ความคืบหน้า คดีคาร์บอมบ์

ความคืบหน้าคดีคาร์บอมบ์


หลังจากพนักงานสอบสวนกองปราบฯออกหมายเรียก พล.ต.ไพโรจน์ ธีระภาพ พ.อ.สุรพล สุประดิษฐ์ พ.ท.มนัส สุขประเสริฐ และ จ.ส.อ.ชาคริต จันทระ ช่วยราชการ กอ.รมน. เข้าพบเพื่อแจ้งข้อกล่าวหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงานโดยไตร่ตรองไว้ก่อนและอื่นๆ รวม 6 ข้อหาฉกรรจ์ เนื่องจากมีพยานหลักฐานเชื่อมโยงว่า ทั้งหมดมีส่วนพัวพันกับเหตุจับกุมตัว ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ ขับรถเก๋งบรรทุกระเบิดซีโฟร์และทีเอ็นทีพร้อมทำงาน ไปจอดในเส้นทางที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ใช้เป็นทางผ่านเวลาเดินทางไปปฏิบัติภารกิจ ที่ผ่านมา พ.ท.มนัส และ จ.ส.อ.ชาคริต หรือจ่ายักษ์ เข้าพบพนักงานสอบสวนและรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว ส่วน พล.ต.ไพโรจน์ และ พ.อ.สุรพล หรือเสธ.ตี๋ อยู่ระหว่างติดต่อขอเข้าพบพนักงานสอบสวน ขณะที่จ่ายักษ์แฉแหลกขบวนการลอบสังหารผู้นำ

พล.ต.ไพโรจน์ เข้าพบ พงส.


ต่อมาเมื่อเวลา 08.10 น. วานนี้ ( 7 ก.ย.) ที่กองปราบปราม พล.ต.ไพโรจน์ ธีระภาพ ผู้ทรงคุณวุฒิ กองทัพบก ช่วยราชการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) หนึ่งในผู้ถูกกล่าวหาพัวพันคดีพยายามลอบสังหาร พร้อมนายทหารพระธรรมนูญ เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.มนตรี จำรูญ ผบช.ก.หัวหน้าพนักงานสอบสวน พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.วินัย ทองสอง ผบก.ป.

หลบนักข่าวขึ้นบันไดข้างตึก


การเข้าพบพนักงานสอบสวนของ พล.ต.ไพโรจน์ ในครั้งนี้ นายพลทหารบกช่วยราชการ กอ.รมน.เดินทางมาด้วยรถตู้ส่วนตัว โดยลงจากรถบริเวณป้อมยามทางเข้าแล้วเดินลัดเลาะไปทางอาคารสวัสดิการกองปราบปราม ไปขึ้นประตูข้างอาคารสำนักงานผู้การกองปราบปราม หลบเลี่ยงกองทัพช่างภาพและนักข่าวแขนงต่างๆเกือบร้อยคนที่ไปเฝ้ารอทำข่าว บริเวณทางขึ้นด้านหน้าอาคารสำนักงานผู้บังคับการฯ

จ่ายักษ์ให้การเป็นประโยชน์


ส่วน จ.ส.อ.ชาคริต หรือจ่ายักษ์ ซึ่งเข้าพบพนักงานสอบสวนเมื่อคืนวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวนใช้เวลาสอบปากคำตลอดทั้งคืน จ.ส.อ.ชาคริตให้การค่อนข้างเป็นประโยชน์ โดยมีรายงานว่า หลังจากตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ จ.ส.อ.ชาคริตยังคงพักอยู่ที่ห้องพัก ในเมืองธานี จ.นนทบุรี ไม่ได้หลบหนีไปไหน เมื่อทราบข่าวว่าตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ จึงปรึกษากับผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ได้รับคำแนะนำว่าให้เข้ามอบตัวแสดงความบริสุทธิ์ใจ โดย จ.ส.อ.ชาคริตยอมรับว่า มีนายสั่งให้ไปจ่ายเงินและเอารถแดวูมาจากเต็นท์รถมือสอง รวมทั้งนำรถคันดังกล่าวไปทำสีใหม่เป็นสีบรอนซ์ที่อู่แห่งหนึ่งย่านรัชดาใช้เวลา 2 วัน ทางอู่ก็ทำสีเสร็จและเป็นผู้ไปรับรถกลับมา

