อดีตกกต.ย้ำดุลพินิจนายทะเบียนส่งคดี258ล้านให้ศาลรธน. พท.ขู่ฟันอ้างไม่ชอบกม.ชี้อภิชาตซี้บัญญัติ

อดีตกกต.ย้ำดุลพินิจ"นายทะเบียน"ส่งคดี258ล้านให้ศาลรธน. พท.ขู่ฟันอ้างไม่ชอบกม.ชี้"อภิชาต"ซี้"บัญญัติ"

ปธ.กกต.เร่งพิจารณาคดี 258 ล.ชี้ไม่ส่งกลับเข้าที่ประชุมอีกหากชงให้ยกคำร้อง "สดศรี"อ้างนายทะเบียนต้องชงความเห็นเข้าที่ประชุมกกต.ก่อนลงมติขู่ "อภิชาต"ยกร้องคนเดียวระวังผิดพ.ร.บ. มาตรา 157 ให้อำนาจกกต.คอลโทรลนายทะเบียนได้ เพื่อไทยอ้างซี้"บัญญัติ"

อดีตกกต.ย้ำดุลพินิจ"นายทะเบียน"ส่งคดี258ล้านให้ศาลรธน.

นาย สุเมธ อุปนิสากร อดีตกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงกรณีกกต.มีมติเสียงข้างมากเห็นควรให้เป็นอำนาจของประธานกกต.ในฐานะ นายทะเบียนพรรคการเมือง พิจารณาจะให้ส่งคำร้องให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ในสำนวนเงิน 258 ล้านบาทหรือไม่ ว่า ในเมื่อกกต.เสียงข้างมากเห็นว่าเป็นอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมืองก็ต้อง เป็นอำนาจของนายทะเบียนพรรคการเมือง ดังนั้นการลงมติในสำนวนดังกล่าว ประธานกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมืองต้องเสนอความเห็นมาก่อนว่าเห็นชอบ อย่างไรตามหลักของกฎหมาย เพราะเป็นความเห็นชอบจากกกต.และค่อยให้ที่ประชุม กกต.มีมติเพื่อให้นายทะเบียนพรรคการเมืองใช้ดุลพินิจส่งศาลรัฐธรรมนูญหรือ ไม่ แต่ทั้งนี้ตนขอปฏิเสธที่จะให้ความเห็นว่านายทะเบียนพรรคการเมืองควรจะมี ดุลพินิจอย่างไรว่าต้องนำเข้าที่ประชุมอีกครั้งหรือไม่ โดยตนต้องขอกลับไปศึกษาก่อน

พท.ขู่ยื่นฟันกกต. อ้างให้"ปธ.กกต."ชี้ขาดปมเงิน258ล้านไม่ชอบกม.

นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ได้มีมติให้นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธาน กกต. ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง เป็นผู้ชี้ขาดในคดีเงินบริจาค 258 ล้านบาท ของพรรคประชาธิปัตย์ ว่า แม้ตามกฎหมายประธาน กกต.จะเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง และเป็นผู้รักษาการตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2550 แต่ กกต.มีอำนาจหน้าที่สืบสวนสอบสวนและวินิจฉัยชี้ขาดปัญหา หรือข้อโต้แย้งที่เกิดขึ้นตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง และตามมาตรา 95 ของกฎหมายดังกล่าวระบุชัดเจนว่า “กรณีที่ตรวจสอบแล้วเห็นว่าพรรคใดกระทำการตามมาตรา 94 (การกระทำที่เข้าข่ายยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาสั่งยุบพรรค) ให้นายทะเบียนโดยความเห็นชอบของ กกต.แจ้งต่ออัยการสูงสุด พร้อมด้วยหลักฐาน” แต่เรื่องดังกล่าวจะทำได้ต่อเมื่อ กกต. ต้องมีมติเท่านั้น ดังนั้น กรณีที่ กกต.เสียงข้างมากมีมติให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเป็นผู้ตัดสินใจโดยลำพัง จึงเป็นมติที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย

"นายอภิชาตมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน  แกนนำพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนมาด้วยกัน อันแสดงถึงความไม่เป็นกลางของนายอภิชาต ที่จะพิจารณาเรื่องดังกล่าวเพียงลำพัง เรื่องดังกล่าวหาก กกต.ยังคงดำเนินการไปตามความเห็นของนายอภิชาต คณะทำงานฝ่ายกฎหมายจะดำเนินการขอให้ ส.ส.เข้าชื่อถอดถอนและดำเนินคดีอาญากับ กกต.ชุดนี้ต่อไป" โฆษกพรรคเพื่อไทยกล่าว

