เรามาแก้ปัญหาของประเทศด้วยพวกเราเองกันเถอะครับ!!!

ผมขอท้าวความสักนิดเกี่ยวกับการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนะครับ สำหรับคนที่ลืมไปแล้ว หรือมีความรู้ทางด้านนี้แล้วก็ขออภัยด้วยครับ ท่านสามารถอ่านข้ามย่อหน้านี้ไปได้เลยครับ

ระบอบ ประชาธิปไตยนั้นมีตั้งแต่สมัยกรีก แห่งกรุง Aten(หากข้อมูลผิดพลาดประการใด กรุณาช่วยบอกแก้ชี้แนะไว้ด้วยเพื่อที่ผู้มาอ่านต่อจะได้รับทราบข้อมูลที่ถูก ต้องนะครับ ช่วยๆกันครับ มาร่วมมือกันครับ)

ในสมัยนั้น การปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยโดยตรง ก็หมายความว่า ประชาชนทุกคนมีสิทธิออกเสียง โดยไม่ต้องผ่านการเลือกตั้ง เนื่องจากประชาชนยุคนั้นมีจำนวนน้อย ง่ายต่อการเข้าร่วมประชุมและสะดวกต่อการมีกิจกรรมหรือปฏิสัมพันธ์ต่อกัน

แต่ เนื่องจากประชาชนนั้นมีจำนวน มากเกินไป จึงเปลี่ยนมาเป็นระบบประชาธิปไตยโดยอ้อม หรือทางอ้อม นั่นหมายความว่ามีการคัดเลือกบุคคลหนึ่งๆ จากกลุ่มเขตประชาชนที่มีการกำหนดไว้ เข้าไปนั่งในรัฐสภา เพื่อเป็นตัวแทนของประชาชนในการออกเสียง ตั้งแต่เลือกนายกรัฐมนตรีจากตัวแทนประชาชน (หรือที่เราเรียกกันว่า สส นั่นเองครับ ตัวย่อใช้อย่างไร ขอให้มีคนมาช่วยชี้แจงข้อมูลที่ถูกต้องด้วยครับ)และบัญญัติ พรบ ต่างๆ

__________1

ดัง นั้น ปัจจุบัน การกำหนดตัวบทบาท ของรัฐบาลจะเป็นไปอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับ สส ที่ประชาชนเลือกมาครับ ท่านจึงควรใช้ สส ของท่านให้เป็นประโยชน์ครับ

แต่ เดี๋ยวก่อนครับ ในปัจจุบันนั้น ก่อนจะได้รับเลือกตั้งเป็น สส ผู้เข้ารับสมัครจะก้มไหว้ประชาชนอย่างงดงาม ต่อมาหลังจากได้รับเลือกตั้งแล้ว ประชาชนต้องไหว้ สส อย่างงดงาม และไม่นาน สสเหล่านั้นลืมคุณ และเริ่มออก พรบ เพื่อธุรกิจการค้าส่วนตน ซึ่งเกิดขึ้นในหลายประเทศ ไม่ใช่เพียงเพราะประเทศไทยเท่านั้น (บางส่วนมีการใช้อำนาจราชการการเมืองเพื่อโยกย้าย(ค้า)ราชการเพื่อผล ประโยชน์ ส่วนตน)

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ท่านจะหวังพึ่งอะไรกับ สส และรัฐบาลได้ครับ ท่านควรทำความเข้าใจว่า "ชีวิตเรา เรากำหนด " ไม่ใช่ว่า "ชีวิตเรา เขากำหนด"

ดังนั้น รัฐบาลมีหน้าที่เอื้ออำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยด้วยอำนาจอธิปไตยที่ ประชาชนให้ไว้ ท่านต้องทำความเข้าใจว่า รัฐบาล และสส สว ล้วนเป็นลูกจ้างของท่าน ที่ท่านได้จ่ายภาษีให้ไปเพื่อใช้อำนาจที่ประชาชนทุกคนให้ไปได้อย่างมี ประสิทธิภาพ

__________ 2

ถึงกระนั้น ยังมีบุคคล พ่อค้าต่างๆที่ได้ผลประโยชน์จาก สส ในเขตของตนทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด และชาวเกษตรชาวบ้านก็ต้องพึ่งพาอาศัยรายได้ต่างๆ จาก สส เหล่านี้