ด้าน พล.ต.ต.เจตน์เปิดเผยว่า จ.ส.อ.ชาคริตให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีเป็นอย่างมาก แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดการสอบสวนได้ เบื้องต้นได้แจ้งข้อหาเดียวกับ ร.ท.ธวัชชัย กลิ่นชะนะ และพ.ท.มนัส สุขประเสริฐ หลังจากนี้พนักงานสอบสวนจะนำตัวไปขออำนาจศาลทหารฝากขังผู้ต้องหา โดยจะขอรับตัวกลับมาสอบสวนเพิ่มเติมที่กองปราบปราม

คุมตัวไปฝากขังศาลทหาร


ต่อมาเวลา 10.00 น. พล.ต.ต.วินัย ทองสอง ผบก.ป. พ.ต.ท.พินิจ ศิริชัย รอง ผกก.ผอ.บก.ป. ควบคุมตัว จ.ส.อ. ชาคริต ในชุดเสื้อเชิ้ตแขนสั้นลายสกอตสีกรมท่า กางเกงยีน สวมหมวกไหมพรมแบบวัยรุ่นฮิพฮอพสีดำ ไปฝากขังต่อศาลทหารกรุงเทพ โดยมีตำรวจหน่วยคอมมานโดจำนวน 20 นาย ยืนเป็นแถวป้องกันรักษาความปลอดภัย ตั้งแต่ บริเวณบันไดทางขึ้นอาคารเป็นแนวยาวไปถึงหน้าอาคาร โดยจ่ายักษ์พยายามทำสีหน้านิ่งเฉย แต่แววตาแสดงอาการวิตกกังวลเห็นได้ชัด

เสธ.ตี๋เข้าพบตำรวจ


หลังจากพนักงานสอบสวนนำตัว จ.ส.อ.ชาคริต ไปฝากขังไม่นาน พ.อ.สุรพล สุประดิษฐ์ หรือ เสธ.ตี๋ นายทหาร สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ช่วยราชการ กอ.รมน. นายทหารที่ถูกกล่าวหาว่าพัวพันกับคดีลอบสังหารอีกนายหนึ่ง พร้อมนายทหารพระธรรมนูญ เข้าพบพนักงานสอบสวนเป็นคนสุดท้าย ผู้สื่อข่าวพยายามขอสัมภาษณ์ แต่ พ.อ.สุรพลกล่าวเพียงว่า ให้ไปถามทนาย

อัศวิน ไม่พูดถึง พล.อ. พ


ด้าน พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง รอง ผบช.ก. กล่าวว่า ทางการสืบสวนหากพบมีความเกี่ยวข้องถึงใครก็จะดำเนินการต่อไปทันที แต่ขอให้มีความชัดเจนมากขึ้นกว่านี้ ถ้าหลักฐานไปถึงก็จะทำไปตามเนื้อผ้า ส่วนจะถึงตัวผู้บงการหรือมีพลเรือนเข้ามาเกี่ยวข้องหรือไม่นั้น กำลังตรวจสอบอยู่ ถ้ามีความเกี่ยวข้องถึงไหนก็จะดำเนินการ ผู้สื่อข่าวถามว่า ขณะนี้มีข้อมูลไปถึง พล.อ. พ หรือ ไม่ รอง ผบช.ก.กล่าวว่า ขอพูดถึงเฉพาะผู้ต้องหาเท่าที่มีก่อน และกรณีมีพลเมืองโดยเฉพาะนักการเมืองจะเป็นผู้จ้างวานหรือไม่ ยังไม่ขอพูดถึง สำหรับ พล.ต.ไพโรจน์ และ พ.อ.สุรพล นั้น เมื่อควบคุมตัวไปขออำนาจศาลทหารฝากขังแล้ว คงจะไม่รับตัวกลับมาเหมือนกับกรณีของ จ.ส.อ. ชาคริต ขอให้มั่นใจว่าตำรวจจะเร่งดำเนินคดีนี้ให้เร็วที่สุดและขอให้เชื่อว่าตำรวจทำตามข้อเท็จจริงไม่ได้กลั่นแกล้งใคร ขอให้สบายใจได้

