จากกรณีมีคลิปวิดีโอเผยแพร่ภาพเหตุการณ์เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน ขณะ นายอัครณัฐ อริยฤทธิ์วิกุล หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘น็อต เวคคลับ' พิธีกรชื่อดัง ด่าทอและต่อยหน้า นายกิตติศักดิ์ สิงโต อาชีพฝ่ายคัดกรองเอกสาร สำนักงานสรรพากรพื้นที่ตลิ่งชัน เป็นจำนวนหลายครั้งจนทำให้นายกิตติศักดิ์จมูกหัก ใบหน้าบวมปูด สาเหตุเพราะนายกิตติศักดิ์ขี่รถจักรยานยนต์เฉี่ยวชนรถมินิคูเปอร์ คันทรี่แมนของน็อตจนไฟท้ายแตก และน็อตเข้าใจว่าคู่กรณีตั้งใจจะหนีจึงบันดาลโทสะนั้น ส่งผลให้โซเชียลมีเดียมีการแชร์คลิปดังกล่าว และวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง รวมทั้งยังมีการสร้างอินโฟกราฟิก รวมทั้งขุดคุ้ยประวัติของน็อต เวลคลับ มากมาย จนเรื่องเริ่มบานปลายไม่จบลงง่ายๆนั้น
เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ ที่ปรึกษากรมสุขภาพจิต กล่าวถึงกรณีดังกล่าวว่า กรณีนี้อยากให้มองสองด้าน ความผิดในการใช้ความรุนแรงเป็นอีกเรื่อง ส่วนเรื่องการใช้โซเชียลฯ ในการวิพากษ์วิจารณ์จนเกินเลย เหมือนเป็นการซ้ำเติม หรือลามไปจนถึงครอบครัวหรือบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้อง เรื่องนี้ต้องระมัดระวัง เนื่องจากจะส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจของทั้งสองฝ่าย และอาจทำให้อาการทางจิตใจหรือความเครียดรุนแรงมากยิ่งขึ้น
เนื่องจาก ผู้ที่ใช้ความรุนแรงในกรณีต่างๆ นั้น ซึ่งอาจไม่ใช่ผู้ป่วยทางจิตเวช แบ่งออกเป็น 2 ประเภท
คือ 1. ผู้ที่มีความเครียดสะสมทำให้มีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์ความโกรธ ความไม่พอใจ ทำให้มีปัญหากระทบกระทั่งกับคนอื่นได้ง่าย ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวและสังคม ซึ่งในกรณีนี้อาจไม่ใช่เพราะเครียดจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่อาจเครียดมานานแล้วก็เป็นได้
" 2. ผู้ที่การใช้ความรุนแรงจนเป็นบุคลิก เป็นนิสัย หรือเป็นกลุ่มที่มีภาวะทางอารมณ์หรืออีคิวไม่ดีพอ แต่คนส่วนใหญ่ที่ใช้ความรุนแรงมักอยู่ในประเภทแรกคือมีความเครียดสะสม การแก้ปัญหาจะต้องเรียนรู้ที่จะควบคุมตัวเอง ไม่ปล่อยให้มีความเครียดมากจนเกินไป ปัญหาคือ คนกลุ่มนี้ไม่รู้ตัว ซึ่งเราสามารถสังเกตอาการตัวเองง่ายๆ อาทิ ปวดศีรษะ นอนไม่หลับ จิตใจว้าวุ่น ไม่มีสมาธิในการทำงาน ดังนั้นต้องรู้จักจัดการกับความเครียดของตัวเอง แต่คนไทยจัดการกับความเครียดด้วยวิธีที่ผิด ไปดูหนัง ฟังเพลง ดื่มเหล้า เป็นการคลายเครียดแบบผิวเผิน เรียกว่าเบี่ยงเบนไปทำกิจกรรมอื่น แต่ความเครียดยังคงอยู่" นพ.ยงยุทธ กล่าว
ที่ปรึกษากรมฯ กล่าวอีกว่า การบรรเทาความเครียด หรือความโกรธนั้น เบื้องต้นต้องยอมรับก่อนว่ามีความเครียดสะสม และหาวิธีบรรเทาปัญหา ด้วยการฝึกสมาธิ ออกกำลังกาย ทำจิตใจให้นิ่ง อาจเล่นโยคะ ฝึกไทเก๊ก และหากมีความโกรธเข้ามาก็อาจใช้วิธีนับเลข คอยเตือนตัวเอง หรือบางคนใช้วิธีการเอาหนังยางรัดข้อมือตัวเองเมื่อมีอารมณ์โกรธมาก็จะดึงหนังยางแล้วปล่อยดีดที่แขนเพื่อเตือนสติตัวเอง แต่ในกลุ่มที่เป็นบุคลิก หรือมีความโกรธ ความโมโหเป็นเจ้าเรือนนั้น อาจต้องต้องปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ อาทิ จิตแพทย์ นักจิตวิทยา พยาบาล โค๊ดชิ่งหรือสถาบันปรับเปลี่ยนบุคลิกภาพ เป็นต้น
"ในกรณีคดีบังคับกราบรถนั้นมีการใช้ความรุนแรงซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดก็จริง แต่การที่ผู้ใช้โซเชียลมีเดียเข้าไปแสดงความเห็นต่อกรณีนี้อย่างหลากหลาย และเป็นไปในทางสร้างความเกลียดชังนั้น เป็นภาพสะท้อนของสังคมไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาว่าไม่ได้มีความเข้าใจในความแตกต่างของการจัดการปัญหาการกระทำผิดที่แตกต่างกัน กรณีนี้ผิดก็ควรว่าไปตามกระบวนการทางกฎหมาย แต่การสร้างความเกลียดชังทั้งๆ ที่คนทำผิดเองอาจจะมีหลายเหตุผล มีความเครียดสะสม หรือเป็นนิสัย ซึ่งไม่สามารถบอกได้ แต่คนคนนี้ก็คือ 1 คนที่กำลังต้องการความช่วยเหลืออยู่ ไม่ได้ต้องการคำด่า เราไม่ควรซ้ำเติม ทำให้บรรยากาศของสังคมไม่ดี โดยเฉพาะช่วงนี้ถือว่าเป็นการทำความดีถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ก็ควรทำความดีกันไม่ใช่หรือ" นพ.ยงยุทธ กล่าว
น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า สำหรับคนที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรง มีการด่าทอ และส่งต่อในโซเชียลมีเดีย จริงๆ ก็จัดเป็นกลุ่มที่มีความเครียดโดยไม่รู้ตัว เนื่องจากสิ่งเหล่านี้คือการส่งต่อความเกลียดชัง ซึ่งไม่ควรทำ ควรปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมาย ส่วนบุคคลที่แสดงออกทางอารมณ์ก็ควรรู้จักวิธีในการบำบัดความเครียดให้ได้ หากไม่สามารถทำได้ ก็ต้องหาคนรับฟัง ซึ่งง่ายๆ โทรมาที่สายด่วนกรมสุขภาพจิต 1323 เพราะหลายคนไม่อยากเข้ารับการปรึกษากับจิตแพทย์ เพราะกลัวจะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้วิกลจริต ก็โทรมารับคำปรึกษาได้
ขอบคุณที่มาเนื้อหาจาก :: matichon.co.th