โจรป่วนใต้-กราดอาก้า ฆ่า 3 ศพ หญิงคนงานฟาร์ม

ยิงสาวฟาร์มตัวอย่างดับ 3


โจรป่วนใต้ยังคงก่อเหตุร้ายรายวันอย่างต่อเนื่อง เมื่อเวลา 08.00 น. วานนี้ (19 มี.ค.) พ.ต.อ.ถวัลย์ นคทราวงศ์ ผกก.สภ.อ.หนองจิก จ.ปัตตานี พร้อมด้วย นายสนั่น พงษ์อักษร นอภ.หนองจิก นำกำลังเข้าไปตรวจที่เกิดเหตุยิงกันบนถนนสายบ่อทอง-ยาบี หมู่ 2 บ้านท่ากูโบร์ ต.ปุโละปูโย จุดเกิดเหตุอยู่ห่างตลาดนัดราว 200 เมตร พบชาวบ้านจำนวนมากยืนจับกลุ่มกันอยู่ ส่วนผู้ถูกยิงถูกนำส่ง รพ.หนองจิก

จึงเดินทางไปตรวจสอบ ปรากฏว่าผู้ถูกยิงได้เสียชีวิตแล้ว 3 ราย ทราบชื่อนางเกวลี เสวงรักษ์ อายุ 31 ปี นางสมจิตร บุญทิน อายุ 43 ปี และนางแสงจันทร์ จอมแก้ว อายุ 49 ปี ทั้งหมดถูกยิงด้วยปืนอาก้าเข้าลำตัว นอกจากนี้ ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บอีก 3 ราย ชื่อนางจริยา ทองฉาย อายุ 55 ปี นางจำเนียง ไชยสงคราม อายุ 55 ปี และนางอมร ขุนศรี อายุ 57 ปี ถูกยิงด้วยปืนอาก้าที่ลำตัว อาการสาหัส แพทย์ส่งไปรักษาต่อที่ รพ.ปัตตานี

มุ่งฆ่าคนไทยพุทธให้เกลี้ยง

สอบสวนทราบว่า ผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บทั้งหมด เป็นชาวไทยพุทธ อาศัยอยู่ในพื้นที่ ต.ยาบี อ.หนองจิก จ.ปัตตานี และเป็นคนงานของโครงการฟาร์มตัวอย่างบ้านน้ำดำ ตามแนวพระราชดำริ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ก่อนเกิดเหตุ ขณะที่คนงาน 19 คน ซึ่งเป็นผู้หญิงทั้งหมด นั่งอยู่บนรถกระบะมิตซูบิชิ สีแดง ไม่ทราบหมายเลขทะเบียน ที่มีนายสุรินท์ จันทร์ศิริ เป็นคนขับรถ มุ่งหน้าจะไปทำงานที่ฟาร์มฯ ปรากฏว่าเมื่อใกล้จะถึงฟาร์มฯราว 500 เมตร

มีคนร้าย 4 คน ใช้รถ จยย. 2 คันเป็นพาหนะขับตามหลัง คนร้าย 2 คน ที่ซ้อนท้ายได้ใช้ปืนอาก้ายิงถล่มใส่รถกระบะบรรทุกคนงานทันทีหลายสิบนัด คนขับรถกระบะเร่งเครื่องหลบหนี คนร้ายก็ยังตามยิงซ้ำอีกชุดใหญ่ กระสุนถูกคนงานหญิงที่นั่งอยู่ท้ายกระบะได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก หลังเกิดเหตุเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร ได้ปิดล้อมพื้นที่เพื่อตรวจค้นผู้ต้องสงสัย เชื่อว่าเป็นฝีมือกลุ่มอาร์เคเคสร้างสถานการณ์ทำร้ายชาวไทยพุทธเพื่อสร้างความหวาดกลัว

ญาติพี่น้องร่ำไห้ระงมวัด

ต่อมาเมื่อเวลา 14.00 น. ที่วัดมุจลินทวาปีวิหาร อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ได้มีพิธีรดน้ำศพผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย จากเหตุคนร้ายถล่มยิงรถคนงานหญิงในโครงการฟาร์มตัวอย่างบ้านน้ำดำ ตามแนวพระราชดำริ สมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โดยมี พล.ร.อ.นคร พิบูลย์สวัสดิ์ หัวหน้าคณะตรวจเยี่ยมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ชุดที่ 1 เป็นประธาน มีนายวินัย ครุวรรณพัฒน์ รอง ผวจ.ปัตตานี นายสนั่น พงษ์อักษร นอภ.หนองจิก ข้าราชการ และประชาชน รวมไปถึงเพื่อนคนงานของผู้เสียชีวิตหลายร้อยคนเดินทางมาร่วมไว้อาลัยและรดน้ำศพ บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า โดยเฉพาะครอบครัวของผู้เสียชีวิตทั้ง 3 ราย ที่ยังทำใจไม่ได้ต่อการจากไปของคนในครอบครัวครั้งนี้ ต่างกอดกันร่ำไห้เป็นที่น่าเวทนา

ชาวบ้านเสียขวัญกำลังใจ

นางเพ็ญจันทร์ จันทร์ศุขกระ ผู้จัดการฟาร์มตัวอย่างบ้านน้ำดำฯ เผยว่า ฟาร์มดังกล่าวเกิดขึ้นได้ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงมีพระประสงค์ให้ชาวบ้านมีงานทำและไม่ต้องออกไปทำงานนอกพื้นที่ โดยชาวบ้านร่วมกันบริจาคที่ดิน จำนวน 250 ไร่ จัดตั้งขึ้น มี พล.อ.ณพล บุญทับ รองสมุหราชองครักษ์ เป็นผู้ประสานงาน นำความขึ้นกราบบังคมทูลให้ทรงทราบ ตลอดเวลา ดำเนินกิจการมาแล้ว 1 ปี 2 เดือน