อีก 2 สัปดาห์สรุปสำนวน


ผู้สื่อข่าวถามว่า จะสามารถสรุปสำนวนคดีได้เมื่อใด รอง ผบช.ก.กล่าวว่า คงจะดำเนินการไปจนกว่าพยานหลักฐานจะครบถ้วน ต้องรอผลตรวจวงจรวัตถุระเบิดจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบังด้วย ต่อข้อถามว่า จะประสานให้อัยการเข้าร่วมดำเนินคดีด้วยหรือไม่ เนื่องจากเป็นคดีสำคัญ พล.ต.ต.อัศวิน กล่าวว่า คงจะทำกันเอง ระหว่างนี้จะเก็บรวบรวมหลักฐานต่างๆ เพิ่มเติม ส่วนการตรวจสอบลายนิ้วมือได้ตรวจพิสูจน์ไปแล้วประมาณ 30% บางส่วนตรงกับผู้ต้องหา อย่างไรก็ตาม จะดำเนินการให้เร็วที่สุดโดยคาดการณ์ว่าจะใช้เวลาอีกประมาณ 2 สัปดาห์

เสธ.ตี๋ผวารถตู้พาไปผัดฟ้อง


ต่อมาเวลา 14.00 น. พ.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ผกก.ฝอ.บก.ป. พ.ต.ท.ปัญญา ปิ่นสุข รอง ผกก.4 บก.ป. และนายทหารพระธรรมนูญ พร้อมกำลังคอมมานโด ควบคุมตัว พ.อ.สุรพล ไปผัดฟ้องฝากขังต่อศาลทหาร โดยระหว่างทางลงจากอาคารนั้น มีกำลังตำรวจคอมมานโดและเพื่อนนายทหารที่ตามไปให้กำลังใจห้อมล้อมรอบตัว แต่เมื่อมีการนำรถตู้สีขาวมาจอดเทียบหน้าอาคารนั้น พ.อ.สุรพล ทำหน้าตกใจและหยุดเดิน พยายามสอบถามคนรอบข้างว่าใช่รถคันที่เดินทางมาหรือไม่ แต่เมื่อได้รับคำยืนยันจากเจ้าหน้าที่แล้ว จึงยอมขึ้นรถคันดังกล่าว

พล.ต.ไพโรจน์ชิ่งหลบอีก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำตัว พ.อ.สุรพลไปยังศาลนั้น บรรดาสื่อมวลชนพยายามสังเกตหา พล.ต.ไพโรจน์ เนื่องจากก่อนจะมีการนำตัวผู้ต้องหาไปศาลทหารนั้น มีกระแสข่าวว่า พล.ต.ไพโรจน์จะเปิดแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน แต่เมื่อถึงเวลานำตัวนายทหารทั้ง 2 ไปฝากขัง พล.ต.ไพโรจน์อาศัยจังหวะหลบหน้ากองทัพสื่อมวลชน ซึ่งขณะนั้นกำลังทำข่าว พ.อ.สุรพล อยู่ที่หน้าอาคาร โดย พล.ต.ไพโรจน์ได้เดินออกทางหลังสำนักงานผู้บังคับการกองปราบปรามและลงทางบันไดข้างเพื่อไปขึ้นรถเดินทางไปยังศาลทหาร

ผบช.ก.แถลงแจ้ง 6 ข้อหาหนัก


หลังจากพนักงานสอบสวนนำตัวนายทหารทั้ง 2 ไปฝากขังแล้ว พล.ต.ท.มนตรีเปิดแถลงข่าวว่า การสอบสวนได้ดำเนินการมาถึงขั้นตอนที่มีการเรียกตัวทหารทั้ง 4 นาย มารับทราบข้อกล่าวหา ซึ่งตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ทหารที่มีการประสานงานกับต้นสังกัดไป ได้เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนครบทั้งหมดแล้ว โดยพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหากับทหารทั้งหมด 6 ข้อหา เช่นเดียวกับ ร.ท.ธวัชชัย

