ปฏิกิริยาที่เกิดกับครก.112 และคณะนิติราษฎร์ในช่วงนี้
มีทั้งฝ่ายเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ไล่ให้ไปอยู่เมืองนอกจนถึงเผาหุ่นไล่กันแล้ว
แน่นอนหลังจากมีปฏิกิริยาดังกล่าว
คนที่จะโต้กระแสนี้ได้ดีที่สุดต้องเป็น "วรเจตน์ ภาคีรัตน์" เท่านั้น
รวมไปถึงกำลังใจของกลุ่มนิติราษฎร์ยังดีอยู่หรือไม่
----------------------
มีคนกล่าวหาว่ากลุ่มอาจารย์เป็นพวกกินยาผิดซอง อาจารย์จะสะท้อนข้อกล่าวหานี้อย่างไร
คณะนิติราษฎร์กับฝ่ายการเมืองไม่ได้เกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว นิติราษฎร์ออกแถลงการณ์ไม่เห็นด้วยกับการรัฐประหาร การตัดสินคดียุบพรรค จนมาถึงคดียึดทรัพย์ที่ดินรัชดาตั้งแต่ยังเป็นกลุ่ม 5 อาจารย์นิติศาสตร์ มธ. สื่อหลายสำนักเชื่อมโยงการกระทำของเราว่า ทำเพื่ออดีตนายกทักษิณ ชินวัตร หรือเชื่อมโยงกับพรรคไทยรักไทยจนมาถึงเพื่อไทย แต่ผมยืนยันว่า แถลงการณ์ต่าง ๆ ของคณะนิติราษฎร์ทำไปบนหลักของวิชาการ บนพื้นฐานของหลักการ ในทางการเมืองนิติราษฎร์ไม่มีอำนาจไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ เพราะฉะนั้นพรรคเพื่อไทยจะมีจุดยืนอย่างไร อันนั้นเป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทย ไม่เกี่ยวข้องกันอยู่แล้ว รัฐมนตรีในโควตาของพรรคเพื่อไทยจะพูดอย่างไร ก็เป็นความเห็นของเขาซึ่งถ้าไม่ได้ให้เหตุผล ก็ไม่จำเป็นต้องโต้แย้ง นิติราษฎร์เพียงแค่แสดงความคิดเห็นต่อสาธารณะตามสิทธิเสรีภาพที่กฎหมายรัฐธรรมนูญให้ไว้
ฝ่ายการเมืองปิดประตูเรื่องการแก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ไปแล้ว เรื่องนี้ถือว่าหมดความหวังหรือไม่
เป็นเรื่องปกติธรรมดาในระบอบประชาธิปไตย สุดท้ายแล้วกฎหมายก็ต้องไปที่สภาไม่ใช่ว่ารวบรวมรายชื่อแล้วจะสามารถแก้ไขได้ ก็ต้องไปพูดกันในสภา ถ้าพรรคการเมืองในสภาไม่เห็นด้วย ร่างกฎหมายมันก็ตกไป แต่ว่าการที่นักการเมืองในสภาไม่เอานั้นไม่ได้หมายความว่าจะสามารถขัดขวางการแสดงความคิดเห็นหรือขัดขวางการเข้าชื่อประชาชนเพื่อเสนอแก้ไขกฎหมายอาญามาตรานี้ได้
การแก้กฎหมายต้องแก้ในสภา คุณชวน หลีกภัย พรรคประชาธิปัตย์ก็พูดชัดว่ากฎหมายนี้ไม่ผ่านสภาแน่ แต่คุณชวนท่านก็มีเกียรติเพราะบอกว่าเป็นสิทธิของประชาชนในการเข้าชื่อเพื่อแก้กฎหมาย ผมเห็นว่าการที่มีคนไม่เห็นด้วยกับการแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา112 เป็นเรื่องปกติธรรมดา แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่มีความเห็นอีกทางหนึ่งจะเสนอความคิดเห็นไม่ได้ การออกกฎหมายไม่ใช่หน้าที่ของประชาชนแต่เป็นหน้าที่ของรัฐสภา เพราะนั้นถ้าเขาไม่แก้มันก็แก้ไม่ได้โดยกลไกของรัฐสภา
แต่สิ่งที่ ครก.112 (คณะรณรงค์แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112) ทำนั้นอยู่บนพื้นฐานของกฎหมายเพราะรัฐธรรมนูญให้สิทธิประชาชนในการเข้าชื่อแก้ไขกฎหมายในส่วนที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพได้ กฎหมายหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ ฯลฯเป็นกฎเกณฑ์ที่มีโทษทางอาญาซึ่งกระทบกับเสรีภาพในร่างกาย อีกทั้งลักษณะของการพรรณนาองค์ประกอบความผิดก็เป็นกฎเกณฑ์ที่กระทบกับเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น จึงต้องถือว่ากฎหมายเรื่องดังกล่าวเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเสรีภาพของประชาชนตามหมวด 3 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งประชาชนมีสิทธิริเริ่มเสนอขอแก้ไขได้ ส่วนอำนาจในการที่จะแก้ไขหรือไม่แก้ไข ถ้าจะแก้ไข จะแก้อย่างไร มากน้อยเพียงใดอยู่ที่รัฐสภา
หลายกระแสบอกว่านิติราษฎร์เน้นจะปฏิรูปสถาบันทางการเมือง จะเน้นสถาบันทางการเมืองไหนเป็นพิเศษ
