จ่อยึดทรัพย์2บ.แชร์รถ

น.1คาดเข้าข่ายฟอกเงินเจออีกรถเก๋งผู้เสียหาย แอบมาทิ้งไว้หลังโรงพัก

โผล่อีก “รถเก๋งวีออส” เหยื่อแก๊งแชร์ คราวนี้จอดหลังโรงพักมีนบุรี เจ้าของไปแจ้งความเห็นจำตำหนิแม่น สุดดีใจได้รถคืน แม่ค้าแฉมี “ไอ้โม่ง” เป็นชายฉกรรจ์ ขับมาจอดทิ้งเอาไว้ตอนดึกสงัด ขณะที่ผู้เสียหายตามเจอรถคืนมาได้อีก 3 คัน ถูกกระจายไปจอดตามหมู่บ้านชานเมือง “อัศวิน” สั่งระดมสมองมือกฎหมายนครบาล หาช่องเล่นงาน “เท้าแชร์ 2 บริษัท” หวังมัดตัวให้ดิ้นไม่หลุด หากเข้าข่ายความผิด ประสานป.ป.ง.ตามเช็กบิลยึดทรัพย์ด้วย แฉเล่ห์แก๊งแสบ ประมูลซากรถยนต์มาสวมทะเบียน “ผบ.ตร.” รอผลการรายงานข้อเท็จจริงจากผบช.ส. หลังจากลูกน้องก่อเรื่องฉาว “ปลัดยุติธรรม” เสนอหน่วยงานกลางเข้าไปร่วมคลี่คลายคดีที่มีตำรวจเข้าไปพัวพัน ระบุชาวบ้านจะได้สบายใจ

หลังจาก ส.ต.อ.มนตรี เทวารัตน์ และส.ต.ท.ชัยวัฒน์ ปัชณาสัย ผบ.หมู่ กก.3 บก.ส. ยอมรับว่าเป็นคนกุเรื่อง “สมชาย”

ขับรถตู้ของเหยื่อเล่นแชร์รถยนต์กับบริษัทยูฟูกุ เดคคอเรท จำกัด และบริษัทพาราไดส์ คาร์เรนท์ จำกัด เข้ามาที่จอดที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย ส.ต.อ. มนตรี ซัดทอด ร.ต.อ.กรินทร์ ทองมโนกุล สว.กองรักษาการณ์ บก.ส.3 เป็นผู้ให้เช่าวันละ 1 พันบาท ล่าสุดทางผู้บังคับบัญชาจึงได้สั่งตั้งกรรมการเล่นงานทางวินัยตำรวจทั้ง 3 นาย ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ความคืบหน้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล เมื่อวันที่ 15 ก.พ.
 
พล.ต.ต.จุตติ ธรรมมโนวนิช รอง ผบช.น. มือกฎหมายนครบาลรับผิดชอบคดีแชร์ต้มตุ๋นรถเช่าป้ายแดง เปิดเผยว่า ได้นัดหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายของคดีนี้มาประชุมสรุปความคืบหน้าการสืบสวนสอบสวนที่ บช.น. วันที่ 16 ก.พ. เวลา 15.00 น. ประกอบด้วยนายตำรวจระดับ รอง ผบก.น. พนักงานสอบสวน และชุดสืบสวน พร้อมจะหารือแนวทางการสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดในฐานความผิดอื่น ๆ ได้อีกหรือไม่ นอกจากข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ที่มีการแจ้งความไปก่อนหน้านี้แล้ว

พล.ต.ต.จุตติ กล่าวถึงความคืบหน้าการสอบสวนกรณีผู้เสียหายแจ้งความดำเนินคดี กับบริษัทยูฟูกุ เดคคอเรท จำกัด ในท้องที่สน.มีนบุรีว่า
 
พนักงานสอบสวนเตรียมขออนุมัติศาลจังหวัดมีนบุรี ออกหมายจับผู้ร่วมกระทำความผิดข้อหา ฉ้อโกงประชาชน เพิ่มเติมอีก 2 รายเป็นเจ้าหน้าที่การเงิน 1 คน และคนขับรถของบริษัทฯ ซึ่งเป็นผู้นำรถเช่าป้ายแดงของผู้เสียหายไปขายตามเต็นท์รถต่าง ๆ ตามพยานหลักฐานที่ปรากฏ อย่างไรก็ตามสำหรับการติด ตามรถของกลางที่ผู้ต้องหาลักลอบไปจอดตามสถานที่ราชการต่าง ๆ นั้น ได้สั่งการให้ตำรวจ 88 สน. ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว หากพบมีการนำไปจอดไว้ให้แจ้งพนักงานสอบสวนในทันที

ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ท.อัศวิน ขวัญเมือง ผบช.น. ได้เรียกนายตำรวจที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมายของกองบัญชาการตำรวจนครบาลหารือ
 
อาทิ พล.ต.ต.จุตติ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.วัจนนท์ ถิระวัจน์ รอง ผบช.น. รับผิดชอบงานด้านการสอบสวน พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน ผบก.น.1 พ.ต.อ.ธีรบูลย์ มั่งมี ผกก. ฝอ.4 บก.อก.บช.น. ซึ่งเชี่ยวชาญเกี่ยวกับกฎหมาย ฯลฯ เพื่อหาช่องทางในการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาเพิ่มเติมความผิด ตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินโดย มีการหลอกลวงประชาชน พ.ศ. 2527 หรือ “แชร์ลูกโซ่” รวมทั้งยังจะแจ้งข้อหารับของโจรกับผู้ประกอบการเต็นท์รถที่รับซื้อรถไปขายต่อด้วย

นอกจากนี้ ผบช.น. ยังสั่งการระหว่างหารือให้ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายตรวจสอบพฤติการณ์ผู้ต้องหาที่กระทำความผิดอย่างละเอียดว่าเข้าข่าย พ.ร.บ.การฟอกเงินด้วยหรือไม่ หากพบว่าการร่วมกันฉ้อโกงดังกล่าวเข้าข่ายความผิด 1 ใน 7 มูลฐานที่สามารถยึดทรัพย์ผู้ต้องหาได้ก็จะแจ้งคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. เร่งดำเนินการในทันที


ส่วนความเคลื่อนไหวการแจ้งความเอาผิด บริษัทยูฟูกุฯ และบริษัทพาราไดส์ คาร์เรนท์ จำกัด ที่ สน.มีนบุรี ตั้งแต่เวลา 07.00 น.
 
ยังมีกลุ่มผู้เสียหายเดินทางมาแจ้งความอย่างต่อเนื่องประมาณ 50 คน ขณะที่นายสมควร ศรีนวลยาง อายุ 44 ปี พร้อมด้วยน้องชาย ได้นำหลักฐานของรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า วีออส สีบรอนซ์เทา หมายเลขทะเบียน อก 1827 กรุงเทพมหานคร ไปถ่ายเอกสารที่ร้านขายอาหารบริเวณด้านหลังโรง พัก ปรากฏว่าน้องชายนายสมควร ได้เหลือบไปเห็นรถเก๋งวีออส สภาพใกล้เคียงกับรถยนต์ของพี่ชายแต่ทะเบียนไม่ตรงกันจอดอยู่จึงรีบไปตามให้มาดูใกล้ ๆ พร้อมช่วยกันสำรวจดูร่องรอยตำหนิต่าง ๆ รอบรถอย่างละเอียด รวมทั้งได้ก้มดูบริเวณใต้ท้องรถด้านขวาปรากฏว่ามีรอยถูกชนแบบเดียวตรงกับรถของตัวเอง ด้วยความดีใจจึงรีบไปแจ้งพนักงานสอบสวนทันที

จากนั้นนายสมควร ใช้กุญแจสำรองไขประตูเข้าไปดูภายในรถด้วย ตรวจสอบภายในรถก็พบว่าเป็นรถของตัวเองซึ่งได้ไปให้บริษัทยูฟูกุฯเช่าก่อนหน้านี้

เบื้องต้นทางพนักงานสอบสวนจึงได้บันทึกเป็นหลักฐานเอาไว้ ขณะที่นางบุญมี ประชาพันธ์ อายุ 54 ปี แม่ค้าขายข้าวร้านดังกล่าว ให้การว่า เมื่อกลางดึกที่ผ่านมา ขณะตนกลับมาจากไปเที่ยวกับเพื่อนก็ได้มานั่งเล่นอยู่ที่ร้านหันไปเห็นชายคนหนึ่ง อายุประมาณ 30-40 ปี ขับรถโตโยต้าวีออสมาจอดไว้ที่ลานจอดรถแล้วลงจากรถเดินออกไปก็ไม่ได้เอะใจเพราะคิดว่ามาติดต่อธุระที่โรงพัก

