ศอฉ.สั่งกทม.ยกเลิกคาร์ฟรีเดย์หวั่นมองหนุนม็อบแดง
ภายหลังจากที่มีหลายฝ่ายแสดงความเป็นห่วงกรณีที่กรุงเทพมหานคร(กทม.)เตรียมจัดกิจกรรม “คาร์ฟรีเดย์” เพื่อรณรงค์ประชาชนลดใช้พลังงานสิ้นเปลืองโดยเฉพาะจากการใช้รถยนต์ส่วนตัว ให้หันมาใช้งานระบบขนส่งมวลชนสาธารณะแทน โดยกิจกรรมจะมีขึ้นในวันที่ 19 ก.ย.นี้ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 22 ก.ย.ที่เป็นวันคาร์ฟรีเดย์โลก (World Car Free Day) ซึ่งในวันเปิดงาน (19 ก.ย.) จะมีการปล่อยขบวนรถจักรยานกว่า 3,000 คันจากจุดต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ 19 สาย ก่อนมารวมตัวกันที่บริเวณลานคนเมือง
อย่างไรก็ตาม ในวันเดียวกันกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.)หรือกลุ่มคนเสื้อแดง
ก็ได้ประกาศนัดชุมนุมแสดงพลังต่อต้านรัฐบาลตามจุดสำคัญๆ หลายจุดด้วยกัน เนื่องในโอกาสครบรอบ 4 ปีการทำรัฐประหารและร่วมทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กลุ่มแนวร่วมที่เสียชีวิตจากช่วงที่มีการปะทะระหว่างปฏิบัติการกระชับพื้นที่ของศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) เมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา จึงเกรงว่าอาจเกิดการกระทบกระทั่งหรือเหตุปะทะกันเกิดขึ้นด้วยมีหลายเส้นทางที่ทั้ง 2 ฝ่ายต้องการใช้จัดกิจกรรม
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้(16 ก.ย.) นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าฯ กทม.ซึ่งรับผิดชอบโครงการดังกล่าวระบุว่า
ปัญหาดังกล่าวทำให้กทม.และสมาคมจักรยานเพื่อสุขภาพไทยที่เป็นแนวร่วมหลักในการจัดกิจกรรม รวมถึงหน่วยงานอื่นๆ ต่างวิตกกังวลและเป็นห่วงพอสมควรว่าอาจเกิดเหตุกระทบกระทั่งหรือทะเลาะวิวาทกันได้ จึงได้สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งประสานงานเพื่อแก้ไขปัญหาในวันงาน โดยเฉพาะการพิจารณาปรับเปลี่ยนเส้นทางสำคัญๆ ที่ขบวนจักรยานต้องผ่านใหม่อีกครั้ง อาทิ ถนนพระราม 1(วัดปทุมวนาราม-แยกราชประสงค์) ถนนดินแดง(สามเหลี่ยมดินแดง-อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ) ถนนพระราม 4 (สวนลุมพินี-บ่อนไก่) และถนนราชดำเนินกลาง(แยกคอกวัว-อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย-สะพานผ่านฟ้าฯ) ซึ่งสมควรและอาจจำเป็นต้องหลบเลี่ยง ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่าจะจัดกิจกรรมดังกล่าวตามกำหนดไม่เลื่อนหรือยกเลิกแน่นอน
อย่างไรก็ตาม ล่าสุดเมื่อช่วงเที่ยงของวันที่ 17 ก.ย. มีรายงานจากกทม.แจ้งให้สื่อมวลชนทราบผ่านระบบข้อความสั้น(SMS)
เพื่อเผยแพร่ต่อไปยังประชาชนเป็นการด่วนว่า กทม.ขอประกาศยกเลิกการจัดงานดังกล่าวออกไปอย่างไม่มีกำหนด ทั้งนี้ จากการสอบถามไปยังนายธีระชนถึงสาเหตุในการประกาศยกเลิก ซึ่งได้ชี้แจงว่าเป็นการประกาศตามคำสั่งที่มาจากมติในที่ประชุมศอฉ.เมื่อช่วงสาย ก่อนจะประสานมายังตนเมื่อเวลาประมาณ 11.30 น. โดยระบุเหตุผลขอให้กทม.ยกเลิกจัดงานว่า เนื่องจากในวันเดียวกันมีกลุ่มผู้ชุมนุมนปช.ขับขี่จักรยาน-จักรยานยนต์ออกมาร่วมชุมนุมด้วยเช่นกัน จึงเกรงจะถูกสังคมมองว่ากทม.ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐจัดกิจกรรมนำมวลชนมาสนับสนุนการชุมนุม อย่างไรก็ดี เบื้องต้นคาดว่าจะสามารถจัดงานดังกล่าวได้ในวันที่ 22 ก.ย.ที่จะถึงนี้
“อนุพงษ์”เชื่อแดง19ก.ย.ไร้รุนแรงหากทำตามกม.
พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการรักษาความสงบกรณีที่กลุ่มคนเสื้อแดงจะมีการทำกิจกรรมรำลึก 4 ปีรัฐประหารในวันที่ 19 ก.ย. นี้ ว่า ที่ประชุม ศอฉ. ไม่ได้พูดคุยเรื่องเตรียมแผน มาตรการรักษาความปลอดภัยเป็นเรื่องหลัก เพราะประชุมจบไปตั้งแต่ครั้งที่แล้วว่า ตำรวจมีขั้นตอนในการปฏิบัติอย่างไร ซึ่งแนวทางรัฐบาลมีอยู่แล้ว ทั้งนี้คิดว่าการชุมนุมคงไม่มีอะไร ส่วนการประชุม ศอฉ.วันนี้ เป็นเรื่องของครูภาคใต้ และ การเตรียมข้อมูลเพื่อชี้แจงกับคณะอนุกรรมการชี้แจงข้อเท็จจริงฯ
“การชุมนุมวันที่ 19 ก.ย.นี้ คิดว่า ไม่ว่าใครทั้งสิ้น คงไม่อยากให้เกิดความรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด หากใช้สิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญในการแสดงออกคงไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ส่วนปัญหาความแตกแยกของคนในชาตินั้น ทุกคนในประเทศมีค่าเท่ากัน จะถามผมคนเดียวไม่ได้ ทุกคนได้รับผลกันหมด ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยกันแก้ไข จึงจะมีความสงบเรียบร้อย คนไทยทุกคนต้องช่วยกัน ผมเชื่อมั่นว่า ต้องทำได้ สื่อก็ต้องช่วย ไม่ใช่คนชื่อ อนุพงษ์ คนเดียว”ผบ.ทบ.กล่าว
ผบ.ตร.กำชับเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าระวังเหตุปล้นธนาคารและร้านทอง
พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ได้สั่งกำชับให้ผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานในระดับกองบัญชาการ กองบังคับการ กองกำกับการ และสถานีตำรวจทั่วประเทศ สั่งการให้ข้าราชการตำรวจในสังกัดที่มีหน้าที่ปฏิบัติเกี่ยวกับกรณีคนร้ายก่อเหตุปล้นธนาคารและร้านทองในพื้นที่ โดยระบุว่า ให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหมั่นตรวจตราสถานที่และจุดล่อแหลมเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง พร้อมประสานไปยังผู้ประกอบการในการกำหนดมาตรการรักษาความปลอดภัย อาทิ การติดกล้องวงจรปิด และซักซ้อมการเฝ้าระวังเหตุกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของสถานที่ และทำการประชาสัมพันธ์ขอให้ประชาชนร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ เพื่อช่วยกันดูแลสอดส่อง และเมื่อพบเห็นพิรุธ หรือสิ่งบอกเหตุใดๆให้รีบแจ้งและประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าช่วยเหลือและระงับเหตุในทันที