พล.ต.ไพโรจน์-เสธ.ตี๋ให้การปฏิเสธ


พล.ต.ท.มนตรีกล่าวต่อว่า จากการสอบสวนผู้ต้องหา 3 คน คือ พล.ต.ไพโรจน์ ธีระภาพ พ.อ.สุรพล สุประดิษฐ์ และ พ.ท.มนัส สุขประเสริฐ ให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ส่วน จ.ส.อ.ชาคริต จันทระ ให้การรับสารภาพทุกข้อกล่าวหา ซึ่งถือว่าเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีเป็นอย่างมาก ผู้ต้องหารายนี้รับสารภาพว่าได้ร่วมกระทำผิดจริง ให้การเป็นประโยชน์ต่อรูปคดี และมีความเชื่อมโยงในประเด็นต่างๆ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการสืบสวน จิ๊กซอว์ใกล้ครบแล้ว จ.ส.อ.ชาคริตรับสารภาพว่าร่วมกระทำความผิดจริง แต่ขั้นตอนไหนไม่สามารถเปิดเผยได้ และรับสารภาพทั้ง 6 ข้อหา โดยมีส่วนเกี่ยวข้องในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง แต่ไม่ได้อยู่ตลอดเวลา จึงถือว่าร่วมกันกระทำความผิด

เร่งสรุปสำนวนให้เร็วที่สุด


ต่อข้อถามว่า มีผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีนี้มากกว่า 5 คน หรือไม่ รอง ผบช.ก.กล่าวว่า เป็นหน้าที่ของพนักงานสอบสวนที่จะต้องขยายผลต่อไปและเมื่อถึงเวลาก็สามารถเปิดเผยได้ ส่วนผลการตรวจหลักฐานทางวิทยาศาสตร์มีการแจ้งกลับมาบางส่วนแล้ว ซึ่งมีความมั่นใจในพยาน หลักฐานที่มีอยู่ในขณะนี้ เมื่อถามว่า จะสามารถสรุปสำนวนคดีได้เมื่อใด พล.ต.ท.มนตรีกล่าวว่า จะดำเนินการให้เร็วที่สุด และเป็นที่ทราบดีว่าเราทำงานกันทั้งวันทั้งคืน แต่คงกำหนดวันแน่นอนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับพยานหลักฐาน อย่างไรก็ตาม คงไม่เกินอำนาจของพนักงานสอบสวนในการขอผัดฟ้องฝากขังผู้ต้องหา 7 ครั้ง รวม 84 วัน

จ่ายักษ์ถูกสอบปากคำทั้งคืน


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากจ่ายักษ์ถูกบิดาพาเข้ามอบตัวที่สำนักงานผู้บังคับการกองปราบปราม เมื่อคืนวันที่ 6 ก.ย. พนักงานสอบสวนนำโดย พล.ต.ท.มนตรี จำรูญ ผบช.ก. พล.ต.ต.เจตน์ มงคลหัตถี รอง ผบช.น. พล.ต.ต.อัศวิน ขวัญเมือง รอง ผบช.ก. และ พล.ต.ต.วินัย ทองสอง ผบก.ป. ได้แจ้งข้อหาประกอบด้วย ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันพยายามฆ่าเจ้าพนักงานขณะกระทำการตามหน้าที่โดยไตร่ตรองไว้ก่อน ร่วมกันมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันมียุทธภัณฑ์ที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ โดยไม่ได้รับอนุญาต ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม และร่วมกันกระทำการเป็นซ่องโจรและสอบสวนจ่ายักษ์อย่างเคร่งเครียดตลอดทั้งคืน