มีสมาชิกทั้งผู้ใหญ่และเยาวชนเข้าร่วมโครงการแล้วเกือบ 200 คน มีการปลูกพืชผักต่างๆ และเลี้ยงเป็ดไก่จำนวนมาก ทำให้ประชาชนมีรายได้เป็นอย่างดี แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ อย่างนี้รู้สึกเสียใจมาก ผู้เสียชีวิตทั้งหมดก็เป็นคนในพื้นที่ไม่มีพิษมีภัยกับใคร คนที่เดือดร้อนในตอนนี้ก็ไม่พ้นครอบครัวของผู้เสียชีวิต ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป เพราะชาวบ้านเสียขวัญมาก

หวั่นไทยพุทธหนีพ้นพื้นที่


ขณะที่เจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้านคนหนึ่ง กล่าวว่า โดยปกติในช่วงเช้าและเย็นตลอดเส้นทาง จะมีทหารคอยดูแลความเรียบร้อยทุกวัน หากมีประชาชนจะเดินทางไปทำงาน ทหารก็จะคอยไปรับส่งตลอดเวลา ทำให้ประชาชนอุ่นใจ แต่วันนี้ช่วงเช้าไม่มีเจ้าหน้าที่ดูแลเส้นทาง

ปรากฏว่าเกิดเหตุการณ์ร้ายขึ้นจนได้ เชื่อว่าคนร้ายมีการเฝ้าติดตามความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่มาตลอด เมื่อมีโอกาสก็เข้ามาก่อเหตุ เชื่อว่าจากนี้ไปคงจะมีชาวไทยพุทธอพยพออกนอกพื้นที่เพิ่มขึ้นแน่นอน เพราะอยู่ไปก็ตายเปล่าเนื่องจากทางราชการไม่สามารถให้ความปลอดภัยได้ พอจะขอติดอาวุธสู้กับโจรก็ไม่อนุญาต บอกแต่เพียงว่าจะทำให้ชาวมุสลิมในพื้นที่รู้สึกไม่ปลอดภัย ทั้งที่ผ่านมาชาวไทยพุทธไม่เคยไปรุกรานใครเลย มีแต่ ถูกกระทำอยู่ฝ่ายเดียว

สามีเหยื่อครวญทำใจไม่ได้

นายอนันต์ ลักขณัติ อายุ 29 ปี สามีของนางเกวลี เสวงรักษ์ 1 ในผู้เสียชีวิต เปิดเผยทั้งน้ำตา ขณะกอดลูกสาวทั้ง 3 คน ที่ร้องไห้หาแม่ตลอดเวลาว่า ตนมีอาชีพรับจ้างก่อสร้าง มีลูกสาว 3 คน ที่ผ่านมาตนและภรรยาช่วยกันทำงานก่อร่างสร้างตัวมาอย่างเหน็ดเหนื่อย เสียใจที่เกิดเหตุร้ายขึ้นครั้งนี้อย่างมาก โดยเฉพาะผู้เสียชีวิตเป็นผู้หญิงที่ไม่มีทางสู้

เมื่อมาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ทำให้ชีวิตครอบครัวตนและคนอื่นๆ ต้องเดือดร้อน สงสารลูกๆมากเพราะภรรยาที่เสียชีวิตไปเขาห่วงลูกมาก เขาเป็นผู้หญิงที่ดีมากหาไม่ได้อีกแล้ว ทำใจไม่ได้จริงๆ ต่อไปตนต้องทำหน้าที่พ่อที่ดี เป็นทั้งพ่อและแม่เพื่อดูแลลูกสาวทั้ง 3 คน ให้เติบโตเป็นคนดี หากภรรยารับรู้ได้ขอให้มั่นใจว่าจะดูแลลูกให้ดีที่สุด ขอให้นอนตายตาหลับ

วอนโจรป่วนใต้หยุดฆ่าผู้บริสุทธิ์

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ขอโทษใคร ไม่ว่าตำรวจ ทหาร หรือฝ่ายอื่นๆ เพราะหมดหวังกับการทำงานของภาครัฐแล้ว เหตุการณ์แบบนี้ทุกคนระวังตัวเอง แต่สุดท้ายก็เกิด อยู่ที่จะเกิดกับครอบครัวใคร หากวันหนึ่งต้องเป็นตนก็ไม่รู้ว่าลูกๆจะอยู่กันอย่างไรเมื่อไม่เหลือผู้นำครอบครัวอีกเลย

อยากบอกกับกลุ่มที่กระทำว่า ตอนนี้สิ่งที่คุณทำได้คร่าชีวิตคนบริสุทธิ์ไปไม่น้อย โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก คุณฆ่าคน 1 คน ก็เหมือนฆ่าคนอื่นๆ ในครอบครัวเขาทั้งหมด ขอร้องให้หยุดเถอะ หากเป็นชีวิตคนในครอบครัวคุณบ้าง จะรู้สึกอย่างไร ถ้าไม่รักชีวิตตัวเอง ก็ขอให้รักชีวิตคนอื่น หรือครอบครัวคุณบ้าง ขอร้องอย่าทำอีกเลย นายอนันต์กล่าวทั้งน้ำตา

