ศาลสั่งจำคุก 4 ตร.ตั้งด่านจับบุหรี่ไฟฟ้า เรียกเงินดาราสาวไต้หวัน


ศาลสั่งจำคุก 4 ตร.ตั้งด่านจับบุหรี่ไฟฟ้า เรียกเงินดาราสาวไต้หวัน


เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 8 พ.ย.2566 ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบนัดฟังคำพิพากษาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ อท.54/2566 ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 3 โจทก์ ร้อยตำรวจเอก ย. ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน เป็นอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.ห้วยขวาง ที่ถูกดำเนินคดียัดบุหรี่ไฟฟ้าเรียกเงิน อัน อวี๋ฉิง หรือ ชาลีน อัน ดาราสาวไต้หวัน

ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียก รับหรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเอง หรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ ,เป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ,เป็นเจ้าพนักงานของรัฐ เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการอย่างใดในตำแหน่งไม่วาการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่



และเป็นเจ้าพนักงานของรัฐปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ หรือใช้อำนาจในตำแหน่งหรือหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใดหรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา83,149, 157 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา พ.ศ. 2502 มาตรา 5,13 พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่26) พ.ศ.2560 มาตรา 7 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561มาตรา 172, 173

คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 5 ม.ค.2566 จำเลยทั้ง 6 ซึ่งเป็นตำรวจปฏิบัติหน้าที่ตั้งจุดตรวจบริเวณหน้าสถานทูตจีน จำเลยที่ 5 สังเกตเห็นรถยนต์มีลักษณะต้องสงสัยจึงส่งสัญญาณให้จอดเพื่อให้จำเลยที่ 4,6 ทำการตรวจต้น โดยมีจำเลยที่ 1-3 อยู่ร่วมกันในบริเวณดังกล่าวพบว่ากลุ่มคนโดยสารมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง3อัน ซึ่งเป็นสินค้าต้องห้ามฯตาม พ.ร.บ.ศุลกากรฯ และเป็นชาวต่างชาติไม่สามารถแสดงหนังสือเดินทาง หรือหลักฐานอื่นใดว่าได้เดินทางเข้ามาในประเทศโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่

จากนั้นจำเลยที่ 1-6ได้ร่วมกันเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินเป็นเงินสดจำนวน 27,000บาท จากนาย ป. ซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มคนต่างชาติข้างต้นเพื่อให้ไม่ต้องถูกดำเนินคดี นาย ป. จึงจำยอมส่งมอบเงินจำนวน 27,000บาท ให้กับจำเลยที่ 3 จากนั้นจำเลยที่ 1,2จึงสั่งให้ปล่อยตัวนาย ป. กับพวก ออกจากจุดตรวจไปโดยไม่ดำเนินการตามกฎหมายกับนาย ป. กับพวกแต่อย่างใด



คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยว่า จำเลยทั้ง 6 ระทำความผิดหรือร่วมกันกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนาย ป. ผู้เสียหายเป็นประจักษ์พยานสำคัญเบิกความสอดคล้องกับบันทึกคำให้การที่ได้ให้การไว้ต่อหนักงานสอบสวนได้ความว่า ในคืนวันเกิดเหตุพยานกับเพื่อนถูกเจ้าหนักงานตำรวจที่ตั้งจุด ตรวจอยู่บริเวณหน้าสถานทูตจีนตรวจค้นตัว

จากการตรวจค้นตัวพยานและเพื่อนพบบุหรี่ไฟฟ้า 3 อัน และ เมื่อถูกขอตรวจดูหนังสือเดินทางในกลุ่มของพยานมีเพียงคนเดียวที่พกพาหนังสือเดินทางฉบับจริง ส่วนที่เหลือมีภาพถ่ายในโทรศัพท์เคลื่อนที่ เจ้าพนักงานตำรวจแจ้งว่า พยานกับพวกทำผิดกฎหมายคือมีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง และไม่พกพาหนังสือเดินทางต้องถูกนำตัวไปที่สถานีตำรวจอาจถูกควบคุมตัวไว้ 2-3วัน หรืออาจถูกจำคุก พยานพยายามพูดคุยต่อรองให้เจ้าหนักงานตำรวจปล่อยตัวพยานกับพวก

จนในที่สุดเจ้าพนักงานตำรวจได้บอกให้พยานจ่ายเงินกรณีที่มีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในครอบครอง 3อัน อันละ 8,000บาท และพยานกับพวก 3คน ไม่พกหนังสือเดินทางอีก 3,000บาท รวมเป็นเงิน 27,000บาท เพื่อแลกกับการปล่อยตัว

 



พยานจึงจ่ายเงิน 27,000 ให้เจ้าพนักงานตำรวจคนดังกล่าวไป พยานสามารถจดจำใบหน้าเจ้าพนักงานตำรวจที่เข้ามาพูดคุยต่อรองกับพยานได้ 3คน คือ จำเลยที่ 2-4 นอกจากนี้ขณะที่มาเบิกความเป็นพยานที่ศาล นาย ป. ได้ซี้ตัวจำเลยที่ 2-4 ผ่านระบบประชุมทางจอภาพได้ถูกต้องแม่นยำ ส่วนจำเลยที่ 1 แม้จะอ้างว่าขณะเกิดเหตุปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่รถยนต์สายตรวจห่างออกไป 30 เมตร ไม่ได้เข้ามาพูดคุยหรือรับรู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