สารภาพเพราะกลัวถูกฆ่าตัดตอน


หลังจากจ่ายักษ์เริ่มมีทีท่าว่าให้การสารภาพ ชุดพนักงานสอบสวนจึงได้สั่งให้มีการบันทึกเทปเสียงและถ่ายเทปวีดิโอไว้ โดยใช้เวลาในการบันทึกเทปการสอบปากคำนานกว่า 150 นาที จ่ายักษ์ให้เหตุผลในการเปิดปากรับสารภาพว่า เนื่องจากเกรงว่าจะถูกฆ่าตัดตอน จ่ายักษ์ยังอ้างด้วยว่า เมื่อคืนวันที่ 28 ส.ค.ที่ผ่านมา พ.อ.สุรพล หรือ เสธ.ตี๋ สั่งให้เก็บเสื้อผ้า และไปหาเพื่อหลบหนี แต่บิดาเตือนสติไว้ จึงตัดสินใจไม่ติดต่อใครทั้งสิ้น จนพ่อพาเข้ามอบตัวดังกล่าว

มีผู้ร่วมขบวนการอีกเพียบ


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า คำสารภาพของจ่ายักษ์ ทำให้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีเป็นอย่างมาก และสามารถขยายผลไปถึงผู้ที่ร่วมขบวนการ ผู้บงการ และผู้อยู่เบื้องหลังอีกจำนวนมาก เนื่องจากจ่ายักษ์ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหาว่าเป็นผู้ลงมือร่วมปฏิบัติการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีจริง ตั้งแต่เริ่มการวางแผนเพื่อลอบสังหารนายกรัฐมนตรี กระทั่งปฏิบัติการไม่สำเร็จ จึงได้หลบหนีก่อนที่จะตัดสินใจเข้ามอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปราม โดยสำนวนการสอบสวนตามคำบอกเล่าในส่วนของจ่ายักษ์นั้นมีความหนากว่า 10 หน้ากระดาษ

แฉรายชื่อผู้บงการทั้งแก๊ง


จ่ายักษ์รับสารภาพว่า ได้ร่วมกับ ร.ท.ธวัชชัย พ.ท.มนัส พ.อ.สุรพล หรือ เสธ.ตี๋ และ พล.ต.ไพโรจน์ และพวกอีกอย่างน้อย 8 คน เตรียมการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีจริง โดยวางแผนตั้งแต่ช่วงกลางเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เริ่มจาก เสธ.ตี๋เรียกไปพบ พร้อมกับบอกว่า นายใหญ่ สั่งการให้ฆ่า พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อทำลายระบอบทักษิณ เนื่องจากที่ผ่านมาทำให้ประเทศชาติเสียหาย ตนก็ยินดีปฏิบัติตาม เนื่องจากเป็นคำสั่งของนายใหญ่ คือ พล.อ พ เสธ.ตี๋ยังอ้างด้วยว่าการลงมือครั้งนี้เป็นการรับงานผ่านมาจาก พล.ต. ส และ พล.ต. ต มีผู้ร่วมวางแผนกอีกคนหนึ่งที่สำคัญคือ พ.อ. บ

งัดข้อลูกพี่เรื่องใช้ระเบิดลอบสังหาร


จ.ส.อ.ชาคริตให้การต่อว่า ก่อนที่จะมีการลงมือนั้นตนกับ พ.อ.สุรพล หรือ เสธ.ตี๋ ได้หารือเกี่ยวกับอาวุธที่จะใช้ลอบสังหาร เสธ.ตี๋บอกว่า นายใหญ่ ให้ใช้ระเบิด ขณะนั้น พ.ท.มนัสได้รายงานให้ทราบว่ามีการจับระเบิดที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้กว่า 20 กิโลกรัม เสธ.ตี๋จึงบอกว่าจะใช้มากกว่านี้อีกเท่าหนึ่ง เพื่อจะได้ ประสบผลสำเร็จ ตนพยายามทักท้วงว่า ถ้าใช้ระเบิดมากขนาดนั้นจะทำให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ข้อโต้แย้งนี้ทำให้ เสธ.ตี๋โมโหพร้อมกับยืนยันว่าจะให้ใช้ระเบิดตามคำสั่งของ นายใหญ่ โดยย้ำว่าคนตายเป็นร้อย แต่ต้องรักษาชีวิตคนอีก 60 กว่าล้านคน เพราะต้องกำจัดระบอบทักษิณให้สิ้นซาก