ในแง่ของเนื้อหารัฐธรรมนูญก็เสนอไปหลายประเด็น มีคนถามว่าทำไมนิติราษฎร์เสนอเรื่องปฏิรูปศาล ปฏิรูปกองทัพ แต่ไม่เสนอเรื่องปฏิรูปสถาบันการเมืองบ้างซึ่งไม่จริงเลย นิติราษฎร์เสนอเรื่องปฏิรูปสถาบันการเมือง แต่ประเด็นดังกล่าวดำรงอยู่ในรูปของการปฏิรูปกฎหมายรัฐสภา ให้มีการทำข้อบังคับการประชุมครม. ทำพระราชบัญญัติรัฐมนตรี เสนอให้มีสถาบันขจัดทุจริตคอร์รัปชั่นในฐานะที่เป็นองค์กรอิสระในทางปกครอง ซึ่งที่เสนอนั้นครอบคลุมหลักการใหญ่ๆอันเป็นโครงสร้างของรัฐธรรมนูญทั้งหมดและทุกองค์กรนั้นต้องมีอำนาจที่ได้ดุลภาพกันและตรวจสอบกันได้ ถ่วงดุลกันทุกองค์กร
แม้แต่ศาลพอขึ้นถึงศาลสูงสุดก็ต้องมีความเชื่อมโยงกับประชาชนผ่านคณะรัฐมนตรี ผ่านรัฐสภา แต่วันนั้นเราเสนอแค่หลัก ยังไม่ได้เสนอรายละเอียด รายละเอียดเกี่ยวกับการได้มาซึ่งผู้พิพากษาศาลสูงสุด จะต้องมีการทำบัญชีในการแต่งตั้งบุคคลที่เป็นผู้พิพากษาศาลล่างขึ้นสู่ศาลสูงสุด คนที่จะได้รับการแต่งตั้งย่อมจะมาจากคนในศาลนั้น ซึ่งมีคณะกรรมการตุลาการของศาลแต่ละระบบศาลซึ่งมีที่มาที่ชอบธรรมตามหลักประชาธิปไตยเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์การแต่งตั้ง และเสนอบัญชีรายชื่อให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ ไม่ได้หมายถึงให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาเลือกตัวบุคคลว่าจะเอาใครขึ้นหรือไม่ แต่คณะรัฐมนตรีก็มีสิทธิที่จะปฏิเสธหากคนนั้นขาดคุณสมบัติ หรือมีเหตุที่มีสภาพร้ายแรงที่ทำให้ไม่สามารถให้ความเห็นชอบได้
ทั้งนี้เพื่อถ่วงดุลอำนาจกัน ไม่ใช่ปล่อยให้องค์กรศาลโดดเดี่ยวออกไปแล้วไม่มีการปฏิรูปในเชิงโครงสร้างเลยตั้งแต่หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง คือหลังการอภิวัฒน์สยาม 2475 ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าเลือกใครก็ได้ขึ้นศาลสูงสุดตามอำเภอใจ หรือต่อไปผู้พิพากษาต้องไปวิ่งเต้นกับนักการเมือง ไม่ใช่อย่างนั้น อันนี้เป็นรายละเอียดที่ต้องทำต่อไปในอนาคต
นิติราษฎร์เสนอให้มีผู้พิพากษาสมทบในศาลระดับล่าง ในคดีบางประเภท เพื่อเปิดให้เห็นความโปร่งใสในการทำงาน เสนอให้มีการปฏิรูปกฎเกณฑ์เกี่ยวกับการได้มาซึ่งผู้พิพากษาตุลาการ เสนอเรื่องผู้ตรวจการกองทัพที่จัดตั้งโดยสภาผู้แทนราษฎร เสนอเรื่องการพิจารณาเรื่องทางวินัยกับส.ส. เช่น ส.ส. ที่ไม่ค่อยมาประชุมสภาโดยไม่มีเหตุอันสมควร หรือประพฤติปฏิบัติฝ่าฝืนมาตรฐานทางวินัย จะได้รับผลร้ายตามลดหลั่นกันไปตามแต่ลักษณะการกระทำ เช่น การถอนคืนตำแหน่งกรรมาธิการ การประกาศตำหนิพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้องในราชกิจจานุเบกษา เป็นต้น
เหล่านี้จะออกมาเป็นการปฏิรูปรัฐสภาและกฎหมายรัฐสภา นี่รวมถึงการปฏิรูประบบเลือกตั้งตลอดจนพรรคการเมืองด้วย แต่นิติราษฎร์ไม่เห็นด้วยที่จะไปเน้นแต่สถาบันทางการเมืองเพราะคุมแค่นักการเมืองอย่างเดียวไม่สามารถแก้ไขปัญหาระบบการเมืองได้ทั้งหมด มันต้องทำทั้งระบบและต้องไม่มีเรื่องในรัฐธรรมนูญที่ห้ามแตะต้อง ดังนั้นเวลาจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ต้องพูดได้หมดทุกหมวด โดยเฉพาะหมวดที่ว่าด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์ เพราะหลายครั้งที่แก้หมวดนี้มักจะแก้กันหลังจากมีการทำรัฐประหาร แล้วก็ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ออกมาเลย แต่พอนิติราษฎร์เสนอให้มีการอภิปรายพูดคุยกันบนพื้นที่สาธารณะ และเสนอประเด็นตัวอย่างบางประเด็นโดยมีวัตถุประสงค์จะให้ระบอบประชาธิปไตยเดินไปโดยไม่สะดุด เพื่อป้องกันการรัฐประหารให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อธำรงรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ไว้มั่นคงในกรอบของรัฐธรรมนูญประชาธิปไตย กลับมีกระแสปฏิกิริยาต่อต้าน
สังคมหลายส่วนยังเข้าใจว่าหมวดพระมหากษัตริย์นั้นไม่เคยถูกแตะต้องเลยตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ซึ่งไม่จริง รัฐประหารหลายครั้งมีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขหมวดนี้มาโดยตลอด แล้วนิติราษฎร์ชัดเจนว่า ต้องการรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยในรัฐที่เป็นราชอาณาจักร