เอ็ม 16 ถล่มรถคนมุสลิม

ส่วนที่ จ.นราธิวาส โจรใต้อาละวาดก่อเหตุรุนแรงขึ้นเช่นกัน เมื่อเวลา 14.30 น. ร.ต.ท.วัชรินทร์ ตันเจริญรัตน์ ร้อยเวร สภ.อ.ศรีสาคร รับแจ้งมีคนร้ายใช้ปืนสงครามดักซุ่มยิงใส่รถกระบะของชาวบ้าน มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย บนถนนสายบ้านตืองอ-บ้านไอร์กือเด หมู่ 4 ต.ศรีบรรพต จึงนำกำลังไปที่เกิดเหตุพบว่า 2 ข้างถนนเป็นป่ารกทึบ มีปลอกกระสุนปืนเอ็ม 16 ตกอยู่ในพงหญ้ากว่า 10 ปลอก โดยมี

กองเลือดกับเศษกระจกรถยนต์กระจายบนถนน ส่วนผู้ถูกยิงมี 5 คน เป็นชาย 3 คน และหญิง 2 คน ถูกนำส่ง รพ.ศรีสาคร ทราบชื่อนางแมะปะห์ มามะ อายุ 80 ปี ถูกยิงที่ไหปลาร้า นางอาสือนะ มามะ อายุ 44 ปี ถูกยิงที่ข้อมือขวา ต้นคอ และศีรษะ นายดือเร๊ะ สาและ อายุ 35 ปี ถูกยิงที่แขนขวา นายมะแอ มามะ อายุ 64 ปี ถูกยิงที่ไหล่ขวา และนายอุเซ็ง เซ็ง อายุ 59 ปี ถูกยิงที่ข้อมือและแขนขวา ซึ่งทั้งหมดเป็นคนในหมู่บ้าน หมู่ 6 ต.ดุซงญอ อ.จะแนะ จ.นราธิวาส และมีอาการสาหัส แพทย์นำส่งต่อ รพ.นราธิวาสราชนครินทร์

หวังสร้างรอยร้าว 2 ศาสนา


ก่อนเกิดเหตุ นายอุเซ็งขับรถกระบะนำเพื่อนบ้านรวม 8 คน จะไปร่วมงานแต่งงานของพรรคพวกที่หมู่ 5 บ้านลูโบ๊ะยือริง ต.ศรีบรรพต เมื่อถึงที่เกิดเหตุ 2 ข้างทางเป็นป่ารกทึบ มีคนร้าย 3-4 คน ดักซุ่มอยู่ 2 ฝั่งถนน ใช้ปืนเอ็ม 16 กราดยิงเข้าใส่หลายสิบนัด กระสุนปืนถูกนายอุเซ็งกับเพื่อนบ้านที่นั่งมาในกระบะด้านหลังบาดเจ็บ แม้จะถูกยิง แต่นายอุเซ็งยังมีสติ รีบเร่งเครื่องขับรถหลบหนี เนื่องจากเกรงว่าจะถูกยิงถล่มซ้ำเหมือนเหตุการณ์คนร้ายยิงถล่มรถตู้โดยสาร

ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 8 ศพ ที่ อ.ยะหา จ.ยะลา จากนั้นรีบนำคนเจ็บส่ง รพ.ศรีสาคร และนางอาลือนะเสียชีวิตในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่เชื่อว่าเป็นฝีมือกลุ่มอาร์เคเค ต้องการสร้างความแตกแยกระหว่างชาวไทยพุทธและมุสลิม เนื่องจากเมื่อช่วงเช้าคนร้ายใช้ปืนอาก้ายิงถล่มรถคนงานชาวไทยพุทธเสียชีวิต 3 ศพ พอตกบ่ายใช้ปืนเอ็ม 16 ยิงถล่มรถชาวมุสลิม เพื่อให้ชาวบ้านเข้าใจผิดว่าเป็นฝีมือเจ้าหน้าที่แก้แค้นให้ชาวไทยพุทธ

จ่อยิงสิบตำรวจเอกสาหัส

ก่อนหน้านี้ เมื่อช่วงเช้าวันเดียวกัน ขณะที่ ส.ต.อ.พิชิต สุวรรณ อายุ 35 ปี ผบ.หมู่ ป. สภ.อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส ขี่รถ จยย.ออกจากบ้านพักของภรรยาใน รพ.ศรีสาคร เพื่อไปปฏิบัติหน้าที่ เมื่อขี่รถพ้นประตูโรงพยาบาลแค่ 15 เมตร ถึงถนนใหญ่สายศรีสาคร-รือเสาะ บ้านตะโล๊ะ เขตเทศบาลตำบลศรีสาคร ห่างจาก สภ.อ.ศรีสาคร ราว 800 เมตร ปรากฏว่ามีคนร้าย 6 คน ขี่รถ จยย.ซ้อนท้ายกันมา 3 คัน มุ่งหน้ามาจาก อ.รือเสาะ เข้าประชิดแล้วใช้ปืนพก .38

จ่อยิงเข้าใส่ ส.ต.อ.พิชิต 2 นัดซ้อน กระสุนปืนถูกที่แขนซ้าย และขาขวา หลังถูกยิง ส.ต.อ.พิชิตที่ยังพอมีสติรีบขี่รถไปที่ สภ.อ.ศรีสาคร โดยไม่เข้าไปที่ รพ.ศรีสาคร ที่อยู่ใกล้ เนื่องจากกลัวว่าคนร้ายที่เหลือ จะไปดักรออยู่ที่ประตูทางเข้าโรงพยาบาลแล้วยิงซ้ำ แจ้งเหตุให้ ร.ต.ต.เชาวนินทร์ กิตติชัยวัฒน์ ร้อยเวร สภ.อ.ศรีสาคร ทราบเหตุ นำกำลังไปตรวจที่เกิดเหตุและติดตามคนร้าย เพื่อนตำรวจนำตัว ส.ต.อ.พิชิต ส่ง รพ.ศรีสาคร อาการสาหัส แพทย์นำส่งต่อ รพ.นราธิวาสราชนครินทร์

