หนุ่มสู้ฮามาสมือเปล่า ถึงไทยแล้ว ลั่นไม่ขอไปอีก

หนุ่มสู้ฮามาสมือเปล่า ถึงไทยแล้ว เล่านาทีรอดตายปาฏิหาริย์ ลั่นไม่ขอไปอีก วอนเพื่อนในอิสราเอลกลับมาก่อน ค่อยหางานทำใหม่

วันที่ 24 ต.ค.2566 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายวิทวัส กุลวงศ์ อายุ 34 ปี หรือ แจ๊ค แรงงานไทยในอิสราเอล ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากการฮึดสู้กลุ่มฮามาส และรอดชีวิตปาฏิหาริย์ เดินทางกลับถึงบ้านที่ จ.อุดรธานี แล้ว โดยมีภรรยา ลูก แม่ยาย และชาวบ้าน ร่วมต้อนรับอย่างอบอุ่น พร้อมทำพิธีบายศรีสู่ขวัญและเดินทางมาให้กำลังใจกันทั้งหมู่บ้าน

นายวิทวัสโชว์บาดแผลที่เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ ก่อนเปิดเผยว่า วันนี้สุขใจและโล่งอกมาก เพราะได้กลับมาถึงบ้านภรรยาแล้ว ขอใช้เวลาพักผ่อนสักระยะกับลูกและภรรยา ก่อนจะเดินทางไปที่จ.อุบลราชธานี เพื่อบวชทดแทนพระคุณพ่อแม่ เนื่องจากยังไม่เคยบวชสักครั้ง และเดินทางไปทำงานที่อิสราเอลมา 4 ปีกว่า

นายวิทวัส เล่านาทีเอาชีวิตรอดว่า เช้าวันที่ 7 ต.ค.66 กลุ่มฮามาสได้บุกเข้ามาในแคมป์คนงานที่คิบบุตช์ มีทั้งทหารและพลเรือนค้นหาคนไทยทั้งในออฟฟิศและเล้าไก่ พร้อมยิงปืนใส่ตามห้อง จากนั้นก็พากันเดินออกไป ตนจึงเปิดประตูวิ่งออกไปหลบในอุโมงค์ เวลาประมาณ 10 โมง ปรากฏว่ามีกลุ่มฮามาสชุดที่ 2 เข้ามา เขาเดินมาตามรั้วแล้วบังเอิญมาเจอตนพอดี เขาบอกให้ตนนอนคว่ำหน้าและเอามือประสานท้ายทอย

นายวิทวัส กล่าวต่อว่า ตอนนั้นไม่คิดอะไร สู้ก็ตายไม่สู้ก็ตาย จึงตัดสินใจฮึดสู้ เขามีมีด ตนมือเปล่า สู้กันประมาณ 20-30 นาที กอดรัดฟัดเหวี่ยงกัน แต่ตนพลาดท่าเจอมีดปักที่ศีรษะ ตอนนั้นมีสติอยู่ จึงดึงมีดออกแล้วหักมีด จากนั้นก็สู้กันด้วยหมัด

นายวิทวัส กล่าวอีกว่า ตนเสียเลือดมากก่อนค่อยๆ สลบไป ซึ่งก่อนที่จะสลบ กลุ่มฮามาสได้ใช้มีดปาดคอตน เขาคิดว่าตนตายแล้ว จึงตัดเอากระเป๋าคาดเอวตนไป พอ 5 โมงเย็น ตนได้สติ จึงคลานไปตามคูดินเพื่อไปหาพี่ที่หลบในห้อง ทั้งที่เลือดเต็มใบหน้า พอคลานไปถึงห้องพี่ที่ทำงานและเคาะประตูให้ช่วย ก็ไม่คิดว่าจะรอด

นายวิทวัส กล่าวต่อว่า ตอนนี้กลับถึงบ้านแล้ว คงไม่กลับไปอีกแล้ว จากนี้ไปก็หางานทำแถวบ้าน และขออยู่กับลูกและครอบครัว ตนอยากให้ทางรัฐบาลช่วยเรื่องหนี้สินของแรงงานไทยทุกคน เพราะส่วนใหญ่กู้หนี้ยืมสินก่อนไปทำงาน รวมทั้งอยากให้รัฐบาลแนะนำหรือแนะนำงานด้านต่างๆ ให้แรงงานไทยทำด้วยก็จะดี ส

นายวิทวัส กล่าวอีกว่า อยากให้เพื่อนๆ แรงงานไทยที่ยังอยู่ในประเทศอิสราเอลกลับมาตั้งหลักที่บ้านก่อน จะกลับไปทำงานหรือไม่ค่อยว่ากันทีหลัง ส่วนที่นายจ้างเพิ่มค่าแรงให้ก็ดีอยู่ แต่หากเกิดอะไรขึ้นแล้วคงไม่คุ้มกับชีวิตในสภาวะสงครามแน่นอน