อยากได้เขยฝรั่งโดนตุ๋นอื้อ

"ถูกฝรั่งตุ๋นหาคู่ต่างชาติ"


แม่สาวๆ ชาวอุดรฯราว 20 คน บุกร้องตำรวจภาค 4 ถูกแก๊ง 18 มงกุฎหลอกหาสามีฝรั่งในอินเตอร์เน็ต แต่ละรายนำที่ดินไปจำนองเสียเงินค่าสมัครในการติดต่อหลายหมื่นบาท ทั้งถ่ายรูป ทำวีทีอาร์ แปลข้อความ ใช้เวลากว่า 2 ปี สุดท้ายไม่ได้เขยฝรั่งสักคน จึงวิ่งโร่แจ้งความตำรวจภาค 4 ดำเนินคดีแก๊งต้มตุ๋น

เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 24 พ.ย. ที่หน้าสำนักงานตำรวจภูธรภาค 4 มีชาวบ้านประมาณ 20 คน ที่ถูกแก๊งต้มตุ๋นหลอกลวงในรูปแบบจัดหาคู่หญิงไทยกับชาวต่างชาติในอินเตอร์เน็ต เข้าร้องทุกข์กับพล.ต.ต.ทวีพร นามเสถียร รองผบช.ภ.4 ซึ่งมี 1.นางบุญมี เมินเมือง อายุ 43 ปี, 2.นางศยามล ศิริปีริ อายุ 32 ปี, 3.นางสน นาโคตร อายุ 45 ปี, 4.นางกองนาง พานุรักษ์ อายุ 45 ปี, 5.นางกรรณิการ์ เมหิ อายุ 39 ปี, 6.นางผัง ทิพย์ประโชค อายุ 54 ปี และนางอารียา สมวงษ์ษา อายุ 56 ปี ทั้งหมดมีบ้านพักอาศัยอยู่ใน ต.ปะโค อ.กุดจับ จ.อุดรธานี เป็นผู้เสียหายที่ถูกแก๊งต้มตุ๋นหลอกลวงให้เสียเงินค่าสมัครหาคู่ให้ลูกสาวกับชาวต่างชาติทางอินเตอร์เน็ต จนเสียเงินมากกว่า 60,000 บาท ซึ่งไม่สามารถจัดหาคู่ชาวต่างชาติให้กับลูกสาวได้แม้แต่คนเดียว

"หลอกพาไปดูบริษัท ให้สมัครและทำหลักฐานส่งเข้าระบบอินเตอร์เน็ต"


นางบุญมี เมินเมือง ผู้เสียหายคนหนึ่งบอกว่า เมื่อประมาณปลายปี 2547 มีหญิงสาวคนหนึ่งทราบชื่อว่านางรจนา ไม่ทราบนามสกุล อายุประมาณ 53 ปี เข้ามาในหมู่บ้านผักกาดหญ้า แล้วโฆษณาว่าใครมีลูกสาวที่ต้องการมีสามีเป็นคนต่างชาติ ซึ่งจะนำความร่ำรวยมาสู่ตนและญาติพี่น้องก็ให้มาติดต่อกับนางรจนาได้ โดยจะพาไปสมัครที่บริษัทแห่งหนึ่งในเมืองขอนแก่น ถ้าเกิดว่าใครไม่เชื่อก็ให้มาดูผลงานของบริษัทดังกล่าวที่ได้จัดหาคู่ให้ผู้หญิงในภาคอีสานหลายคนไปมีสามีเป็นชาวต่างชาติ และแต่งงานถูกต้องตามกฎหมาย เมื่อได้อยู่ในประเทศของสามีที่เป็นชาวต่างชาติไปแล้วก็ส่งเงินจำนวนมากมาให้พ่อแม่ผู้ปกครองจนมีฐานะร่ำรวย มีบ้านใหญ่โตในหมู่บ้าน โดยพ่อแม่ของผู้หญิงที่ได้สามีเป็นชาวต่างชาติไม่ต้องทำงานอะไร