ทำไม นั่นหรือ มีเหตุผลครับ ชาวบ้าน ชาวไร่ ชาวสวนนั้น ทำงานหนักมากนะครับ เงินเพียง 100 บาทนั้น สามารถต่อชีวิตพวกเขาได้ไปหลายวันแล้ว หากท่านไม่เคยใช้จอบเสียมขุดดินแข็งๆก็ต้องไปลองเสียมลองจอบสัก 1-2 ชม ท่านจะเข้าใจว่ามันลำบากขนาดไหน มันเหนื่อยขนาดไหน และคนเหล่านั้น ใช้เวลากับการทำงานกี่ชั่วโมง และติดต่อกันกี่วัน และถ้าคนเหล่านี้ไม่ทำไร่ทำสวน คนกรุงเทพจะเอาอะไรกินครับ?*

ดังนั้น ทุกคนมีสิทธิ ที่จะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเอง ไม่ว่าเสื้อแดง เสื้อเหลืองนั้น ทุกคนต่างมีผลประโยชน์ของตน โดยมีเหตุผลอื่นบังหน้า แต่ก็นั่นแหละครับ ทุกคนมีสิทธิเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตนเอง แล้วผมจะอธิบายให้ทราบทีหลังครับว่าทำไมถึงเป็นแบบนั้น

แต่อย่างไรก็ ตาม ทุกคนมีความแตกต่างกันเนื่องจากโตมาในสภาพที่ต่างกัน เสื้อแดงแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน และเหลืองแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ความต้องการย่อมต่างกัน ไม่อาจเหมารวมได้ว่าใครชุมนุมด้วยความบริสุทธิ์ใจหรือไม่ แต่สิ่งที่ทุกคนมี ไม่ว่าจะชนชาติไหน ประเทศใด คือ ความเป็นมนุษย์ครับ

ท่าน ลองนึกภาพดูว่า ในครอบครัวท่านหรือครอบครัวไหนก็ตาม ไม่ว่าคนนั้นจะมีความคิดแตกต่างอย่างไร มีสมาชิกคนใดคนหนึ่งหายตัวไป และมาทราบอีกทีว่า สมาชิกคนนั้น เสียชีวิตไปแล้วสมาชิกที่มีชีวิตที่เหลืออยู่จะรู้สึกอย่างไร อยู่อย่างไร และยิ่งคนนั้นเป็นหัวหน้าครอบครัวด้วยแล้ว จะมีสภาพอย่างไร นี่แหละครับ ที่มากกว่าความเข้าใจของคนไทยที่ว่า "รักกันไว้เถิดเราเกิดร่วมแดนไทย"

แต่ อย่าลืมครับ มนุษย์ชาติในประเทศไหนๆก็รักตัวกลัวตาย และมีภาระด้วยกันทั้งสิ้น อย่าเห็นแก่ประเทศเพียงอย่างเดียว แต่ขอให้เพิ่มความเห็นแก่เพื่อนมนุษย์ด้วยครับ ทุกคนมีเหตุผลและไม่ได้โง่ แต่พวกเขาต้องการใช้ชีวิตรอดไปวันๆ ดังนั้น โปรดงดใช้ความรุนแรงอย่างเด็ดขาดครับ ผมเข้าใจว่าไม่มีทหารคนไหน อยากฆ่าคนที่ไม่รู้จักและไม่มีความแค้นด้วยหรอกครับ มันจะเป็นตราบาป ตายตาไม่หลับไปเปล่า ยิ่งแต่ละคนก็มีครอบครัวแล้วมาฆ่ากัน คนเอสกิโมมาเห็นคงหัวเราะแน่ครับ เพราะพวกเขาไม่รู้จักสงคราม และช่วยเหลือเกื้อกูลอย่างสงบเสมอมา(นี่ข้อมูลเก่านะครับ ใครมีอะไรใหม่ก็มาลงเสนอแก้ได้ครับ)

__________3

ปัญหาการแบ่งฝ่ายอย่างชัดเจนเป็นเพียงทัศนะของ แต่ละคนครับ สาเหตุมาจากอะไร พอมีเหตุผลบางอย่าง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดหรอกครับ อาจจะมีมากกว่านี้พันๆสาเหตุ และรอท่านทั้งหลายมาต่อเติมให้สมบูรณ์

การศึกษาของไทยครับ เวลาเราสอบ เราจะเห็นว่าเป็นข้อสอบแบบปรนัย มีข้อ 1 2 3 4 5 เรียงกันไป