ยิงหนุ่มขายนมเปรี้ยวโคม่า

ต่อมาเมื่อเวลา 12.20 น. ร.ต.ต.นเรศ พุ่มแก้ว ร้อยเวร สภ.อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ไปตรวจสอบเหตุคนถูกยิงบนถนนสายยี่งอ-รือเสาะ บ้านบาโงระนะ หมู่ 5 ต.มะรือโบตก พบกองเลือดอยู่ข้างรถ จยย.ฮอนด้า รุ่นเวฟ สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน กยษ 650 นราธิวาส จอดเสียหลักอยู่ริมถนน โดยมีถังพลาสติกแช่นมเปรี้ยวยี่ห้อยาคูลท์ และพบหัวกระสุนปืน .38 ตกอยู่ ส่วนคนถูกยิงถูกนำส่ง รพ.ระแงะ ชื่อนายวรวิทย์ วรพงษ์ อายุ 39 ปี

อยู่บ้านเลขที่ 2/5 ต.บางนาค อ.เมืองนราธิวาส เป็นพนักงานขายนมเปรี้ยวยี่ห้อดังกล่าว ถูกยิงด้วยปืน .38 ที่กลางหลัง ขาซ้าย และราวนมขวา รวม 3 นัด อาการสาหัส โดยนายวรวิทย์ขี่รถ จยย.ตระเวนขายนมเปรี้ยวไปตามหมู่บ้านต่างๆ ขณะจอดรถขายนมเปรี้ยวให้กับลูกค้า ถูก 2 คนร้ายขี่รถมาจอดข้างๆ ทำทีเหมือนจะซื้อนมเปรี้ยว เมื่อนายวรวิทย์เผลอ คนร้ายจึงชักปืนพกออกมาจ่อยิงใส่ทันทีแล้วรีบหลบหนีไป

ซุ่มยิงทหารพรานก้นทะลุ

ด้าน จ.ยะลา โจรชั่วยังออกอาละวาดก่อเหตุต่อเนื่องเมื่อเวลา 16.45 น. พ.ต.ท.นิยม รื่นเริง รอง ผกก.สส. สภ.อ. บันนังสตา รับแจ้งจาก รพ.บันนังสตา ว่า มีทหารพรานถูกยิงบาดเจ็บ ทราบชื่อ อส.ทพ.สินชัย ทองคุปต์ อายุ 28 ปี สังกัดร้อย ทพ.4104 ตั้งฐานอยู่ภายใน ร.ร.บ้านบาเจาะ หมู่ 2 ต.บาเจาะ ถูกยิงด้วยปืนไม่ทราบขนาดเข้าบริเวณก้น กระสุนฝังในอาการสาหัส

สอบสวนทราบว่าขณะที่ อส.ทพ.สินชัย พร้อมกำลังจำนวนหนึ่งกำลังปฏิบัติหน้าที่รักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการอยู่ภายในโรงเรียนมีคนร้ายไม่ทราบจำนวนเล็ดลอดเข้ามาทางหลังโรงเรียน พร้อมใช้ปืนยิงใส่เจ้าหน้าที่หลายนัด กระสุนถูกก้น อส. ทพ.สินชัยที่ยืนอยู่จนล้มลงได้รับบาดเจ็บ ส่วนคนร้ายหลบหนีไป เพื่อนๆจึงรีบนำส่งโรงพยาบาล พร้อมแจ้งตำรวจ ส่วนมือปืนเชื่อว่าเป็นพวกโจรใต้ในพื้นที่มุ่งทำร้ายเจ้าหน้าที่เพื่อสร้างสถานการณ์

เผาวอดสวนยางชาวบ้าน


ขณะเดียวกัน ร.ต.ต.สรรัชฏก์ ศรีปุณยาภิคุปต์ ร้อยเวร สภ.อ.เมืองยะลา รับแจ้งจากนายลอย จันทรา อายุ 61 ปี อยู่บ้านเลขที่ 6 หมู่ 2 ต.ตาเซะ ว่า ทหาร ฉก.11 ที่ลาดตระเวนรักษาความปลอดภัยในหมู่บ้านมาแจ้งให้ทราบว่าได้เกิดเหตุเพลิงไหม้ขึ้นที่สวนยางพาราและสวนผลไม้ของตน ในพื้นที่บ้านตาเซะ หมู่ 3 ต.ตาเซะ

หลังทราบเรื่องตนพร้อมญาติเดินทางไปดู พบไฟกำลังลุกไหม้ต้นยางพาราและไม้ผล จึงร่วมกับทหารช่วยกันดับไฟ ปรากฏว่าไฟได้ไหม้ต้นยางพาราที่สามารถกรีดน้ำยางได้แล้วไปกว่า 300 ต้น นอกจากนั้นยังมีต้นเงาะพันธุ์โรงเรียนและต้นมังคุดอีกจำนวนหนึ่งถูกไฟไหม้เสียหายเช่นกัน มูลค่าความเสียหายทั้งหมดราว 50,000 บาทเศษ ส่วนสาเหตุเชื่อว่าเกิดจากฝีมือผู้ก่อความไม่สงบ เพราะตนไม่เคยมีเรื่องกับใครมาก่อน จึงมาแจ้งความร้องทุกข์ เพื่อขอให้ทางราชการช่วยเหลือต่อไป