นางบุญมีกล่าวต่อไปว่า หลังจากนั้นพวกตนซึ่งมีลูกสาวประมาณ 10 คน และอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันได้ให้ความสนใจที่ต้องการได้ลูกเขยที่เป็นชาวต่างชาติ พวกตนจึงไปที่บริษัทดังกล่าว โดยนางรจนาเป็นผู้นำไปพบนางประคอง ไม่ทราบนามสกุล อายุประมาณ 60 ปี แต่งกายภูมิฐาน และนางณัชชา ไม่ทราบนามสกุล อายุประมาณ 30 ปี ลูกสาวแต่งกายดีเช่นกัน นั่งอยู่ในบริษัทดังกล่าว มาต้อนรับ พร้อมกับแนะนำว่าถ้าต้องการให้ลูกสาวหาคู่เป็นชาวต่างชาติโดยยังไม่ทราบว่าจะเป็นชาวต่างชาติประเทศไหน จะต้องถ่ายรูปและบอกประวัติจัดทำข้อความทางอินเตอร์เน็ต ประกาศหาคู่ทางอินเตอร์เน็ต ถ้าเกิดมีชาวต่างชาติประเทศไหนสนใจลูกสาวคนไหนทางบริษัทจะได้ติดต่อกลับไปหาพ่อแม่ผู้สมัครที่ได้แจ้งไว้กับทางบริษัทดังกล่าว

"ให้ดูวีทีอาร์ จนโดนหลอกยอมเสียค่าสมัครเบื้องต้นคนละ 5,000 บาท"


นางกองนาง พานุรักษ์ ผู้เสียหายที่มีบ้านอยู่ใน อ.กุดจับ จ.อุดรธานี บอกว่า ก่อนที่จะสมัครหาสามีให้กับลูกสาวกับนางประคองเจ้าของบริษัทดังกล่าว ทางนางประคองให้นางณัชชาลูกสาวนำวีทีอาร์ที่ถ่ายทำไว้มาฉายให้ดู โดยเริ่มต้นด้วยการมาสมัครหาคู่ทางอินเตอร์เน็ต เสียเงินจำนวน 5,000 บาท พร้อมกับค่าดำเนินการในการติดต่อหาคู่ทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งจะมีการทำประวัติ ลงรูปถ่าย และภาพกิจกรรมของผู้สมัครที่ต้องการมีคู่ลงเว็บไซต์ของบริษัท และยังมีเรื่องราวต่างๆในวีทีอาร์เกี่ยวกับหญิงสาวไทยประสบความสำเร็จได้สามีเป็นชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนญี่ปุ่น อังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี สวีเดน มาให้ดูตั้งแต่การหมั้นหมาย การแต่งงาน การครองชีวิตคู่ในต่างประเทศ และการมาใช้ชีวิตในประเทศไทย

โดยผู้ปกครองของหญิงไทยที่มีสามีเป็นคนต่างประเทศชีวิตมีความสุข ไม่ต้องดิ้นรนทำงานหาเช้ากินค่ำ และอยู่ในบ้านหลังใหญ่ คอยรอรับเงินจากสามีที่เป็นชาวต่างชาติ สาเหตุดังกล่าวทำให้พวกตนที่มีลูกสาวเกิดความสนใจที่จะให้ลูกสาวไปมีสามีเป็นชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นประเทศไหนก็ตาม ถือว่าพวกเขามีฐานะดีที่สามารถจะเลี้ยงดูลูกสาวของเขาได้ และมาสร้างฐานะให้กับพวกเขาอีกด้วย ดังนั้นจึงพากันเสียเงินค่าสมัครเบื้องต้นคนละ 5,000 บาท ให้กับบริษัทดังกล่าว

"หลอกเงินค่าใช้จ่ายอีก คนละ 50,000 ค่าแปล จม.โต้ตอบอีกครั้งล่ะไม่ต่ำกว่า 2,000"


ด้านนางสน หาโคตร อายุ 45 ปี ผู้เสียหายอีกคนหนึ่งได้บอกว่า พวกตนเสียเงินค่าสมัครให้กับบริษัทของนางประคองแล้ว ก็มอบให้นางประคองดำเนินการให้ทุกอย่าง โดยนางประคองแนะนำว่าให้พวกตนไปหาเงินจำนวน 50,000 บาทมาให้กับบริษัทในการดำเนินการติดต่อกับฝรั่งชาวต่างชาติทางอินเตอร์เน็ต เมื่อบอกว่าไม่มีเงินก้อนดังกล่าว นางประคองก็แนะนำให้นำที่ดินมาจำนองไว้ที่บริษัทเอกธนาขอนแก่น ถ.ประชาสโมสร อ.เมือง จ.ขอนแก่น แล้วกู้เงินกับบริษัทเอกธนา ดังนั้นพวกตนจึงเอาโฉนดที่ดินมาประเมินราคาที่บริษัทเอกธนา พร้อมกับตกลงกู้เงินจำนวน 50,000 บาท