อ้างทำตามสั่งนายใหญ่ พล.อ. พ


จ่ายักษ์ระบุต่อว่า หลังจากได้ร่วมกันวางแผนการแล้ว เสธ.ตี๋โทรศัพท์มาสั่งการให้ปฏิบัติงานอย่างต่อเนื่อง โดยอ้างคำสั่งของ พล.อ. พ และ พล.ต. ส ปฏิบัติการเริ่มจาก เสธ.ตี๋โทรศัพท์สั่งให้ไปรับรถยนต์แดวู มาจากเต็นท์ขายรถยนต์มือสองในซอยอินทามระ 38 ที่ เสธ.ตี๋สั่งซื้อไว้ในราคา 30,000 บาท แต่ยังไม่ได้จ่ายเงิน จากนั้นนำไปเปลี่ยนสีและส่งต่อให้กับพลเรือนอีกคนหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ) ซึ่งขั้นตอนต่อจากนั้นตนไม่รู้ ทราบแต่ว่ามีการนำแดวูไปบรรจุระเบิด ระหว่างนั้น เสธ.ตี๋ จ่ายเงินให้เป็นงวดๆผ่านบัญชีธนาคารทหารไทยเป็นค่าดำเนินการรวมประมาณ 100,000 บาท


แผนถล่มที่ บน.6 ล่ม เพราะ สห.


จ่ายักษ์สารภาพต่อว่า เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมในช่วงเช้า ขณะกำลังนอนหลับอยู่ เสธ.ตี๋ โทรศัพท์เข้ามาหา สั่งให้ขับรถยนต์ปิกอัพ สีฟ้าอ่อน ที่ใช้อยู่ และถูกตำรวจยึดไปตรวจสอบในเวลาต่อมา ขับไปจอดที่บริเวณท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 (บน.6) เพื่อไปกำหนดจุดจอดรถยนต์แดวูที่บรรจุระเบิดเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากวันดังกล่าวนายกรัฐมนตรีจะไปขึ้นเครื่องบินที่ท่าอากาศยานดังกล่าว แต่ในขณะที่จอดรถเพื่อรอให้รถยนต์แดวูเข้าไปจอดแทนที่นั้น มีสารวัตรทหารอากาศเข้าไปถามว่ามาจอดทำอะไร ตนจึงแสดงตัวว่าเป็นทหาร พร้อมกับบอกสังกัด และอ้างว่ามาจอดรอพี่ชายที่ทำงานเป็นทหารอากาศอยู่ แต่สารวัตรทหารนายดังกล่าวไม่อนุญาตให้จอด แผนการที่กำหนดไว้จึงไม่สำเร็จ

ดักเล่นงานอีกก็ไม่สำเร็จ


ต่อมาวันที่ 10 สิงหาคม ได้รับโทรศัพท์จาก เสธ.ตี๋ อีก ให้ขับรถยนต์ไปมาร์กจุดที่สนามบิน บน.6 อีกครั้ง เนื่องจากช่วงเช้าวันดังกล่าว พ.ต.ท.ทักษิณจะเดินทางไปประเทศกัมพูชา แต่งานก็ไม่สำเร็จเนื่องจากติดขัดเรื่องเวลานัดหมาย และปัญหาทางเทคนิคบางประการ ในที่สุดจึงมีการวางแผนเพื่อกำหนดเป้าหมายกันอีกครั้ง จึงได้เลือกที่จะลอบสังหารในเส้นทางที่นายกรัฐมนตรีเดินทางจากบ้านจันทร์ส่องหล้า มายังทำเนียบรัฐบาล พร้อมกับตรวจสอบหมายการเดินทางของนายกรัฐมนตรี กระทั่งนัดลงมือกันในวันที่ 24 ส.ค. ตามที่เป็นข่าวโดยให้ ร.ท.ธวัชชัย หรือพี่แปะ เป็นผู้ขับรถยนต์ไปจอด ใต้สะพานข้ามแยกบางพลัด และให้ พ.ท.มนัส ยืนอยู่บริเวณแยกบางพลัด เป็นผู้กดรีโมตคอนโทรลจุดชนวนระเบิด อย่างไรก็ตาม ในวันดังกล่าวตนไม่ได้เดินทางไปด้วย จึงไม่ทราบว่าทำไมระเบิดจึงไม่ทำงาน