เผา 2 สาวเหยื่อรถตู้มรณะ

ที่ฌาปนสถานเทศบาลเมืองเบตง อ.เบตง จ.ยะลา เมื่อเวลา 13.30 น. นายนพดล สองเมือง นอภ.เบตง พร้อมด้วยข้าราชการและพี่น้องประชาชนชาวเบตง ร่วมกันประกอบพิธีฌาปนกิจศพ น.ส.สถาพร หงส์จิลา และ น.ส.กีรติ แซ่ลู่ 2 เหยื่อสาวซึ่งเสียชีวิตจากเหตุโจรใต้ยิงถล่มรถตู้โดยสารสายเบตง-หาดใหญ่ เมื่อเช้าวันที่ 14 มี.ค. ที่ผ่านมา บรรยากาศเป็นไปด้วยความเศร้าสลด โอกาสเดียวกันนี้คณะครูอาจารย์ ผู้ปกครอง และนักเรียน ร.ร. หาดใหญ่รัฐประชาสรรค์ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งเดินทางมาร่วมพิธีด้วยได้มอบทุนการศึกษาจำนวน 30,000 บาทให้แก่นายเกษมสุข แซ่ลู่ น้องชายของ น.ส.กีรติ แซ่ลู่ ซึ่งเป็นศิษย์เก่าของโรงเรียน เพื่อเป็นขวัญกำลังใจด้วย

สถานการณ์พื้นที่สะบ้าย้อย

สำหรับความคืบหน้าสถานการณ์ในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ภายหลังเกิดเหตุคนร้ายลอบวางระเบิดและซุ่มยิงเด็กนักเรียนปอเนาะ ร.ร.บำรุงศาสน์วิทยา บ้านควนหรัน หมู่ 2 ต.เปียน อ.สะบ้าย้อย เป็นเหตุให้นักเรียนเสียชีวิต 2 ศพ และบาดเจ็บ 8 ราย โดยคนร้ายยังเผาอาคารเรียน ร.ร.บ้านควนหรัน ซึ่งอยู่ในพื้นที่เดียวกันเสียหายไป 2 หลัง เหตุเกิดเมื่อกลางดึกวันที่ 18 มี.ค. ที่ผ่านมา ภายหลังเกิดเหตุชาวบ้านในพื้นที่รวมตัวกันหลายร้อยคนไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าไปตรวจที่เกิดเหตุ

เพราะเข้าใจว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ต้องใช้ เวลาเจรจากันนานกว่า 19 ชั่วโมง ในที่สุดชาวบ้านยอมให้เจ้าหน้าที่เข้าพื้นที่แล้ว เมื่อเวลา 09.30 น. นายปรีชา ดำเกิงเกียรติ นอภ.สะบ้าย้อย พร้อมผู้นำศาสนา ผู้นำท้องถิ่น รวมทั้งสื่อมวลชนทุกแขนง และกำลังทหารกว่า 100 นาย เดินทางเข้าไปยังพื้นที่บ้านควนหรัน หมู่ 2 ต.เปียน อีกครั้ง เพื่อดูที่เกิดเหตุและให้การช่วยเหลือเยียวยาครอบครัวผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต รวมทั้งตรวจสอบบริเวณจุดเกิดเหตุ

กลุ่มสตรีมุสลิมไล่จนท.-สื่อ

ขณะที่บริเวณรอบนอก นายสนธิ เตชานันท์ ผวจ.สงขลา ซึ่งเดินทางมาติดตามสถานการณ์ด้วยตัวเองเป็นวันที่ 2 คอยประสานงานและติดตามความเคลื่อนไหวสถานการณ์ในพื้นที่อย่างใกล้ชิด ในขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งประกอบด้วย พล.ต.ต.ไพฑูรย์ พัฒนโสภณ ผบก.ภ.จ.สงขลา พ.ต.อ.ธัมมศักดิ์ วาสะสิริ ผกก.สภ.อ.สะบ้าย้อย และกำลังตำรวจอีกส่วนหนึ่งเตรียม พร้อมอยู่ที่ สภ.อ.สะบ้าย้อย เพื่อรอเข้าไปสมทบหากมีสถานการณ์ฉุกเฉิน

แต่ปรากฏว่าระหว่างที่กำลังเจ้าหน้าที่ชุดแรกเดินทางเข้าไปยังพื้นที่บ้านควนหรัน ได้มีกลุ่มสตรีชาวมุสลิมและเด็กกว่า 200 คน ใช้ผ้าคลุมใบหน้ามิดชิด รวมตัวกันบริเวณทางแยกปากทางเข้า ร.ร.บำรุงศาสน์วิทยา ห่างจากโรงเรียนราว 400 เมตร ไม่ให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบ รวมทั้งสื่อมวลชนเข้าไปดูสถานที่เกิดเหตุ เพราะส่วนใหญ่ยังเชื่อว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ พร้อมโห่ร้องและชูป้ายเขียนข้อความโจมตีและขับไล่เจ้าหน้าที่รัฐรวมทั้งสื่อมวลชนให้ออกไปจากพื้นที่

นอภ.-ผู้นำศาสนาเจรจาเครียด


สถานการณ์ทำท่าจะลุกลามบานปลายและรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากมีชาวบ้านเริ่มทยอยเดินทางมาสมทบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เจ้าหน้าที่ในเครื่องแบบรวมทั้งสื่อมวลชนจึงต้องถอนตัวออกจากพื้นที่เพื่อให้เหตุการณ์ สงบลง อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านยอมให้นายปรีชา ดำเกิงเกียรติ นอภ.สะบ้าย้อย นายวิชระ พันดุสะ ปลัดอาวุโส นายหามะ ดอเลาะ ส.จ.เขต อ.สะบ้าย้อย นายรีเป็ง มุนิมะ กำนัน ต.เปียน นายเจ๊ะบาเหม ทุยเลาะ กำนัน ต.ทุ่ง นายกอยา อิยูโซ๊ะ

