เมื่อวันที่ 30 สิงหาคม นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) กล่าวว่า
ได้รับหนังสือจากนายธนพิชญ์ มูลพฤกษ์ อัยการฝ่ายคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด โดยระบุขอให้ดีเอสไอทำการสอบสวนพยานเพิ่มเติมในคดีไซฟอนเงินของบริษัททีพีไอ โพลิน จำกัด (มหาชน) ประกอบด้วยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ใน 5 ประเด็นและเจ้าพนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(กลต.) 4 ประเด็น โดยประเด็นต่างๆนั้นทางดีเอสไอไม่ขอเปิดเผยเนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อนในสำนวนที่ยังไม่ได้สอบสวน ซึ่งตามหลักการในการดำเนินคดีจะมีการถ่วงดุลจากทั้งพนักงานอัยการ เจ้าหน้าที่ดีเอสไอเพื่อให้สำนวนดังกล่าวมีความชัดเจนในชั้นการสอบสวน และเป็นมาตรการแสวงหาข้อเท็จจริงให้ครบถ้วนสมบูรณ์
นายธาริต กล่าวว่า สำหรับคดีดังกล่าวแม้ในชั้นสอบทางดีเอสไอจะมีคำสั่งไม่ฟ้องไปแล้ว แต่หากพนักงานอัยการมีความเห็นว่าสมควรจะสอบเพิ่มเติมก็สามารถทำได้ และหลังจากการสอบสวนเสร็จสิ้นไม่ว่าอัยการจะมีความเห็นตามดีเอสไอหรือมีความเห็นแย้งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
รายงานข่าวระบุว่า ประเด็นที่ทางพนักงานอัยการต้องการทราบข้อเท็จจริงเพิ่มเติมได้แก่ กรณีที่ดีเอสไอมองว่าไม่มีการทำนิติกรรมอำพรางระหว่างบริษัททีพีไอ กับ บริษัทเมชไซอะ บิซิเนส แอนด์ ครีเอชั่น จำกัด ของนายประจวบ สังข์ขาว ซึ่งในชั้นสอบสวนยังมีข้อสงสัยว่าสัญญาจ้างงานดังกล่าวมีนายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ลงนามเพียงคนเดียวโดยไม่ลงตราประทับของบริษัท ทั้งที่ตามกฎหมายกำหนดให้ต้องมีกรรมการบริษัทอย่างน้อย 2 คนเป็นผู้ลงนามในสัญญา นอกจากนี้ยังพบว่าการเบิกเงินค่าจ้างทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ในแต่ละงวดไม่มีการตรวจรับงาน แต่กลับจ่ายเงินค่าจ้างให้ เป็นต้น