หนุ่มไทยเล่านาทีประจันหน้ากลุ่มฮามาส หนีพร้อมใบกะเพรา

หนุ่มไทยเล่านาทีประจันหน้ากลุ่มฮามาส หนีพร้อมใบกะเพรา ยื้อประตูโดมหลบภัย เปิดได้ตายหมดแน่ ไล่ยิงทุกคนที่มองเห็น ซ่อนตัว 2 วัน โอดเพิ่งมาทำงานได้เดือนเดียว

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 9 ต.ค.66 นายคนภูมิ ฤาชา หรือแจ็ค เปิดใจกับ ‘ข่าวสดออนไลน์' หลังจากประจันหน้ากับกลุ่มฮามาสที่ก่อเหตุโจมตีในประเทศอิสราเอล จนเกือบถูกยิง แต่สุดท้ายรอดมาได้

นายคนภูมิ กล่าวว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อช่วงเช้าวันที่ 7 ต.ค. ตนกำลังทำกับข้าวกันอยู่ ก็ได้ยินเสียงยิงปืนเริ่มมีการปะทะกัน ระหว่างภาคพื้นดิน ตอนแรกคิดว่าน่าจะเป็นคนของอิสราเอล แต่ปรากฏว่าผู้ก่อการร้าย บุกเข้ามาในแคมป์คนงานที่ตนอยู่เยอะมาก ประมาณเกือบ 100 คน แล้วก็ไล่ยิงโดยไม่สนใจใคร ยิงหมดทุกคนที่เจอ แม้กระทั่งรถผ่าน ซึ่งกลุ่มผู้ก่อเหตุมาทั้งพารามอเตอร์ มอเตอร์ไซค์ รถกระบะ พร้อมกับมีอาวุธครบมือ บางคนก็มาปล้นรถที่แคมป์แล้วก่อเหตุยิง

ตนเห็นกับตาของตัวเอง แล้วก็กำลังประเมินอยู่ว่ามันคือเหตุการณ์อะไร ซึ่งก็มีคนสงสัยว่าทำไมทหารอิสราเอลถึงใส่ชุดทหารสีนี้ ตนจึงรีบวิ่งเข้าโดมหลบภัย แล้วก็ส่องดูเรื่อยๆ ก่อนจะเห็นว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุเข้ามาประชิดบริเวณหน้าประตูแคมป์ แล้วก็ยิงที่ป้อมยามและหน่วยที่อยู่ด้านหน้าแคมป์ทั้งหมด

"เราวิ่งถือใบกะเพราเข้าไปหลบอยู่ในโดมหลบภัยเกือบ 2 วันติด ซึ่งอยู่ในนั้นประมาณ 11 คน เกือบตาย ไม่มีอากาศหายใจเลย เพราะโดมหลบภัยแคบมาก แต่ตอนนั้นก็พยายามมีสติ อยู่อย่างเงียบๆ เพื่อไม่ให้พวกมันจับได้ ซึ่งช่วงเวลานั้นมีเหตุการณ์ระทึกเกิดขึ้น กลุ่มผู้ก่อการร้ายเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าโดมหลบภัยเพื่อเช็คว่ามีใครอยู่บ้าง และพยายามจะเปิดประตูโดมที่พวกเราซ่อนอยู่ เราก็ช่วยดึงประตูไว้ไม่ยอมเปิด เพราะคิดว่าถ้าหากเปิดได้พวกเราน่าจะโดนยิงทั้งหมด เราอยู่ได้ไม่กี่นาทีโชคดีที่ทหารอิสราเอลมาพอดี จึงทำให้กลุ่มที่อยู่หน้าประตูหลบหนีไป

ตอนนี้พวกเราได้รับการช่วยเหลือจากทหารอิสราเอลแล้ว ก็มาอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ปลอดภัย แต่ก็ยังไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรต่อ เพราะจะต้องรอตามขั้นตอน แต่เราได้พูดคุยกับครอบครัวแล้วว่าจะเดินทางกลับไปประเทศไทย เพราะสถานการณ์ที่อิสราเอลน่าจะอีกนานกว่าจะกลับมาเป็นปกติ

ตนไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อนเลย เพราะเพิ่งจะมาถึงประเทศอิสราเอลเมื่อช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และได้เงินเดือนเพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้น ก็มาเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวแล้ว ยอมรับว่าช่วงเวลาที่หนีเอาชีวิตรอด ไม่ได้พกสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรเลย นอกจากใบกะเพราที่อยู่ในมือและสติของตัวเองเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม อยากฝากถึงรัฐบาลว่า แรงงานไทยบางคนเสียเงินไปแล้วยังไม่ได้ใช้หนี้เลย ก็ต้องกลับแล้ว จึงอยากให้มีมาตรการลี้ภัยซึ่งถ้าหากว่าสถานการณ์สงบสุข ก็สามารถกลับมาทำงานได้ตามปกติเพื่อที่จะได้หาเงินไปจุนเจือครอบครัวได้