นายก อบต.เปียน พร้อมนายมะแซ มามะ รองประธานคณะกรรมการอิสลามประจำ จ.สงขลา และนายอาสัน สะแลมัน กรรมการอิสลาม จ.สงขลา เขตอ.สะบ้าย้อย เข้าไปยัง ร.ร.บำรุงศาสน์วิทยา ได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่ ได้เจรจากับนายดลเล๊าะ หะยีเจ๊ะเลาะ เจ้าของโรงเรียนและญาติๆของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างเคร่งเครียด ขณะที่โดยรอบพื้นที่ยังคงมีกำลังเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองคอยสังเกตการณ์ เพื่อป้องกันเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นเพราะสถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ

ตั้งเงื่อนไขห้าม จนท.พกอาวุธ

นายปรีชา ดำเกิงเกียรติ นอภ.สะบ้าย้อย เปิดเผยภายหลังเข้าไปเจรจาว่า ได้พูดคุยกับเจ้าของโรงเรียนและญาติผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตเกี่ยวกับการช่วยเหลือเยียวยา รวมทั้งขอให้เจ้าหน้าที่วิทยาการเข้าไปตรวจสอบเก็บหลักฐานพื้นที่เกิดเหตุ ลอบวางระเบิดและลอบยิงเด็กนักเรียนปอเนาะเพื่อความโปร่งใสและความชัดเจนของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะได้พิสูจน์ให้เห็นว่าไม่ใช่เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยท่าทีของการเจรจา เจ้าของโรงเรียนและครอบครัวผู้เสียชีวิตให้ความร่วมมือและไม่มีท่าทีโกรธแค้นแต่อย่างใด ในส่วนของประเด็นการช่วยเหลือเยียวยานั้น ชาวบ้านพร้อมรับการช่วยเหลือ แต่ในประเด็นเรื่องให้เจ้าหน้าที่วิทยาการเข้าตรวจสอบพื้นที่ ชาวบ้านให้เข้าไปแค่ 6 คน จาก 12 คน ห้ามแต่งเครื่องแบบและห้ามพกอาวุธ

ไทยพุทธขอความเท่าเทียม

ต่อมาเมื่อเวลา 11.30 น. ได้มีกลุ่มชาวไทยพุทธ ใน อ.สะบ้าย้อย เป็นชาวบ้านจาก 3 ตำบล ประกอบด้วยต.เขาแดง ต.คูหา และ ต.ทุ่งพอ ประกอบด้วย กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน นักการเมืองท้องถิ่น และชาวบ้านกว่า 500 คน เดินทางมารวมตัวกันที่ที่ว่าการ อ.สะบ้าย้อย เพื่อยื่นแถลงการณ์ในนามของราษฎรชาวไทยพุทธ เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการช่วยเหลือและแก้ปัญหา 3 ข้อ ประกอบด้วย 1. ให้รัฐบาลมีความเด็ดขาดกับผู้ไม่หวังดีอย่างจริงจัง 2. ให้รัฐบาลช่วยเหลือเยียวยากับผู้ถูกกระทำให้เท่าเทียมกันและชัดเจน และ 3. ให้รัฐบาลหาแนวทางและวิธีการในการรักษาความสงบความปลอดภัยในการประกอบอาชีพ นอกจากยื่นแถลงการณ์ผ่านทาง อ.สะบ้าย้อยแล้ว ชาวบ้านจะยื่นถึงนายสนธิ เตชานันท์ ผวจ.สงขลา และ พล.ท.วิโรจน์ บัวจรูญ แม่ทัพภาคที่ 4 ต่อไป

สุดทนภาครัฐไม่เหลียวแล

สาเหตุที่ชาวไทยพุทธในพื้นที่ อ.สะบ้าย้อย รวมตัวกันในครั้งนี้ ชาวบ้านบอกว่าเป็นผลมาจากได้รับความเดือดร้อนจากเหตุความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะล่าสุดเมื่อวันที่ 18 มี.ค.ที่ผ่านมา เกิดเหตุคนร้ายลอบยิงชาวบ้านชาวไทยพุทธเสียชีวิตไป 3 คน และบาดเจ็บอีก 3 คน แต่ปรากฏว่าผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตไม่ได้รับการดูแลหรือช่วยเหลือจากภาครัฐ เท่าที่ควร ทั้งนี้ นายสมชาย ช่วยบำรุง สมาชิก อบต.คูหา หนึ่งในตัวแทนชาวบ้านกล่าวว่า ชาวไทยพุทธในพื้นที่ไม่สามารถทนกับสถานการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นได้อีกแล้ว หากว่าภาครัฐไม่สามารถดำเนินการแก้ปัญหาได้ ทาง ชาวบ้านจะร่วมกันหารือเพื่อหาทางออกและแก้ไขปัญหากันเอง

ส่วนจะใช้วิธีใดนั้น ต้องรอดูกันอีกครั้งหนึ่ง เพราะขณะนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้สร้างความแตกแยกระหว่างชาวไทยพุทธกับมุสลิม ต้องอยู่ด้วยความหวาดระแวงทั้ง 2 ฝ่าย การรวมตัวในครั้งนี้ไม่ได้มีเจตนาที่จะออกมาสร้างเงื่อนไขหรือกดดันฝ่ายใด โดยเฉพาะชาวบ้านใน ต.เปียน ทั้งนี้ ในระหว่างการรวมตัวชาวบ้านได้นำอาวุธปืนที่ใช้ป้องกันตัวจำนวนหลายสิบกระบอกมาวางรวมกันไว้ เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย

สนธิ แจงลงใต้ครั้งสุดท้าย


เมื่อเวลา 19.00 น. พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. และประธาน คมช. ให้สัมภาษณ์ภายหลังเดินทางกลับจากพื้นที่ภาคใต้ว่า มีวัตถุประสงค์ 3 ประการ ที่ลงไปในพื้นที่ ประการแรก คือการจัดระเบียบเรื่องการประสานงานของทุกภาคส่วนที่รับผิดชอบให้มีความเป็นหนึ่งเดียวให้ได้ การลงไปครั้งนี้ถือว่าน่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่จะทำให้ความเข้าใจต่างๆ สอดคล้องกัน

เมื่อถามว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้เป็นเพราะพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ที่ทรงห่วงใยพี่น้องในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงต้องไปขันนอตในการทำงานของเจ้าหน้าที่ให้มีประสิทธิภาพใช่หรือไม่ พล.อ.สนธิ กล่าวว่า เป็นคนละส่วนกัน เราเตรียมจะลงไปก่อนอยู่แล้ว เพราะเป็นหน้าที่ของ กอ.รมน. ในการที่จะต้องไปกำชับการทำงานของ พตท.ให้ทำงานเป็นหนึ่งเดียว

ปัดไม่มีคนไทยหนีเข้ามาเลย์

เมื่อถามว่า กลุ่มก่อความไม่สงบได้ยิงเจ้าหน้าที่โครงการพระราชดำริเสียชีวิต 3 คน จะดำเนินการอย่างไร พล.อ.สนธิกล่าวว่า ในส่วนที่สำคัญที่ลงไปคือเรื่องการชุมนุมของกลุ่มม็อบที่ อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา ซึ่งตนได้ให้ แนวทางเจ้าหน้าที่ไปแล้วคงจะดำเนินการ ทั้งนี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นถือเป็นกลยุทธ์ของการก่อการร้าย เดี๋ยวค่อยหากรรมวิธีในการดำเนินการต่อไป เพราะว่าคนที่มาร่วมชุมนุม เราสามารถตรวจสอบได้ และควบคุมคนเหล่านี้ได้

เชื่อว่าอีกหน่อยคงไม่กล้ามา เมื่อถามว่า มีการตรวจสอบหรือ ไม่ว่ามีคนไทย 20 คน หลบหนีเข้าไปในประเทศมาเลเซีย พล.อ.สนธิกล่าวว่า ได้คุยกับผู้ว่าราชการจังหวัดแล้ว ท่าน บอกว่าไม่มี เมื่อถามว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีการเชื่อมโยงกับก่อการร้ายในต่างประเทศหรือไม่ พล.อ.สนธิกล่าวว่า ตนยังไม่เชื่อ เพราะยุทธวิธีต่างๆไม่จำเป็นจะต้องไปฝึกข้างนอก วิธี ง่ายๆพวกนี้ฝึกกันภายในอยู่แล้ว เมื่อถามว่า ได้ให้แนวทางในการดำเนินการกับกลุ่มม็อบที่เป็นผู้หญิงในการต่อต้านการทำงานของเจ้าหน้าที่ พล.อ.สนธิกล่าวว่า ยุทธวิธีคงบอกไม่ได้ แต่ได้ให้แนวทางอันใหม่ไปแล้ว

คุย ก.ยุติธรรมหาทางแก้ปัญหา

เมื่อถามว่า กลุ่มก่อความไม่สงบแต่งกายคล้ายเจ้าหน้าที่ไปก่อเหตุไล่ยิงชาวบ้านและเด็กนักเรียน ได้มีการสอบถามอย่างไร พล.อ.สนธิกล่าวว่า จากหน่วยในพื้นที่วิเคราะห์ตรงกันว่า เป็นการคล้ายๆทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับประชาชน โดยกลุ่มก่อความไม่สงบต้องการให้คนไทยพุทธ กับคนไทยมุสลิม มีความขัดแย้งกัน จึงได้ใช้วิธีการมายิง ซึ่งเป็นเรื่องที่เราจะต้องระมัดระวังอยู่แล้ว ถามว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์คงลำบาก อย่างไรก็ตาม ผู้ว่าราชการจังหวัดทราบปัญหาเรื่องนี้แล้วเมื่อเข้าใจตรงกันก็จะต้องพยายาม และบอกทางคณะกรรมการกลางอิสลามกลางจังหวัดเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา

และทางผู้ว่าราชการจังหวัดใน ฐานะที่จะต้องเข้าไปรับผิดชอบในการทำความเข้าใจกับคนไทยพุทธ เราต้องพยายามไม่ให้ปัญหานี้เกิดความรุนแรงขึ้น จริงๆ แล้วคน 2 กลุ่ม อยู่ด้วยกันมาตลอด ดังนั้น ข่าวสารต่างๆ ของคนทั้ง 2 กลุ่มที่เกิดขึ้นในหมู่บ้านมี การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารอยู่แล้ว เราอย่าไปแยกเขา เพราะเขาเคยอยู่ด้วยกันมาตลอด วันนี้ได้มีการคุยกันว่ากระบวนการของเรามีปัญหา ต่อไปจะต้องคุยกับทางกระทรวงยุติธรรมในการหาทางแก้ไขอย่างไร พล.อ.สนธิกล่าว



เตรียมเพิ่มกำลังลงพื้นที่อีก


เมื่อถามว่า คนไทยพุทธที่ทิ้งหมู่บ้านออกไป ปัญหาน่าเป็นห่วงหรือไม่ พล.อ.สนธิกล่าวว่า มีการขยับไปมาอยู่ตลอดเวลา ทางผู้ว่าราชการจังหวัดทราบปัญหาอยู่แล้ว เขาหาหนทางยับยั้ง และทำความเข้าใจกับประชาชนว่า ถ้าเผื่อเราอยากจะแพ้ก็หนีไป มันเป็นไปไม่ได้ เราจะต้องอยู่สู้ หรือช่วยกันสู้ ปัญหาจะต้องช่วยกันทุกฝ่าย เมื่อถามว่า หนักใจปัญหาอะไรมากที่สุดเท่าที่ลงพื้นที่