แผนการต่อไปถึงขั้นปฏิวัติ


จ.ส.อ.ชาคริตให้การต่อว่า หลังจากตำรวจเข้าจับกุม ร.ท.ธวัชชัย จนเป็นข่าวใหญ่โต ทำให้ เสธ.ตี๋ เรียกตนและ พ.ท.มนัสไปต่อว่าดุด่าอย่างรุนแรง โดยเฉพาะ พ.ท.มนัส ซึ่ง เสธ.ตี๋ มักจะเรียกว่า ไอ้แก่ นั้น ถูกต่อว่าอย่างมาก ก่อนจะสั่งการให้ทำงานแก้ตัวใหม่ เรียกว่าเป็นแผนการครั้งที่ 2 ซึ่ง เสธ.ตี๋หารือกับ พ.ท.มนัส ว่าน่าจะใช้ อินทผลัม ตามภาษาทางการทหาร หรือที่รู้จักกันทั่วไปว่า จรวดอาร์พีจี หรือไม่ก็ใช้เอ็ม 79 ที่ทหารศูนย์สงครามพิเศษ จ.ลพบุรี ใช้กัน เป็นอาวุธลอบสังหารอีกครั้ง เสธ.ตี๋ บอกด้วยว่า หากครั้งนี้ไม่สำเร็จจะเลือกใช้วิธีสุดท้ายคือการปฏิวัติ ตามที่ นายใหญ่ ได้คิดไว้แล้ว แต่ยังไม่ได้ลงมือทำ พวกตนก็ถูกตำรวจออกหมายเรียกให้มาทราบข้อกล่าวหาก่อนแล้ว

พงส.เตรียมออกหมายเรียกเพิ่ม


แหล่งข่าวระดับสูงในคณะพนักงานสอบสวน กล่าวว่า คำให้การของจ่ายักษ์ ทำให้สามารถขยายผลไปถึงผู้ที่ร่วมขบวนการได้อีกหลายราย จากคำให้การจะมีการเรียกตัวนายทหารและพลเรือน มาสอบปากคำและแจ้งข้อกล่าวหาอย่างน้อยอีก 8 คน ส่วนจะมีการขยายผลไปถึงตัวอดีตนายทหารยศ พล.อ. หรือไม่นั้น ต้องดูที่ หลักฐาน ซึ่งในวันพรุ่งนี้จะมีการประชุมร่วมกันของพนักงานสอบสวนในเวลา 10.00 น. เพื่อกำหนดจุดที่จะเข้าตรวจค้นเพื่อหาหลักฐาน เนื่องจากจะฟังคำซัดทอดจ่าผู้ต้องหาเพียงฝ่ายเดียวไม่ได้ และหากได้หลักฐานเพิ่มเติมก็จะเรียกผู้ร่วมขบวนการทั้ง 8 คน มาแจ้งข้อกล่าวหาภายหลัง

มีหลักฐานโอนเงินชัดเจน


นอกจากคำรับสารภาพของจ่ายักษ์แล้ว พนักงานสอบสวนยังได้หลักฐานเป็นการโอนเงินค่าดำเนินการ โยงให้เห็นความเกี่ยวพันในขบวนการด้วย และในวันเสาร์ที่ 10 กันยายนนี้ จะนำตัว จ.ส.อ.ชาคริตไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ตามขั้นตอนตั้งแต่เริ่มวางแผน จนถึงการลงมือปฏิบัติการอย่างละเอียด โดยจะมีการวางกำลังคุ้มกันอย่างแน่นหนา คาดว่าอาจจะใช้กำลังตำรวจคอมมานโดพร้อมอาวุธไม่ต่ำกว่า 100 นาย ส่วนผู้ต้องหารายอื่นที่ปฏิเสธจะไม่นำตัวไป และเป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่จะให้การอย่างใดก็ได้