 

ปธ.กกต.ชี้ไม่ส่งกลับเข้าประชุมอีกหากชงให้ยกคำร้อง


เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม เมื่อเวลา 09.30 น. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายอภิชาต สุขัคคานนท์ ประธานกกต.ในฐานะนายทะเบียนพรรคการเมือง กล่าวถึงกรณีที่ประชุมกกต.มีมติเสียงข้างมากให้นายทะเบียนพรรคการเมืองใช้ดุลพินิจในการส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญหรือไม่ตามมาตรา95 แห่งพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองชี้ขาดกรณีสำนวนเงิน 258 ล้านบาทที่พรรคประชาธิปัตย์อาจได้รับจากบริษัททีพีไอ โพลีน จำกัด (มหาชน) เมื่อปี 2548 ที่อาจขัดต่อพ.ร.บ.พรรคการเมือง ว่า เรื่องดังกล่าวตนเห็นว่าเมื่อให้ลงมติก็ลงมติกัน แต่ กกต. 3 ท่านเห็นว่าเป็นเรื่องนายทะเบียนพรรคการเมืองจะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะการกระทำที่เป็นความผิดถึงขั้นยุบพรรคหรือไม่ซึ่งตนจะพิจารณาว่ามันเป็นเรื่องที่นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องทำ ทั้งนี้คงใช้กรอบเวลาไม่นานในการพิจาณาของนายทะเบียนพรรคการเมือง เพราะผ่านกระบวนการสืบสวนเสียเวลาไปหลายเดือนแล้ว โดยผ่านอนุกรรมการไต่สวนมาแล้ว แต่บอกไม่ได้ว่าเมื่อไร แต่ตนจะทำให้เร็วที่สุด


ผู้สื่อข่าวถามว่า กดดันหรือไม่ที่กกตเสียงข้างมากโยนเผือกร้อนมาให้ นายอภิชาต กล่าวว่า ไม่กดดัน แต่ก็เห็นว่านายทะเบียนพรรคการเมืองก็มีความสำคัญในหน้าที่ในตำแหน่ง


เมื่อถามว่า จะยืนตามมติเดิมของตัวเองที่ให้ยกคำร้องหรือไม่ นายอภิชาต กล่าวว่า  ดูละเอียดชัดเจนแล้ว ทั้งที่ปกติจะให้เวลากกต.ศึกษาสำนวนใน 7 วัน แต่ตนกลับมาจากประเทศอังกฤษก็มีเวลาศึกษา 3 วันและดูโดยรอบจึงบอกให้พิจารณา และโดยสรุปแล้วตอนนี้ไม่ต้องมีการลงมติของกกต.แล้ว แต่เป็นเรื่องของนายทะเบียนพรรคการเมืองจะตัดสินใจแต่ผู้เดียวแล้วในขณะนี้  ขณะนี้มีหนึ่งเสียงที่ไม่เห็นด้วยกับเสียงข้างมาก เพราะต้องการให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรค และตนก็เห็นด้วยกับเสียงข้างมากของอนุกรรมการที่เสนอให้ยกคำร้อง และจากนี้คงไม่ต้องมีคำวินิจฉัยอะไรเพราะผมเป็นนายทะเบียนพรรคการเมือง


เมื่อถามว่าอาจมีการมองว่าหากประธานกกต.กลับมติตัวเองก็จะถูกมองว่าสองมาตรฐานได้ นายอภิชาต กล่าวว่า "มันคงไม่สองมาตรฐานมั้ง เพราะถ้าจะเปลี่ยนแปลงความเห็นที่ผมลงไปแล้วผมก็ต้องมีเหตุผลของผม"


เมื่อถามว่า หากนายทะเบียนมีความเห็นออกมาไม่ว่าทางใดจะต้องส่งเข้าที่ประชุมกกต.อีกครั้งหรือไม่ นายอภิชาต กล่าวว่า จะย้อนกลับเข้าสู่ที่ประชุมกกต.อีกครั้งได้ ก็เมื่อเราดูแล้วเห็นสมควรส่งศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเพื่อยุบพรรคถึงจะขอความเห็นชอบจาก กกต. แต่ถ้านายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นด้วยกับอนุกรรมการก็ไม่ต้องมีความเห็นเหมือนคำวินิจฉัยไปเสนอต่อที่ประชุมกกต.อีก หากให้ยุติเรื่องแล้วก็คงไม่ต้องผ่านกกต.อีก


