เสี่ยนิ้วขาดโต้บ.ประกัน ยันเรื่องจริง

"เสี่ยนิ้วขาด โต้ บ.ประกันฯ"



นายพิเชษฐ์ เสี่ยใหญ่ใน จ.ภูเก็ต ที่ถูกกล่าวหาว่าพยายามฉ้อโกงด้วยการตัดนิ้วตัวเองเพื่อเอาเงินประกัน

ชี้แจงกับผู้สื่อข่าวทางโทรศัพท์ว่า

หลังเกิดอุบัติเหตุกับนิ้วมือตนก็ได้รีบเข้าไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล ซึ่งเจ้าหน้าที่ของ รพ. ได้ถ่ายภาพไว้ทั้งหมด และตนได้ติดต่อเจ้าหน้าที่จากบริษัทประกันมาสำรวจเหตุที่เกิดขึ้นด้วย

พร้อมกับให้ข้อมูลไปตามข้อเท็จจริง

ที่เกิด ขึ้นทุกอย่าง ในเรื่องนี้ตนพร้อมที่จะให้เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญจากหน่วยงานที่เป็นกลางมาตรวจสอบว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร

นายพิเชษฐ์ กล่าวต่อว่า

ส่วนสาเหตุที่ตนทำกรมธรรม์ไว้หลายฉบับนั้น ตนเห็นว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะเท่าที่ทราบมีบางคนทำประกันไว้หลายบริษัทมากกว่าตนด้วยซ้ำ เรื่องนี้เป็นสิทธิ ที่ประชาชนทั่วไปทำได้ แต่ไม่ทราบว่าเหตุใดทางบริษัทไทยพาณิชย์ฯ

จึงมองว่าตนมีเจตนาส่อพิรุธ

ตนขอยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนเป็นอุบัติเหตุจริง ๆ และตนไม่เคยมีเจตนาฉ้อฉลเพื่อขอรับค่าสินไหมทดแทน อย่างไรก็ตามตน จะไม่ขอพูดอะไรมากเพราะต้องเตรียมพยานหลักฐานให้ทนายความเพื่อมาต่อสู้หักล้างข้อกล่าวหาของบริษัทประกันภัยและอยากขอพึ่งกระบวนการยุติธรรมให้ความเป็นธรรมกับตนด้วย



วันเดียวกันนี้ พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์

ได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะพนักงานสอบสวนที่ 82/2550 ลงวันที่ 21 พ.ค. 50 ด้วยเมื่อวันที่ 22 ม.ค.ที่ผ่านมา นางอุพรรัตน์ บุญวงศ์ ผู้รับมอบอำนาจจากบริษัทไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน)

ได้มาแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน

เพื่อสืบสวนข้อเท็จจริงกรณี นายพิเชษฐ์ พรตันติพงศ์ อายุ 38 ปี ผู้เอาประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคลของบริษัทยื่นหนังสือเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนอันเนื่องมาจากประสบอุบัติเหตุฟันนิ้วหัวแม่มือตัวเองขาด

แต่จากการตรวจสอบพบว่า

ผู้เอาประกันภัยรายนี้ได้ทำประกันภัยในลักษณะเดียวกันกับบริษัทประกันภัยอื่น ๆ กว่า 30 บริษัท มีวงเงินประกันสูงกว่า 60 ล้านบาท มีความสงสัยตามสมควรว่าอุบัติเหตุ

ตามที่อ้างเป็นการอำพราง

เพื่อหวังเงินประกันภัยดังกล่าวจึงขอให้สืบสวนข้อเท็จจริงหากพบว่าเป็นความผิดอาญาก็ประสงค์ให้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องทุกคน ทุกฐานความผิด

ทั้งนี้กองปราบปรามเห็นว่าคดีดังกล่าว

ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ มีทุนทรัพย์สูง ผลการสืบสวนพบมูลความผิดตามที่ร้องเรียนโดยมีการวางแผนอย่างเป็นขั้นตอน มุ่งหวังเงินประกันภัยอุบัติเหตุจำนวนมากที่ทำประกันไว้



เพื่อให้การสืบสวนสอบสวนเป็นไปได้

ด้วยความเรียบร้อย รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ และเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย จึงแต่งตั้งข้าราชการตำรวจรับผิดชอบสืบสวนคดีนี้ทั้งสิ้น 13 นาย โดยมี พ.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง ผกก.5 บก.ป. เป็นหัวหน้าพนักงานสืบสวนสอบสวน และพ.ต.ท. สมควร พึ่งทรัพย์ รอง ผกก.4 บก.ป. เป็นรองหัวหน้า