อัศวิน เชื่อให้การตามข้อเท็จจริง


ขณะที่ พล.ต.ต.อัศวินกล่าวว่า การสอบปากคำ จ.ส.อ.ชาคริตให้การตามข้อเท็จจริง เพราะเขาเป็นคนไทย นับถือศาสนาพุทธ พนักงานสอบสวนทำตามข้อเท็จจริงทั้งหมดสบายใจรับรองด้วยเกียรติ สำหรับหลักฐานที่ส่งไปตรวจที่กองพิสูจน์หลักฐานนั้น ได้รับกลับคืนมาได้บางส่วน โดยเฉพาะลายนิ้วมือที่พบ ตรงกับกลุ่มผู้ต้องหา และจากการสอบปากคำจ่ายักษ์นั้นมีการพาดพิงถึงบุคคลภายนอก ซึ่งเป็นพลเรือนร่วมด้วย โดยการสืบสวนสอบสวนทางพนักงานสอบสวนได้ปรับเปลี่ยนการทำงานให้ควบคู่กันไป คาดว่าประมาณ 2 สัปดาห์ จะส่งให้อัยการพิจารณาได้

ธรรมรักษ์ ยันให้ความเป็นธรรม


อีกด้านหนึ่ง พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีที่ พล.ต. ไพโรจน์ ธีระภาพ ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบกช่วยราชการกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เข้ารายงานตัวที่กองปราบฯ กรณีเกี่ยวพันคดีลอบสังหารนายกรัฐมนตรีว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจประสานงานมาที่ตนซึ่งได้ให้เจ้ากรมพระธรรมนูญไปศึกษาให้เป็นไปตามแบบธรรมเนียมและข้อตกลงในส่วนของทหารนั้นก็ต้องให้ความเป็นธรรม แต่ต้องทำตามขั้นตอนซึ่งเราจะให้เจ้ากรมพระธรรมนูญจัดเจ้าหน้าที่เข้าไปรับฟังการสอบสวนด้วยเพราะยังไม่มีการตัดสินว่าเขามีความผิด เราต้องให้ความเป็นธรรม

ศาลปล่อยตัว พล.ต.ไพโรจน์


ค่ำวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานจากศาลทหารกรุงเทพ กรมพระธรรมนูญ สนามหลวงว่า หลังจากพนักงานสอบสวนกองปราบฯ ยื่นคำร้องขอฝากขัง พล.ต. ไพโรจน์ และ พ.อ.สุรพล แล้ว ศาลพิจารณาแล้ว ไม่อนุญาตให้ฝากขัง พล.ต.ไพโรจน์ พร้อมกับให้ปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่มีเงื่อนไข รวมทั้งไม่ต้องไปรายงานตัวจนกว่าพนักงานสอบสวนจะส่งสำนวน เนื่องจากพยานหลักฐานไม่ เพียงพอ แต่ยังไม่ถือว่า พล.ต.ไพโรจน์พ้นจากคดี ยังตก เป็นผู้ต้องสงสัย พร้อมกับให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม ส่วน พ.อ.สุรพลศาลอนุญาตให้ ฝากขังและคัดค้านการประกันตัว ตามคำร้องของตำรวจ นำตัวไปควบคุมที่เรือนจำทหาร จ.นครปฐม

พัลลภ ยันไม่เกี่ยวข้องคาร์บอมบ์


พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี อดีตรอง ผอ.กอ.รมน. ให้ สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ หลังทราบข่าว จ.ส.อ.ชาคริต จันทระ ผู้ต้องหาคดีลอบสังหาร กล่าวถึง พล.อ. พ เป็นผู้บงการใหญ่ในคดีคาร์บอมบ์ว่า ขอยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนไม่รู้เรื่อง ต้องปล่อยให้เป็นไปตามคดี และขั้นตอนของกฎหมาย ขณะนี้ยังไม่ทราบในรายละเอียดที่ จ.ส.อ.ชาคริตให้การกับตำรวจ อย่างไรก็ตาม จะยังไม่มีการเปิดแถลงข่าวรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผมไม่อยากพูด แต่ผมอยากขอติดตามดูรายละเอียดก่อน ยืนยันว่าผมไม่รู้เรื่อง พล.อ.พัลลภกล่าว

แหล่งที่มา: หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์