หรือบางครั้งเป็นอัตนัยแต่ก็ไม่ต่างจากปรนัย นั่นคือ ต้องมีคำตอบที่ถูกต้องเพียงคำตอบเดียว

* ข้อสอบปรนัย คือข้อสอบแบบเลือกตอบ และข้อสอบอัตนัย คือข้อสอบเขียน(ซึ่งความหมายจริงๆแล้วมันไม่ใช่เพียงให้เราเขียนคำตอบที่ถูก แต่เป็นการตอบที่ขึ้นกับตนเอง)*

แล้วมันส่งผลอะไรนั่นหรือครับ ผมจะยกตัวอย่างให้ฟังว่า ผมเคยไปห้าง เด็กสาวตัวน้อยอยากกินขนมปังสีขาว แต่แม่บอกว่า ให้กินแต่ขนมปังข้าวกล้องเท่านั้น ขนมปังสีขาวแบบนั้นไม่มีประโยชน์และเด็กน้อยครางเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาว่า" หนูไม่ชอบ whole wheat"

การที่เราตัดสินว่าสิ่งนั้นมีประโยชน์ และไม่มีประโยชน์นั่นแหละครับ คือสิ่งที่ติดตัวมากับคนไทยโดยการศึกษาแบบปรนัย หลายคนรวมทั้งผมด้วย มักจะมีประโยคหลุดออกมาว่าสิ่งนั้น "ไม่มีประโยชน์ ไม่ดี ไม่ถูกต้อง" หลุดปากมาเสมอโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นผลมาจากการศึกษา

แต่เราโทษการ ศึกษาไมไ่ด้หรอกครับ หากไม่ใช่ข้อสอบปรนัยเราก็ไม่ทราบว่าจะเอาเกณฑ์ใดมาวัดการศึกษา เพราะครูอาจารย์หลายท่านย่อมโตมาต่างกัน การศึกษาต่างกัน การจะสอน หรือจะให้เด็กวินิจฉัยแบบอัตนัยเป็นสิ่งยาก

"โรงเรียนเป็นสถาณที่ เพิ่มความรู้และอบรมเด็กก็จริง แต่ไม่ใช่ทั้งหมดครับ แค่ช่วยแบ่งเบาภาระในด้านนี้ได้ 30 %เท่านั้น ส่วนที่เหลือคือสถาบัณครอบครัวนั่นเอง "

การศึกษาไทยนั้นไม่แย่ แค่แจกสมุดหนังสือมีครูก็เพียงพอ เพราะรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการชอบทำและบอกว่าจะสำเร็จแต่ไม่เป็นผลเสียที วิธีแก้ มีง่ายๆเพียงย้อนกลับขึ้นไปอ่านเรื่องขนมปังแล้ว บอกกับลูกเบาๆว่า"ขนมปังขาวก็มีประโยชน์นะจ๊ะ แต่ว่าขนมปังโฮลวีตมีประโยชน์มากกว่าจ่ะ"

สิ่งเหล่านี้จะส่งผลไปถึง การใช้เหรียญสลึง เหรียญสตางค์ เพราะเด็กไทยต้อง 1 2 3 4 5 แต่ไม่เคยมี 1.5 2.7 3.00009 เราฝึกสิ่งเหล่านี้ด้วยการใช้ชีวิตประจำวันอย่างง่ายๆ ดีกว่าไปแก้การทำข้อสอบ entrance หรือ admission ให้มันเป็นอัตนัย ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ที่น้อยกว่า และเด็กเครียดมากกว่า

อย่าลืมนะ ครับ แก้ที่สถาบันครอบครัว ลูกหลานท่านเป็นอย่างไรก็อยู่ที่ท่านและสิ่งแวดล้อมต่างๆนาๆ ท่านไมไ่ด้อยู่กับเด็กตลอด 24 ชม แต่ท่านก็ใช่ว่าจะไม่มีเวลาว่างให้หันมาพูดคุยซัก 5 นาที หรอกนะครับ ถ้าทำได้แล้ว ประเทศไทย คงจะไม่มีการแบ่งเป็นสองฝ่ายใหญ่ๆ เพราะแบ่งย่อยกลายเป็น ร้อยๆพันๆฝ่ายไปตามทศนิยมที่หลากหลายแน่นอนครับ(รวมกับหลายๆเหตุผลของท่าน อื่นๆด้วยนะครับ ช่วยกันคิดช่วยกันแก้ ผมไมไ่ด้โตมาแบบท่าน ไม่มีทางมองปัญหาในจุดเดียวกับท่านๆ โปรดช่วยกันครับ หลายสมองดีกว่าสมองเดียว)

