิตคาห้องนอนทราบว่า นายประภาสมาหาและอยู่ด้วยกันในห้องตลอดทั้งคืน กระทั่งรุ่งเช้าญาติพบว่านางวิลาวัลย์ถูกยิงตาย

 เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันนิษฐานว่า ก่อนเกิดเหตุนายประภาสได้เสพยาบ้า และเกิดมีอารมณ์ทางเพศต้องการหลับนอนกับนางวิลาวัลย์ แต่ถูกปฏิเสธ จึงใช้กำลังปลุกปล้ำ แต่นางวิลาวัลย์ขัดขืนทำให้นายประภาสบันดาลโทสะ และคิดว่านางวิลาวัลย์คงจะมีผู้ชายคนอื่น จึงใช้อาวุธปืนลูกซองสั้นที่พกติดตัวตลอดเวลาจ่อยิงเสียชีวิตก่อนหลบหนีไป ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้สอบสวนสืบสวนรวบรวมพยานหลักฐานติดตามจับกุมนายประภาสมาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

จับกุมเครือข่ายยาบ้าเช่าโรงแรมปล่อยยาเสพติด

 เมื่อเวลา 10.00 น.วันที่ 16 กรกฎาคม พล.ต.ต.ธรรมนูญ เพชรบุรีกุล ผบก.ภ.จว.พิษณุโลก พ.ต.อ.ประเสริฐ กาฬรัตน์ รองผบก.ภ.จว.พิษณุโลก และพ.ต.อ.พายัพ ค้าขาย ผกก.สภ.เมืองพิษณุโลก ร่วมแถลงข่าวผลการจับกุม ผู้ต้องหาค้ายาเสพติด จำนวน 4 ราย ได้แก่ นายกอบศักดิ์ ทั้งจ้อย อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 19/205 ถนนสนามบิน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก น.ส.สุมาลี โซ้วสกุล อายุ 27 ปี อยู่บ้านเลขที่ 13/46 ถนนบรมไตรโลกนาถ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก นายหิรัญยการ หลำแก้ว อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 68 หมู่ 11 ต.บ้านกร่าง อ.เมือง จ.พิษณุโลก และ นายสันติเวช แสงเพชร อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 210 หมู่ 1 ต.นครไทย อ.เมือง จ.พิษณุโลก โดยจับกุมได้ที่บริเวณหน้าโรงแรมรอยัลเพลส ถนนพิชัยสงคราม อ.เมือง จ.พิษณุโลก พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 1,800 เม็ด

 ส่วนการจับกุมครั้งนี้สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา ตำรวจสายตรวจ สภ.เมืองพิษณุโลกจับกุมนายกอบศักดิ์ ทั้งจ้อย อายุ 31 ปี และ น.ส.สุมาลี โซ้วสกุล อายุ 27 ปี พร้อมของกลางยาบ้า จำนวน 65 เม็ด จึงควบคุมตัวมาสอบสวนพร้อมแจ้งข้อกล่าวหาว่ามียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จากนั้นจึงขยายผลจับกุมผู้ร่วมเครือข่ายอีกรายคือ นายหิรัญยการ หลำแก้ว อายุ 30 ปี ไม่พบยาเสพติดพบเพียงเครื่องกระสุนปืน ขนาด .38  จำนวน 1 กระบอก ก่อนขยายผลล่อซื้อยาบ้าถุงละ 200 เม็ด ในราคา 2.8 หมื่นบาท โดยสั่งซื้อจำนวน 2 ถุง จากนายสันติเวช แสงเพชร อายุ 31 ปี หลังส่งมอบยาบ้า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้แสดงตัวเข้าจับกุม และตรวจค้นในห้องพักเลขที่ 230 และเลขที่ 290/77 ถนนพิชัยสงคราม อ.เมือง จ.พิษณุโลก ได้ของกลางยาบ้าอีก 1,400 เม็ด

 จากการสอบสวนเบื้องต้นนายสันติเวช ให้การยอมรับสารภาพว่า ได้รับซื้อยาบ้ามาจากฝั่งประเทศลาว ทางด้าน จ.เลย เพื่อนำมาขายให้กลุ่มวัยรุ่นที่ จ.พิษณุโลก โดยได้เปิดห้องพักในโรงแรมรอยัลเพลส เพื่อเป็นจุดกระจายยาบ้าให้แก่ลูกค้า เนื่องจากอยู่ในเขตตัวเมือง ประกอบกับคนพลุกพล่านไม่เป็นที่สังเกตของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยทำมาหลายครั้งแล้ว ราคายาบ้าที่ขายปัจจุบันอยู่ที่เม็ดละ 300 บาท



เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์