ต่อมาช่วงสายวันเดียวกัน พ.ต.ท.อัคร ภัส จายะวานิช สว.สส.สน.มีนบุรี ได้รับแจ้งว่า
 
พบรถยนต์อีก 3 คัน ซึ่งเป็นของผู้เสียหายที่ถูกบริษัทดังกล่าวหลอกไป จอดอยู่ภายในหมู่บ้านหทัยราษฎร์ ซอยหทัยราษฎร์ 4 แขวง-เขตมีนบุรี จึงนำกำลังไปตรวจสอบ พบเป็นรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า คัมรี สีบรอนซ์เงิน ทะเบียน มย 2867 กรุงเทพมหานคร และรถเก๋งยี่ห้อโตโยต้า ยาริส สีดำ ทะเบียนป้ายแดง ก-6214 กรุงเทพมหานคร จอดอยู่ในบ้านเลขที่ 98/2 ส่วนอีกคันเป็นรถเก๋งยี่ห้อมาสด้า 3 สีบรอนซ์เทา ทะเบียนป้ายแดง รศ 1012 กรุงเทพมหานคร จอดทิ้งไว้ในบ้านหลังหนึ่งในย่านรามอินทรา เจ้าหน้าที่จึงยึดรถทั้ง 3 คัน พร้อมทั้งจะเชิญเจ้าของบ้านมาสอบปากคำถึงที่มาที่ไปของรถดังกล่าว

นางสายสมร คำชะไว อายุ 36 ปี แม่ค้าขายไก่ตลาดสดมีนบุรี เจ้าของรถเก๋งโตโยต้าคัมรี ที่เพิ่งยึดรถกลับมาได้เปิดเผยว่า

ตนซื้อรถคันดังกล่าวมาเมื่อช่วงเดือน ต.ค. 50 จากนั้นก็ได้นำรถคันดังกล่าวไปให้บริษัทยูฟูกุฯ เช่าเดือนละ 39,000 บาท ได้ค่าเช่ามาแค่ 2 เดือนจากนั้นก็ไม่สามารถติดต่อ น.ส.ณัฐนรินทร์ มูฮำหมัด เจ้าของบริษัทฯได้อีกเลย จนกระทั่งมาพบรถคันดังกล่าวในวันนี้

ด้าน พ.ต.ท.โชติ สุวรรณจุณีย์ รอง ผกก.สส.สน.มีนบุรี กล่าวว่า

ในวันนี้ได้เรียกผู้เสียหายทั้งหมดมาพูดคุยชี้แจงถึงการเข้าแจ้งความ ขอให้เตรียมเอกสารหลักฐานเกี่ยวกับรถของตัวเองให้พร้อมด้วย นอกจากนี้หากพบรถของตัวเองจอดทิ้งไว้ที่ใดก็ขอให้รีบแจ้งตำรวจเพื่อ จะได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบและยึดรถใน ส่วนเจ้าของบ้านที่ตำรวจไปพบรถจอดไว้ในวันนี้ ยังไม่ได้แจ้งข้อกล่าวหาแต่ได้เชิญตัวมาสอบปากคำแล้ว ยกเว้นหากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทที่หลอกเช่ารถไปก็จะดำเนินการตามกฎหมาย ขณะนี้มีผู้เสียหายในท้องที่ สน.มีนบุรี เข้ามาแจ้งความแล้วประมาณ 200 กว่ารายแล้ว

ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ. เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผบ.ตร. เปิดเผยว่า

คดีนี้ตนสั่งรายงานให้ทราบภายใน 3 วันคาดว่าวันเสาร์-อาทิตย์นี้คงได้เรื่อง ส่วนรถยนต์ที่เป็นคดีไปจอดตามสถานที่ต่าง ๆ รวมทั้งที่ สน.มีนบุรี ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ รอง ผบ.ตร.สส. และ พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์ เจริญ ผช.ผบ.ตร. ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้รับทราบไปแล้ว และขอความร่วมมือกับ ตำรวจทุกนายช่วยกันติดตามตรวจสอบด้วย ส่วนเรื่องนี้จะเชื่อมโยงถึงใครก็แล้วแต่ต้องมีการสอบสวนเพราะผู้บังคับบัญชาไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมด ยกเว้นเรื่องสำคัญ หากเป็นเรื่องพื้น ๆ ตนจะไม่ไปยุ่งเกี่ยวเพราะจะรับไม่ไหวงานตอนนี้มีมากเหลือเกิน

เมื่อถามว่าคำให้การของ ส.ต.อ.มนตรี และ ร.ต.อ.กรินทร์ พอจะรับฟังได้หรือไม่ ผบ.ตร. ตอบว่า