__________4

จากส่วนที่สามที่ว่าถ้า ไม่มีชาวไร่ชาวสวน คนกรุงเทพนั้นจะเอาอะไรกิน บางคนตอบได้ว่า นำเข้าจากจีน หรือประเทศอื่นสิ ราคาก็ถูกกว่า อย่าลืมนะครับว่า ประเทศไทยเราเดิมนั้น ปลูกพืชเพียงแต่พอกิน ปลูกผักหลากหลายชนิดขาดอะไรก็หาในไร่นาและสวนของตนเองได้ อะไรมีเกินเหลือกินเหลือใช้ก็ขายไป

จนกระทั่งยุคหนึ่งมีการติดต่อ ค้าขายกับต่างประเทศ ขุนนางผู้ซึ่งถือที่ดินหรือระบบฟิลดันได้ให้ชาวนาปลูกแต่ข้าวเพียงอย่าง เดียวเพื่อทำการค้าขายจนร่ำรวย และชาวนาหลายๆคนเริ่มเอาอย่าง เพื่อความร่ำรวยที่ขุนนางเหล่านั้นมี และส่งผลให้ขุนนางเหล่านั้นมีอำนาจกดขี่ประชาชนได้ รวมกับระบบการปกครองสมัยนั้นด้วยแล้วประชาชนอยู่อย่างลำบากครับ เมื่อข้าวราคาถูก ชาวนาก็ตาย แต่คนที่ยังมีกำไรเหลือก็ยังเป็นขุนนางผู้ซึ่งเป็นพ่อค้าคนกลางและเจ้าของ ที่ดิน เพราะระบบเศรษฐกิจนั้นผูกขาดไปกับการค้าโลก ราคาสินค้าขึ้นกับต่างประเทศเสียส่วนใหญ่ และกลายเป็นระบบทุนนิยมในเวลาต่อมา

เราจะเห็นได้ง่ายๆว่า ผลพวงจากระบบทุนนิยมนั้น ได้แก่ ปี 2540 ที่ราคาอสังหาริมทรัพย์พุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว และมีการจัดสร้างบ้านจัดสรร เก็งกำไรที่ดิน ในราคาที่งดงาม ด้วยความที่เศรษฐกิจเจริญเติบโตอย่างขาดการควบคุม จนจวบจุดหนึ่ง เงินหายไปกับมหาอำนาจทางการลงทุน ราคาอสังหาริมทรัพย์ตกลง และคนลงทุนทั้งเงินกู้และใช้เงินส่วนตัว ต่างขาดทุนย่อยยับ และเริ่มออกอาการที่สหรัฐโดยไม่นานมานี้ คือการกู้เงินเพื่อซื้อเช่าอสังหาริมทรัย์ เพราะธนาคารคิดว่าเศรษฐกิจจะดี แต่เมื่อพลิกผัน คนไม่จ่ายเกิดหนี้ค้างชำระ ก็เป็นผลจากการคาดเดาระบบทุนนิยมที่ผิดพลาด ที่คิดว่ามันจะเจริญอย่างรุดหน้า และไม่มีวันหยุดยั้ง และมหาอำนาจทางการลงทุนก็ยังเห็นข้อผิดพลาดของระบบนี้เช่นกัน

วิธี แก้นั้นมีง่ายๆครับ เพียงเราพึ่งตนเองให้ได้มากที่สุด ผสมผสานระบบทุนนิยมให้เข้ากับภูมิปัญญาดั้งเดิมให้เข้ากับฐานะ ความคิด สภาพแวดล้อม และความอุดมสมบูรณ์ ไม่สุดโต่งจนเกินไ ปรับให้เข้ากับสถาณการณ์และทรัพย์สมบัติส่วนตน ใครทำได้ทำ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร พวกเราช่วยกันไป พึ่งพาให้จนตลอดรอดฝั่ง