เมื่อถามว่า อาจเป็นไปได้เพื่อความรอบคอบโดยการส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย นายอภิชาต กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องรอบคอบอะไร เพราะเราทำมาก็รอบคอบแล้ว แต่มันจะสั่งไปในรูปไหน ซึ่งแทนที่กกต.5 คนจะตัดสินว่าถูกหรือผิดตามข้อเท็จจริงที่ร้องมาหรือไม่ แต่กกต.เสียงข้างมากก็ให้ตนเป็นผู้ตัดสินใจเอง


เมื่อถามว่า แต่หากยกคำร้องทางพรรคเพื่อไทยก็อาจฟ้องประธานกกต.เพียงคนเดียว นายอภิชาต กล่าวว่า ก็ไม่ทราบ เขาเห็นอย่างนั้นก็แล้วแต่  แต่เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ร้องผ่านนายทะเบียนพรรคการเมืองเมื่อมีความเห็นอย่างไรทุกอย่างก็จบ



ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่นายอภิชาตให้สัมภาษณ์ต่อผู้สื่อข่าวนายอภิชาตได้หยิบคำวินิจฉัยส่วนตัวออกมาให้ผู้สื่อข่าวดูและยืนยันว่าตนได้เขียนคำวินิจฉัยเหมือนเล็กเชอร์โยงไปโยงมาเหมือนผู้พิพากษาพร้อมระบุว่าส่วนตัวไม่ได้ช่วยใครทั้งนั้นและทำไปอย่างตรงไปตรงมาที่ดูจากหลักฐาน  ทั้งนี้นายอภิชาตไม่ได้ให้คำวินิจฉัยส่วนตัวแก่ผู้สื่อข่าว

 

"สดศรี"ขู่"อภิชาต"ยกร้องคดี258ล.คนเดียวอาจผิด ม.157


ด้านนางสดศรี สัตยธรรม กกต.ด้านกิจการพรรคการเมืกล่าวว่า ตามพ.ร.บ.พรรคการเมืองได้ให้อำนาจนายทะเบียนพรรคการเมืองไว้มาก ที่มีสิทธิที่จะยุบเลิกพรรคการเมืองเองก็ได้ โดยมาตรา 95 ของกฎหมายพรรคการเมือง ระบุไว้ชัดเจนว่าให้อำนาจนายทะเบียนพรรคการเมือง ดังนั้น นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องทำความเห็นมาให้ที่ประชุมทราบก่อนถึงค่อยให้ที่ประชุม กกต.ลงมติ และหลังจากนี้หากนายทะเบียนพรรคการเมืองมีความเห็นให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญเพื่อยุบพรรค ทางกกต.ก็ไม่จำเป็นต้องลงมติอีก แต่ถ้านายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นว่าควรยุติเรื่องต้องนำเข้าที่ประชุมกกต.อีกครั้งหนึ่งที่จะต้องให้กกต.ทั้ง4 คนจะต้องนำมาพิจารณาอีกครั้งว่าจะเห็นตามนายทะเบียนพรรคการเมืองหรือไม่ โดยคาดว่าอาจจะส่งความเห็นมาให้ที่ประชุมรับทราบได้ภายในสัปดาห์หน้า


เมื่อถามว่าทำไมเห็นตรงข้ามกับประธานกกต.หากยกคำร้องต้องเข้าที่ประชุม นางสดศรี กล่าวว่า ถ้านายทะเบียนพรรคการเมืองเห็นควรไม่ฟ้องศาล กกต.ก็ต้องเห็นควรอีกครั้งโดยนำเข้าที่ประชุมกกต. ซึ่งทางวิสุทธิ์ โพธิแท่น กกต. เห็นควรให้ฟ้องแต่ข้ามขั้นตอนที่นายทะเบียนพรรคการเมืองต้องให้ความเห็นของตัวเองในที่ประชุมก่อนซึ่งที่ประชุมกกต.ได้มีการคุยกันในที่ประชุมกกต.แล้วว่านายทะเบียนพรรคการเมืองต้องเสนอความเห็นมาก่อน แต่นายทะเบียนพรรคการเมืองกลับขอให้ลงมติเลย ทำให้มีความเห็นของเสียงข้างมากออกมาตามมาตรา 95 ของพ.ร.บ.พรรคการเมืองคือให้นายทะเบียนพรรคการเมืองเสนอความเห็นมาก่อน  ดังนั้น ถ้าประธานกกต.ยังเข้าใจอีกอย่างหนึ่งก็ต้องเรียกประชุมกกต.


