กลายเป็นประเด็นที่สังคมต้องการตามหาความจริง กับกรณีที่มีผู้คนนับพันชีวิตหวังว่าจะได้เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ด้วยการจ่ายเงินซื้อทัวร์ราคาถูกเพียง 9 พัน-หมื่นกว่าบาท แต่กลับถูกลอยแพจนได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก ภายหลังทราบว่าหัวหน้ากรุ๊ปดังกล่าวคือ ซินแสโชกุน (นางสาวพสิษฐ์ อริญชญ์ลาภิศ หรือนางสาวศรัณย์พัชร์ กิติขจรพัชร์ )
คืบหน้าล่าสุด พลตำรวจโทฐิติราช หนองหาญพิทักษ์ ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง เดินทางมาที่กองปราบปรามเพื่อประชุมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และเร่งรัดการดำเนินคดีกับชินแสโชกุน พร้อมเปิดเผยว่า ขณะนี้มีผู้เสียหายเข้ามาแจ้งความแล้วประมาณ 470 คน การตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าชินแสโชกุน มีพฤติการณ์หลอกลวงประชาชนแบบนี้มาประมาณ 3-4 ครั้งแล้ว เพียงแต่มีการไกล่เกลี่ยยอมความกันมาโดยตลอด จึงไม่มีหมายจับติดตัว หลังจากที่ก่อเรื่องชินแสโชกุนจะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนนามสกุล เพื่อก่อตั้งบริษัทใหม่ เท่าที่ตรวจสอบ พบว่า มีการเปลี่ยนชื่อ-นามสกุลมาแล้วเกือบ 10 ครั้ง ยืนยันว่าครั้งนี้ตำรวจจะต้องดำเนินคดีให้ได้ และจะไม่ยอมความแน่นอน เพราะหมอโชกุนมีพฤติการณ์ดังกล่าวมาหลายครั้ง และไม่เข็ดหลาบ กลับมาก่อเหตุซ้ำอีก โดยหลังจากดำเนินคดีจะทำการยึดทรัพย์สินต่อไป เพราะมีลักษณะฉ้อโกงประชาชนจำนวนมาก คล้ายกับแชร์ลูกโซ่ โดยแม่ข่ายเองก็ไม่ทราบว่าโดนหลอก จึงไปชักชวนคนอื่นๆ มาร่วมด้วย จึงมีผู้เสียหายเป็นพันคน
พลตำรวจโทฐิติราช ระบุว่า ตำรวจจะพยายามรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่ออกหมายจับภายในวันนี้ให้ได้ จากการตรวจสอบเบื้องต้น พบว่าชินแสโชกุนยังอยู่ภายในประเทศไทย ขณะเดียวกันจะประสานไปที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ประสานกับตำรวจในพื้นที่ รับเรื่องร้องทุกข์ของประชาชน และรวบรวมสำนวนคดีมายังกองปราบปราม เพื่อให้คดีอยู่ในการดูแลของกองปราบที่เดียว จะได้ง่ายต่อการดำเนินการ ยืนยันเรื่องนี้ไม่ถือว่ามีอะไรที่ซับซ้อน คาดว่าจะสามารถติดตามตัวผู้ที่เกี่ยวข้องมาดำเนินการได้ง่าย ส่วนผู้ที่เกี่ยวข้องในการกระทำผิด ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดในตอนนี้
ขณะที่ช่วงสายของวันนี้ ตำรวจท่องเที่ยวประจำท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ควบคุมตัวแม่ข่ายมาสอบปากคำที่กองปราบ มีรายงานข่าวว่า จากการสอบปากคำเบื้องต้น หญิงสาวทั้ง 2 คนให้การว่า ตัวเองเป็นสมาชิกของบริษัทดังกล่าวจริง ซึ่งในระหว่างที่เป็นสมาชิก ไม่เคยเกิดปัญหาในลักษณะนี้ โดยก่อนจะมาขายทัวร์ ได้ซื้อสินค้า และได้รับรางวัลเป็นแพคเกจในการเดินทางไปท่องเที่ยวที่ประเทศญี่ปุ่น จึงบินกลับมารับกลุ่มผู้เสียหายทั้งหมด เพื่อเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศญี่ปุ่น แต่เมื่อมาถึงวันเดินทางกลับพบปัญหาดังกล่าว ด้านพลตำรวจตรีประเสริฐ เงินยวง ผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว ได้เดินทางมายังกองบังคับการปราบปราม เพื่อร่วมวางกรอบและแนวทางในการทำงานเพื่อสืบสวนข้อเท็จจริง และร่วมสอบปากคำผู้เสียหายด้วย ในวันนี้จะมีผู้เสียหายประมาณ 30 คนซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มผู้เสียหาย เข้ามาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีกับบริษัทและกรรมการบริหารบริษัท รวมถึงแม่ข่ายในข้อหาฉ้อโกงประชาชน โดยคดีนี้มีผู้เสียหายจากทั่วประเทศมากกว่า 2 พันคน
ด้านพลตำรวจโทชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 เปิดเผยผ่านทางโทรศัพท์ว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาได้เรียกสอบผู้เสียหายไปแล้วจำนวนกว่า 40 ปาก ส่วนผู้เสียหายรายอื่นๆ ตำรวจได้มีการแนะนำให้แจ้งความร้องทุกข์ตามภูมิลำเนาที่เกิดเหตุของตัวเอง หลังจากนั้นพนักงานสอบสวนจะนำสำนวนการสอบสวนส่งให้กองปราบปราม เพื่อจะได้รวมกับสำนวนของผู้เสียหายรายอื่นต่อไป ทั้งนี้ยังมีการควบคุมตัวคนที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องกับการหลอกผู้เสียหายจำนวนหนึ่งไว้ด้วย โดยควบคุมตัวไว้ที่สถานีตำรวจภูธรท่าอากาศยาน สุวรรณภูมิ