นั่นคือ สิ่งที่คนไทยดั้งเดิมเคยทำ การอยู่อย่างพอเพียง พึ่งตนเองให้มาก ใช้จ่ายให้เข้ากับเหตุผลตามฐานะ ไม่สุึดโต่งจนเกินไป สิ่งนั้นคนไทยได้ลืมเลือนไปอย่างเนิ่นนาน และมีพ่อหลวงซึ่งทรงห่วงใยประชาชนชาวไทยและชนชาวโลก พระองค์ทรงได้เผยแพร่ ระบบหรือปรัชญา เศษรฐกิจพอเพียง(sufficient economy) ซึ่งคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เพียงเพราะประเทศไทยนั้นได้ลืมเลือนไป เพราะระบบทุนนิยม

สำหรับ ผมและคนอีก67ล้านคน คงคิดแบบเดียวกันว่า "เศรษฐกิจที่ดี ไม่ใช่เพียงแค่เงินหมุนเวียนเข้าออกในประเทศมาก แต่ต้องเป็นความอิ่มท้องของประชาชนต่างหาก"

ใช่แล้ว นั่นคือสิ่งสำคัญ แม้ว่าเงินจะหมุนเวียนเข้าออกในประเทศมาก ถ้าประชาชนไม่อิ่มท้องก็ไร้ประโยชน์ เพราะเงินที่หมุนเวียนส่วนใหญ่ อยู่ในมือคนรวย และคนรวยเหล่านั้น กลับนำเงินไปใช้จ่าย ลงทุนในต่างประเทศอย่างฟุ้มเฟ้อโดยไม่มีการอุดหนุนคนไทยเลยนอกจากการซื้อ เสียงและซื้อคฤหาสน์หลังโต

ระบบทุนนิยม ถ้าใช้โดยปราศจากการควบคุม ก็เหมือนนำปุ๋ยเคมีหรือปุ๋ยเม็ดมาใช้โดยปราศจากการชั่งตวง ใส่ลงดินระยะแรกต้นไม้ออกงอกงามดี แต่ปีต่อไปดินเริ่มแข็ง ต้นไม้เริ่มตาย ดินเริ่มเปรี้ยว ต่อมาแก้ปัญหาโดยน้ำปูนขาวไปโรย แล้วก็ทำแบบเดิม โรยปุ๋ยแบบเดิมต้นไม้ก็งอกๆเงย ไม่รู้จะโตหรือจะตายวันไหนไปเป็นแบบนี้ไปตลอดหลายสิบปี

หากเราย้อนกลับไป เปลี่ยนไปใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมักชีวภาพ ต้นไม้อาจโตช้า แต่ไม่ตาย ไม่ขึ้นๆลง

บาง ครั้งอาจมีการใช้ปุ๋ยเคมีเล็กน้อยสลับไปบ้างเพื่อผลิตอาหารให้ตามที่ต้องการ เช่นการปลูกผักระบบไฮโดรโปนิกในปัจจุบัน เพิ่มลดอัตราส่วนให้เหมาะสมตามแต่ละพื้นที่ ซึ่งเราปฏิเสธไมไ่ด้ว่าปัจจุบันประเทศที่มีทะเลทรายก็ยังสามารถปลูกผักโดยมี เทคโนโลยีช่วยได้ แต่เมืองไทยนั้นสมบูรณ์ทางทรัพยากรมากจนใช้เทคโนโลยีเพียงระดับน้อยก็เพียง พอแล้ว

เมื่อประชากรที่เป็นเกษตรกรเลี้ยงต้นเองได้ พอมีพอกินบ้างตามแต่ระดับที่บริหารและจัดการกันได้ ไม่มีหนี้เนื่องจากการใช้ปุ๋ยสารเคมีต่างๆ มีเงินเหลือเก็บอันเนื่องมาจากการขายพืชผลที่เหลือจากการบริโภคให้แก่ชุมชน เมือง และคนกรุงต่างๆ คนกรุงย่อมมีนำสินค้าบางส่วนไปแปรรูปส่งออกนอก นำเงินตราเข้าประเทศ และสินค้าบางส่วน ส่งกลับไปขายให้เกษตรกรใช้ เช่น ยา อุปกรณ์การศึกษาและฯลฯ

