นางทัศนีย์ กล่าวต่อว่า ขณะออกจากบ้านงานได้ 20 เมตร มีรถยนต์คันหนึ่งวิ่งตามหลังมาด้วยความเร็วสูง พร้อมกับขับแซงนำหน้ารถตนขึ้นไป เป็นจังหวะเดียวกันที่นายเหลือ พ่อบำรุง ผู้ตาย ขี่รถจักรยานข้ามฝากอีกถนนหนึ่ง จังหวะเดียวกันรถยนต์กระบะคันดังกล่าวพุ่งชนด้านขวา จนร่างของนายเหลือลอยกระเด็นตกห่างจุดชนหลายเมตร จากนั้นตนและนางทองเรศ ซึ่งเป็นประจักษ์พยานซ้อนท้ายมาด้วยกัน เห็นคนขับรถกระบะฝั่งด้านคนขับลักษณะเป็นผู้ชาย รูปร่างท้วม สวมเสื้อแขนยาวสีดำ รองเท้าหนัง เดินรถมานั่งย่องๆ ดูว่านายเหลือเสียชีวิตหรือไม่ แล้วก็เดินขึ้นรถขับหนีออกไป จำได้แม่นว่าทะเบียนก็คือ หมายเลข 56 ส่วนหมวดอักษรจะเป็น บค หรือ บต ก็ไม่แน่ใจ แต่ไม่เห็นหมวดจังหวัดและจำสีรถไม่ได้ ที่สำคัญจำได้แม่นว่ารถกระบะคันนี้ติดหลังคาแครี่บอย ถึงจะมืดมากแต่หน้ารถตนเปิดไฟหน้าจึงส่องเห็น
พยานในคดีนางจอมทรัพย์ กล่าวต่อไปว่า หลังจากเหตุการณ์ผ่านมาก็ไม่ได้ติดตามข่าว หลังจากประมาณ 1 สัปดาห์ ก็มีตำรวจจาก สภ.นาโดน มีหมายเรียกไปให้ปากคำ จึงได้เล่าเหตุการณ์ตามที่ได้เห็น แต่พนักงานสอบสวนไม่ได้ถามเรื่องรถชนกันว่าคนขับเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย กระทั่งไปขึ้นศาลแล้วศาลจึงถามว่าคนขับเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย จึงตอบว่าเป็นผู้ชาย ศาลจึงถามต่อว่าทำไมตนไม่ให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวน ตนจึงตอบว่าเขาไม่ได้ถาม ประเด็นสำคัญรถกระบะคันที่พุ่งชนนายเหลือนั้น ติดหลังคาแครี่บอย
เมื่อถามว่า เคยเห็นรถของครูจอมทรัพย์หรือไม่ นางทัศนีย์ระบุว่า ไม่เคยเห็นและไม่ได้เป็นญาติกันกับครูจอมทรัพย์เลย ระหว่างนั้นเองได้มีรายการทีวีช่องหนึ่ง โทรศัพท์มาขอสัมภาษณ์เสียงสดออกอากาศ ตนก็พูดและยืนยันคำเดิมว่าคนขับรถกระบะที่ชนนายเหลือนั้นเป็นผู้ชาย เมื่อพิธีกรรายการชื่อดังถามว่านางทัศนีย์กลัวหรือไม่ที่ออกมาให้ข่าว ตนจึงตอบกลับไปว่าก็กลัวถูกฆ่าอยู่เหมือนกัน และยืนยันว่าไม่มีใครเสนอเงินให้ตนในคดีครูจอมทรัพย์แต่อย่างใด ที่ออกมาพูดเพราะเห็นใจครู และตามข้อเท็จจริงที่ได้พบเห็นมาในคืนเกิดเหตุ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่มีการถกเถียงกันว่าคนขับรถกระบะคันที่ชนนายเหลือเสียชีวิตนั้น เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ไม่ได้ปรากฏอยู่ในสำนวนชั้นพนักงานสอบสวน แต่ใปปรากฏอยู่ที่ชั้นศาล โดยนางทัศนีย์ไปขึ้นศาลทั้งมด 2 ครั้ง ยืนยันคำเดิมต่อหน้าศาลว่าคนขับเป็นผู้ชาย