พล.อ. สนธิกล่าวว่า ปัญหาสิ่งที่จะต้องมีการแก้ไขอีกหลายเรื่องที่เราจำเป็นจะต้องให้ความช่วยเหลือกับสิ่งที่เกิดขึ้น ปัญหาที่พูดเสมอว่ากำลังเรามีน้อย ก็ได้บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า นำกำลังที่มีอยู่ที่เป็นส่วนธุรการ มาใช้เป็นกำลังทางยุทธการให้มากขึ้น อันที่สองหากกำลังไม่พอ เราเตรียมกำลังจากกองทัพบกลงไปอีก ไม่ว่าจะเป็นทหารพราน หรือทหารเรือมากขึ้น ฉะนั้นปัญหาการเพิ่มเติมกำลังเราพร้อมอยู่แล้ว เพียงแต่กองทัพภาคที่ 4 จะต้องพิจารณาตรวจสอบว่าจะต้องเพิ่มเติมอีกเท่าไหร่ พล.อ.สนธิกล่าว

ธารโต มีสิทธิ์โดนเคอร์ฟิว

เมื่อถามว่า จุดยืนของกองทัพบก และ กอ.รมน. เรื่องความสมานฉันท์ เพราะตอนนี้มีแรงกดดันให้ใช้มาตรการตอบโต้รุนแรงมากขึ้น พล.อ.สนธิกล่าวว่า ต้องแยกให้ออกระหว่างการเมืองกับการทหาร การเมืองกับการทหาร หรือความสมานฉันท์คือการเมือง เราจะต้องแยกให้ออกว่าบทไหนจะใช้อะไรจะต้องแยกแยะให้ออก ทุกคนจะต้องเข้าใจว่าตอนไหนใช้การทหาร หรือการเมือง เรารู้กันอยู่ อย่าให้อะไรมาเบียดจนทำให้เกิดแตกความ สามัคคี เมื่อถามว่า มีคนมองว่าเราใช้แนวทางสมานฉันท์ มากเกินไปจนทำอะไรไม่ได้

พล.อ.สนธิกล่าวว่า ไม่ใช่ครับ ทุกคนเข้าใจผิด คำว่าสมานฉันท์เป็นกุศโลบาย ส่วนกลยุทธ์เป็นการทหาร เมื่อถามว่า รัฐบาลมีการส่งรัฐมนตรีลงไปดูแลในพื้นที่เป็นพิเศษ พล.อ.สนธิกล่าวว่า รัฐบาลเขาก็ส่งคนไปดูแลอยู่แล้ว ส่วนความมั่นคง และ คมช. จะไปช่วย และ กอ.รมน. ก็จะลงไปช่วย ซึ่งไม่เป็นไร ต่างคนต่างดูและแลกเปลี่ยน เมื่อถามว่า มีพื้นที่ไหนบ้างจะต้องประกาศเคอร์ฟิวเพิ่มเติม พล.อ.สนธิกล่าวว่า พื้นที่ที่น่ากังวลที่เป็นพื้นที่ป่าเขา โดยเฉพาะ อ.ธารโต จ.ยะลา ที่เป็นพื้นที่กองทัพจะต้องพิจารณาอีกครั้ง แต่ก็ให้อำนาจทางกองทัพภาคที่ 4 เป็นผู้พิจารณา

บัวแก้วยันคนไทยกลับหมดแล้ว

ที่กระทรวงการต่างประเทศ นายนิตย์ พิบูลสงคราม รมว.ต่างประเทศ กล่าวภายหลังการหารือกับดะโต๊ะชารานี ลิน อิบราฮิม เอกอัครราชทูตมาเลเซียประจำประเทศไทย ว่า ได้หารือเกี่ยวกับกำหนดการเดินทางเยือนมาเลเซียของตน ระหว่างวันที่ 22-23 มี.ค.นี้ ซึ่งมีหลายประเด็นที่จะหารือกัน สืบเนื่องจากการหารือของนายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศ มาเลเซียแสดงความพร้อมที่จะช่วยเหลือเราเป็นอย่างดี โดยเฉพาะในเรื่องการศึกษาที่มาเลเซียมีการเรียนการสอนสาขาวิชาชีพควบคู่กับศาสนา

ซึ่งเป็นประเด็นที่นายกรัฐมนตรีให้ความสนใจเพราะต้องการส่งเสริมเยาวชนภาคใต้ให้มีความสามารถในการแข่งขัน ผู้สื่อข่าวถามถึงข่าว 24 คนไทยที่มีข่าวว่าหลบหนีเข้าไปในมาเลเซียเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา นายนิตย์กล่าวว่า ท่านทูตได้แจ้งให้ทราบว่าคนไทยทั้ง หมดได้เดินทางกลับมาแล้ว เขาบอกว่าการเดินทางไปครั้งนี้ดูเหมือนจะมีการกำหนดไว้ก่อนพอสมควร มีการไปนัดพบกับผู้สื่อข่าวเพื่อจะไปชี้แจง ซึ่งเป็นการชี้แจงฝ่ายเดียวที่ทางมาเลเซียก็ไม่ต้องการจะฟัง ทำให้มีข้อเสนอว่าจะให้ผู้สื่อข่าวมาเลเซียเดินทางมา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อให้มาเห็นข้อเท็จจริงด้วยตนเอง เพราะรายงานข่าวบางอย่างยังอาจคลาดเคลื่อน เราก็ยินดี

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์