อะไรที่จะดีไปกว่า มีเงินสะสมในประเทศมากเพราะการส่งออก แต่ของราคาถูก เพราะชาวนาไม่ค่อยจะใช้จ่ายกัน เพราะัส่วนใหญ่พึ่งตนเองได้ คนกรุงมีเงินเหลือเก็บไว้รักษาค่าพยาบาลเพราะรายได้จากการส่งออกและจำหน่าย ให้แก่ประชาชนในระดับต่างๆ คนส่วนใหญ่จะมีเงินเหลือเก็บในธนาคารพอไว้ยังชีพได้ยามเจ็บป่วย และมีภาษีล้นเหลือพอที่จะไปพัฒนาส่วนต่างๆของประเทศทั้งการสาธารณสุข การรักษามีคุณภาพ มีเบี้ยช่วยเหลือผู้สูงอายุและตกงาน(แม้มันอาจจะไม่สมบูรณ์ตามทั้งหมดที่ กล่าวมา แต่ย่อมเป็นไปในทางทิศทางที่ดีขึ้น)

ซึ่งย่อมดีกว่ามีเงิน หมุนเวียนในมือของประชาชนมาก แต่ของก็ราคาแพงขึ้นเป็นเงาตามตัว ใครกู้ไว้ จำนวนเงินกู้ก็ไม่ขึ้นลงตามค่าครองชีพเสียอีก นอกจากดอกเบี้ยที่ทบต้นเอาทุกวัน

เทคโนโลยีและธรรมชาติสามารถพึ่งพาอาศัยด้วยกันได้ ปรับอัตราส่วนให้เหมาะในแต่ละเดือนแต่ละปี มีความยืดหยุ่น ระบบทุนนิยมและความพอเพียงก็ปรับให้เข้ากันได้ตามสถาณการณ์นั้นๆ

สุด ท้ายนี้เกษตรกรไทยในประเทศจำนวนมาก ได้ทำสำเร็จและเป็นที่ประจักษ์แก่ชาวไทย และปวงชนทั่วโลกแล้วว่า ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ที่พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย ทรงพระราชทานให้เป็นแบบอย่างไว้นั้นมิสามารถหาอะไรมาประเมินค่าเทียบเท่าำ ได้แล้วจริงๆ...

__________5

สุดท้ายนี้ ผมทราบดีกว่า คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาอ่านกระทู้ ถ้าเทียบกับคนทั้งประเทศแล้ว คงไม่ถึง0.00000000000001 % ยิ่งกระทู้ยาวแบบนี้แล้วคงยิ่งไม่มีคนอ่าน แต่ผมเห็นว่า เมื่อบ้านเมืองเป็นแบบนี้ เราควรจะยืนหยัดและแก้ทัศนะของหลายๆคนให้เข้าใจมากกว่าการใช้กำลังห้ำหั่น กัน

ผมเรียนเชิญทุกท่าน ช่วยกันแก้ไขออกความคิด แล้วมาดูกันว่า พวกเราทุกคนไม่เข้าใจอะไรกันตรงไหน แต่ละคนมีวิธีแก้อย่างไร แม้ว่าจะทำอะไรไม่ได้มาก แต่ก็เป็นการส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยของพวกเราไปในตัว คนที่เข้ามาอ่านก็ต้องมีคอมพิวเตอร์ คงเจาะเข้ากลุ่มเป้าหมายไมไ่ด้ แต่พวกเราช่วยกันปรับทัศนะกันเองได้ อ่านมาถึงท่อนนี้แล้วท่านคงจะทราบว่าพวกเราจะแก้ปัญหานี้ได้ก็ต้องร่วมมือ กันแก้โดยชาวไทยทุกคน ไม่ใช่ยกหน้าที่ให้รัฐบาล เพราะรัฐบาลมีหน้าที่อำนวยความสะดวกและรักษาความปลอดภัยเท่านั้น(หรือ มากกว่านั้นก็ตามแต่)มาร่วมมือกันครับคนสองคนก็ยังดี ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

ถ้า 67 ล้านคน ส่วนหนึ่งกลายเป็นเสื้อแดง คนที่เหลือก็อยู่ไม่รอด อีกกลุ่มมาเป็นเสื้อเหลืองคนที่เหลือย่อมอยู่ไม่ไ่ด้ ประเทศไทยเรา จะขาดประชากรส่วนใดส่วนหนึ่งไปไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพวกเราคงเอ่ยไมไ่ด้เต็มปากว่า พวกเราคนไทย ซึ่งทั่วโลกล้วนขนานนามกันว่า "สยามเมืองยิ้ม"

ขอบคุณมากครับ

จาก http://talk.mthai.com/topic/55130

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์