ข้อมูลของ ส.ต.อ.มนตรี เบื้องต้นเป็นไปได้เท่าที่ฟังดูเขาออกเวรได้ไปขับแท็กซี่รับจ้างซึ่งประกอบอาชีพสุจริต ในเรื่องนี้เช่นเดียวกันเมื่อมีใครเอารถตู้มาให้ขับโดยมีค่าตอบแทนแต่ก็อาจจะไม่รู้ที่มาที่ไปของรถซึ่งอาจจะเป็นไปได้ ส่วนเรื่องของ ร.ต.อ.กรินทร์ นั้นก็จะเป็นส่วนหนึ่งของหลักฐานที่ได้ให้ ผบช.ส. ไปตรวจสอบคาดว่าจะรายงานกลับมาให้ทราบเสาร์-อาทิตย์นี้เช่นกัน จะเชื่อมโยงกันแค่ไหนอย่าไปเดาเลยให้ข้อมูลออกมาก่อน

“เรื่องที่เกิดขึ้นอาจจะมีผลกระทบต่อองค์กร แต่คงไม่มากถือเป็นเรื่องปกติและสามารถ แก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้ เพราะตำรวจมี 2 แสนกว่าคนจะมีคนทำผิดกี่คนบ้างคงไม่รู้ แต่ผมเป็นผู้บังคับบัญชาสูงได้พยายามอย่างตรงไปตรงมาที่สุด อันไหนไม่ดีก็ตัดทิ้งไปไม่ช่วยเหลือกันอยู่แล้ว คนดีก็ยกย่องสนับสนุนส่งเสริม ขออย่าไปวิตกกังวลถือเป็นเรื่องเล็กเพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นตำรวจทำกันอย่างจริงจัง และคงไม่ใช่เป็นการดิสเครดิตเลย ดีเสียอีกหากมีคนมาแอบแฝงจะได้ช่วยกันปราบออกให้หมดจะมาปล่อยทิ้งอย่างนี้ไม่ได้”

ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า ก่อนหน้านี้พล.ต.อ.วงกต มณีรินทร์ รอง ผบ.ตร.

มีคำสั่งที่ 0001 (สป)/0171 เรื่อง ขอข้อมูลจากสมาคมประกันวินาศภัย เพื่อใช้ในการสืบสวนปราบปรามการโจรกรรมรถยนต์ มอบหมายให้ สว.สป. แต่ละท้องที่ในทุกกองบัญชาการ ดำเนินการตรวจสอบสืบสวนข้อมูลรถหาย รถใหม่ป้ายแดง และข้อมูลซื้อขายซากรถยนต์บริษัทประกันภัยต่าง ๆ ตั้งแต่ปี 2548-2550 รวม 2,446 คัน เนื่องจากมีเบาะแสว่ากลุ่มโจรกรรมรถยนต์จะใช้วิธีการประมูลซากรถยนต์เพื่อนำไปใช้สวมทะเบียน รถยนต์ที่โจรกรรมมาแล้วส่งไปขายต่อชาวบ้าน หรือนำไปจอด จำนำตามเต็นท์รถยนต์ ทั้งนี้วิธีการดังกล่าวทำให้มีการสันนิษฐานว่า อาจเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่กลุ่ม “แชร์รถยนต์” อาจนำมาใช้ด้วยเช่นกันเพราะพบว่ามีรถยนต์บางคันของเหยื่อแชร์ได้ถูกแก้ไขหมายเลขทะเบียนแล้วนำไปขายตามเต็นท์

ที่กระทรวงยุติธรรม นายจรัญ ภักดีธนากุล ปลัดกระทรวงยุติธรรม
 
กล่าวถึงคดีแชร์รถยนต์ อาจพัวพันกับตำรวจหลายนายว่า การตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีความผิดอาญา กรณี มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องควรจะมีหน่วยงาน กลางเข้าไปตรวจสอบเพื่อดุลและคานอำนาจ ถ้าเรื่องไหนพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ต้องตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาก็สมควรให้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติเป็นผู้รับผิดชอบ เช่นเดียวกับกรณีตำรวจตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาก็ควรให้ดีเอสไอเข้าไปสืบสวนสอบสวนเพื่อให้เกิดความโปร่งใส ให้ประชาชนสบายใจว่าจะไม่มีการลูบหน้าปะจมูก อย่างไรก็ตามในกรณีแชร์รถตู้และคดีรีดไถยัดข้อหาของกลุ่ม ตชด. บางส่วนนั้นยังไม่มีผู้เสียหายเข้าร้องขอความเป็นธรรม เพื่อโอนสำนวนคดีให้ดีเอสไอเข้ามาสอบสวนแทนตำรวจ.

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์