เมื่อถามว่า แต่นายอภิชาตระบุว่าถ้ายกคำร้องก็ไม่จำเป็นต้องเข้าที่ประชุมกกต.อีก นางสดศรี กล่าวว่า "ท่านยกคนเดียวนี่ คนอื่นไม่ได้ยกกับท่านด้วย และไม่มีใครยกกับท่าน ถ้าท่านทำอย่างนั้นก็ไม่มีใครว่าอะไร ถ้าคิดว่าเป็นอำนาจท่านคนเดียวก็ไม่ว่าอะไร แต่คนอื่นยังไม่ลงความเห็นอย่างท่าน"


เมื่อถามว่า แต่เหมือนจะมีเสียงออกมา 4 ต่อ 1 ให้ยุบพรรคประชาธิปัตย์ นางสดศรี กล่าวว่า"ก็ให้ท่านอภิชาตทำความเห็นมาก่อนว่าอย่างไร  ส่วน 3 เสียงจากนี้ก็เดาไม่ออกว่าจะเห็นอย่างไร และเรื่องอะไรที่ดิฉันจะบอกความเห็นของดิฉันว่าจะให้ยุบหรือไม่เพราะเป็นความลับ"


เมื่อถามว่าถ้านายอภิชาตเสนอความเห็นมาไม่ว่าทางใดทางหนึ่งจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ได้ นางสดศรี กล่าวว่า  อาจจะเห็นด้วยหรือแย้งก็ได้


เมื่อถามว่า เป็นการโยนเผือกร้อนให้เป็นภาระของนายทะเบียนพรรคการเมืองหรือไม่ นางสดศรี กล่าวว่า ไม่ใช่ต้องไปว่าที่กฎหมาย เพราะกฎหมายอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนมีมากตามพ.ร.บ.พรรคการเมือง อย่าไปเทียบกับพ.ร.บ.การเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว.เพราะเป็นคนละเรื่องกัน แต่พ.ร.บ.พรรคการเมืองอำนาจนายทะเบียนจะมีมาในพ.ร.บ.พรรคการเมือง ไม่เหมือนพ.ร.บ.การเลือกตั้งเป็นอำนาจหน้าที่ของที่ประชุมกกต. เราจึงมองกันแล้วว่าเป็นอำนาจหน้าที่ของนายทะเบียนที่จะต้องแทงความเห็นมาก่อน และยืนยันว่าการสอบสวนของคณะอนุกรรมไต่สวนไม่จำเป็นต้องสอบอะไรเพิ่มเติมแล้ว ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้เพราะหลักฐานก็เพียงพอแล้ว


เมื่อถามว่า  แต่นายอภิชาตยืนยันอาจใช้มาตรฐานเดิมให้ยกคำร้อง นางสดศรี กล่าวว่า ไม่เป็นไร เพียงแต่ประธานกกต.ก็ทำบันทึกส่งความเห็นให้กกต.เพื่อที่จะลงมติอีกครั้ง ถ้าท่านจะทำความเห็นเข้ามาก็น่าจะเข้าที่ประชุมได้ภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งกรอบเวลาของนายทะเบียนพรรคการเมืองไม่มีกรอบเวลากำหนด มีแต่กรอบเวลาของอัยการสูงสุดภายใน 30 วัน แต่ทั้งนี้การยุบพรรคที่ผ่านมาเป็นการกระยุบพรรคความผิดกฎหมายเลือกตั้ง แต่กรณีนี้เป็นเรื่องเงินบริจาคอำนาจถึงอยู่ที่นายทะเบียนพรรคการเมือง เพราะเป็นผู้ดูเรื่องเงินบริจาคทั้งหมด


"เรื่องนี้กฎหมายพรรคการเมืองแตกต่าง  เพราะกฎหมายพรรคการเมืองปี 2541 กกต.ไม่มีสิทธิไปคอนโทรลนายทะเบียนพรรคการเมืองได้ แต่กฎหมายพรรคการเมืองปี 2550 ให้กกต.คอลโทรลนายทะเบียนได้ และท่านอภิชาติก็รู้กฎหมายเอง ถ้าไม่ทำตามนี้ผู้ที่ร้องเรียนมาก็อาจฟ้องร้องท่านได้ว่าละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา157 ความจริงประน่าจะต้องทำความเห็นมาในสัปดาห์หน้า หรือจะทำความเห็นมาให้ในวันนี้ก็ได้ตนพร้อม แต่ขอให้ทำความเห็นมาก่อนว่าจะเอาอย่างไร ซึ่งกกต.ทั้ง 4 คนจะต้องมาลงความเห็นอีกครั้งหนึ่ง" นางสดศรี กล่าว


เครดิต :
เครดิต :เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์มติชน


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์