นายถนัด จีรชัยไพศาล รองกรรมการ

ผู้จัดการอาวุโส บริษัทไทยพาณิชย์สามัคคีประกันภัย จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานอนุกรรม การประกันภัยเบ็ดเตล็ด สมาคมประกันวินาศภัย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า สมาคมฯได้จัดตั้งคณะทำงานติดตามการพิจารณาจ่ายค่าสินไหม

ให้นายพิเชษฐ์ เนื่องจากเห็นว่า

พฤติกรรมการทำประกันที่มากผิดปกติ โดยซื้อประกันชีวิตจาก 9 บริษัท และประกันภัยจาก 24 บริษัท รวม 33 บริษัท 57 ฉบับ รวมเป็นทุนประกันทั้งสิ้น 67 ล้านบาท

แต่นายพิเชษฐ์ไม่ได้แจ้งข้อมูลครบถ้วน

ในใบคำขอเอาประกันว่า ทำประกันกับบริษัทใดบ้างและจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งเป็นข้อมูลด้านปัจจัยเสี่ยงของบุคคลว่าจะได้รับการพิจารณาให้ซื้อประกันได้หลายฉบับพร้อมกันหรือไม่ อย่างไรก็ตามต้องยอมรับว่า

เหตุการณ์แบบนี้หรือเจตนาฉ้อโกงบริษัทประกันภัย

เกิดขึ้นให้เห็นบ่อย ๆ แต่ไม่มีการทำประกันสูงอย่างรายนี้ และเพื่อเป็นการป้องกันไม่เกิดปัญหาซ้ำอีกในอนาคต ที่ลูกค้าบางรายหาผลประโยชน์จากการทำประกัน สมาคมเตรียมจัดทำฐานข้อมูลกลาง



โดยขอให้บริษัทประกันแจ้งข้อมูลลูกค้า

เพื่อเช็กว่าเป็นบุคคลที่มีการซื้อประกันมากเกินไปหรือไม่ และเป็นการเช็กว่าลูกค้าได้ให้ข้อมูลจริงกับบริษัทประกันหรือไม่

"ปกติบุคคลหนึ่งจะซื้อประกันเพียง 2-3 ฉบับ

หรือจาก 2-3 บริษัท ขึ้นอยู่กับรายได้และความสามารถในการจ่ายเบี้ยประกันของตัวบุคคลนั้น ๆ ไม่ควรเกิน 5 เท่าของรายได้ที่เกิดขึ้นจริง และผลการรักษาทางการแพทย์ยังมีข้อสงสัยไม่น่าจะเกิดจากอุบัติเหตุ

ซึ่งตอนนี้ทั้ง 33 บริษัทได้บอกล้างกรมธรรม์

และคืนเบี้ยประกันให้นายพิเชษฐ์แล้ว เพราะนายพิเชษฐ์ให้ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง เป็นสิทธิของบริษัท ที่บอกล้างกรมธรรม์ได้"

นางจันทรา บูรณฤกษ์ อธิบดีกรมการประกันภัย

กล่าวว่า ประชาชนมีเสรีภาพที่จะซื้อประกันจากบริษัทใดจำนวนเท่าไหร่ก็ได้ แต่ควรแจ้งข้อมูลที่เป็นจริงและปฏิบัติตามระเบียบ แต่จากการตรวจสอบพบว่านายพิเชษฐ์ทำประกันชีวิตและประกันภัยรวม 57 กรมธรรม์

รวมทุน ประกัน 67.15 ล้านบาท

ทั้งนี้หน้าที่ของกรมการประกันภัยต้องดูว่ามีการประวิงไม่จ่ายค่าชดเชยหรือไม่ และเป็นเหตุสุดวิสัยให้เกิดอุบัติเหตุหรือไม่ ขณะนี้กรมฯกำลังรอผลการพิสูจน์ข้อเท็จจริงทางนิติวิทยาศาสตร์ว่าเป็นอุบัติเหตุหรือไม่

หากตรวจสอบว่าเป็นอุบัติเหตุจริง

ก็ต้องจ่ายค่าชดเชยตามเงื่อนไข 16 ล้านบาท และอยากเตือนให้ทั้งผู้เอาประกันและผู้ขายประกันจริงใจต่อกัน และตรวจสอบข้อมูลซึ่งกันและกันได้.



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์