โดยบวกดอกเบี้ยเพิ่มในการกู้เงินครั้งนี้ด้วย เมื่อได้เงินมาแล้วนางประคองและนางณัชชาก็มารอรับเงินอยู่ในบริษัทเอกธนาขอนแก่น โดยไม่มีการทำสัญญากู้ยืมเงินแต่อย่างใด เพราะไว้วางใจซึ่งกันและกัน หลังจากนั้นนางประคองติดต่อมาอย่างต่อเนื่องประมาณ 3 เดือน โดยบอกว่ายังไม่มีฝรั่งชาติไหนติดต่อมา ขอให้รอไปก่อน ส่วนคนที่ติดต่อมาก็ได้นำรูปถ่ายฝรั่งมาให้ผู้สมัครดู พร้อมกับจดหมายของฝรั่งคนนั้น ซึ่งเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดมาให้ผู้สมัครอีกด้วย เมื่อนำจดหมายของชาวต่างชาติมาให้นางประคองและนางณัชชาแปลโต้ตอบเป็นภาษาอังกฤษส่งให้กับฝรั่งต่างชาติที่ติดต่อมา ซึ่งจะต้องเสียค่าแปลไม่ต่ำกว่า 2,000 บาทต่อครั้ง มีการติดต่อกับนางประคองประมาณ 4-5 ครั้ง หลังจากนั้นก็ไม่มีการติดต่อกับผู้สมัครอีกเลย จนเวลาผ่านไปเป็นปี พวกตนไม่มีความหวังว่าลูกสาวจะมีสามีเป็นชาวต่างชาติจากอินเตอร์เน็ต จึงเข้าร้องทุกข์กับตำรวจภาค 4

"โดนหลอกกันมาเยอะแล้ว"


ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจภาค 4 พาผู้เสียหายทั้งหมดเข้าแจ้งความกับพ.ต.ท.สุริพันธ์ แก้วหานาม สารวัตรเวร สภ.อ.เมืองขอนแก่น เพื่อบันทึกปากคำผู้เสียหายทั้งหมด พร้อมกับมอบให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดพยัคฆ์ สภ.อ.เมืองขอนแก่น ไปติดตามหานางประคอง และนางณัชชา มาสอบสวนปากคำเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ด้านพ.ต.อ.จตุพล ปานรักษา รองผบก.หัวหน้าศูนย์สืบสวนสอบสวน ภาค 4 เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีขบวนการจัดหาคู่หญิงไทยให้กับชาวต่างชาติโดยดำเนินการในหลายรูปแบบ โดยเฉพาะกลุ่มหญิงไทยที่ได้แต่งงานกับชาวต่างชาติแล้วกลับมาชักชวนญาติ เพื่อนให้มีคู่เป็นชาวต่างชาติโดยอ้างเหตุผลว่าจะนำความร่ำรวยมาสู่ตนและญาติ บางรายจะให้ญาติเป็นฝ่ายติดต่อและคิดค่าดำเนินการ ซึ่งผลของการดำเนินการจัดหาคู่ดังกล่าวบางรายสมหวัง บางรายไม่สมหวง บางรายดำเนินการในรูปบริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด โดยขอจดทะเบียนในรูปแบบอื่น ซึ่งรับจัดงานแต่งงาน หาของชำร่วย ประสานทำหนังสือเดินทาง

การดำเนินการของกลุ่ม ของกลุ่มบุคคล บริษัท ห้างหุ้นส่วนดังกล่าว ภาค 4 ได้สั่งการให้ศูนย์สืบสวนสอบสวนภาค 4 ติดตามมาโดยตลอด โดยเฉพาะคดีนี้ผู้ได้รับความเสียหายและเดือดร้อนหาคู่ทางอินเตอร์เน็ตอยู่ในเขต อ.กุดจับ จ.อุดรธานี เป็นส่วนมาก นอกจากนี้มีที่ อ.ศรีบุญเรือง จ.หนองบัวลำภู และหลายจังหวัดในภาคอีสานตอนบน ที่เป็นผู้เสียหายให้ลูกสาวหาคู่ทางอินเตอร์เน็ตแต่ไม่กล้ามาแจ้งความร้องทุกข์ก็มี ส่วนผู้มาร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน สภ.อ.เมืองขอนแก่น กลุ่มบุคคลที่หลอกลวงอยู่ในเมืองขอนแก่น ซึ่งภาค 4 จะได้ดำเนินการหาผู้หลอกลวงมาดำเนินการตามกฎหมายให้ได้ เพราะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาฐานฉ้อโกง (มาตรา 341 หลอกลวงผู้อื่นด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งและโดยการหลอกลวงดังว่านั้นได้ไปซึ่งทรัพย์สินจากการหลอกลวง) หรือฉ้อโกงประชาชนตามมาตรา 343 ดังกล่าว


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ข่าวสด

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์