แต่ปรากฎข้อเท็จจริงจากคำเบิกความของจำเลยที่ 3 ว่า ขณะตรวจค้นตัวนาย ป. จำเลยที่ 3 เดินไปเพื่อรายงานให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการทราบ หลังจากนั้นจำเลยที่ 1บอกว่า ให้จำเลยที่ 2 ใช้ดุลยพินิจตัดสินใจได้เพราะจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้าชุดเหมือนกัน

ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ในฐานะหัวหน้าชุดปฏิบัติการย่อมต้องรับรู้และ รับผิดชอบต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและไม่อาจปฏิเสธความรับผิดได้ ส่วนจำเลยที่ 4 นั้น ปรากฎข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 4เป็นผู้ตรวจค้นตัวกลุ่มผู้เสียหาย ประกอบกับการที่ นาย ป. ตอบคำถามของทนายจำเลยที่ 4 ที่ขออนุญาตศาลถามว่า ระหว่างที่นาย ป. พูดคุยเจรจาอยู่กับจำเลยที่ 2,3 นั้นจำเลยที่ 4 เดินไปเดินมาและบางครั้งก็เข้ามาพูดกับนาย ป. กับพวกว่าคนสิงคโปร์เดินทางเข้า

 



ประเทศไทยต้องขอวีซ่า จึงเชื่อว่าจำเลยที่ 4 รับรู้และมีส่วนร่วมเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดด้วย การกระทำของจำเลยที่ 1-4 จึงเป็นความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานร่วมกัน เรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบ เพื่อกระทำการหรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าการนั้นจะชอบหรือมิชอบด้วยหน้าที่ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149,157 และ พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต ฯมาตรา 172,173 เมื่อการกระทำของจำเลยที่ 1-4 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และพ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯมาตรา 193

ซึ่งเป็นบทเฉพาะแล้วจึงไม่จำต้องปรับบท มาตรา 157และมาตรา 172 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก
สำหรับจำเลยที่ 5,6 ปรากฎข้อเท็จจริงตามทางไต่สวนว่า ตามวันเวลาที่เกิดเหตุจำเลยที่ 5 ปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ด้านหน้าสุดของจุดตรวจ มีหน้าที่คัดกรองรถต้องสงสัยเพื่อส่งต่อให้เจ้าพนักงานตำรวจที่อยู่ด้านหลังห่างกันประมาณ 35 เมตร จำเลยที่ 5เป็นผู้เรียกให้รถยนต์คันที่ผู้เสียหายทั้ง 4 นั่งมาเพื่อขอตรวจค้น เมื่อส่งสัญญาณให้รถคันดังกล่าวจอดแล้ว ดาบตำรวจ อ. ได้รับรถคันดังกล่าวไปดำเนินการต่อ

โดยที่จำเลยที่ 5 ได้ปฏิบัติหน้าที่ตรงจุดที่รับผิดชอบต่อไปไม่ได้เดินไปที่จุดตรวจที่อยู่ด้านหลังจนกระทั่งเลิกจุดตรวจ จากพยานหลักฐานที่ปรากฏ ไม่มีข้อเท็จจริงใดที่จะบ่งซี้ว่าจำเลยที่ 5 เข้าไปมีส่วนร่วมใกล้ชิดในการกระทำผิดที่เกิดขึ้น

 



ส่วนกรณีจำเลยที่ 4 ให้การไว้ว่า เมื่อวันที่ 12 ม.ค.66 เวลา 0.45จำเลยที่ 5 ได้นำเงินสดจำนวน 3,000บาท มามอบให้แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นเงินอะไร เห็นว่า ลำพังเพียงข้อเท็จจริงเรื่องเงินนี้ ไม่ว่าจะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม กรณีไม่อาจทราบแน่ชัดว่าเป็นเงินอะไรได้มาอย่างไร จึงไม่อาจนำข้อเท็จจริงส่วนนี้เพียงอย่างเดียวมาพิสูจน์ความถูกผิดของจำเลยที่ 5 ได้

ส่วนจำเลยที่ 6ปรากฎข้อเท็จจริงว่า ตามวันเวลาที่เกิดเหตุ จำเลยที่ 6 รับผิดชอบประจำอยู่ตรงจุดตรวจทำหน้าที่ตรวจค้นรถและตัวบุคคลคู่กับจำเลยที่ 4โดยจำเลยที่ 6 เป็นคนแจ้งให้กลุ่มผู้เสียหายลงจากรถและทำการตรวจค้น ระหว่างนั้นผู้เสียหายที่เป็นผู้หญิงได้ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ถ่ายภาพ จำเลยที่ 4,6จึงห้ามไม่ให้ถ่ายภาพและ ขอให้ลบข้อมูลออกจนเกิดการโต้เถียงกัน จนจำเลยที่ 2,3 ได้เดินเข้ามาพูดคุยกับกลุ่มผู้เสียหายแทน

จำเลยที่ 6 จึงแยกตัวออกมาทำการตรวจค้นรถอยู่บริเวณฝั่งเกาะกลางถนนห่างออกไปประมาณ 30เมตร จนถึงเวลา 3.15 น.จึงเดินกลับมาที่เดิมซึ่งไม่เห็นกลุ่มผู้เสียหายแล้ว เห็นว่า จากพยานหลักฐานที่ปรากฎไม่พอฟังว่า จำเลยที่ ๖ มีส่วนร่วมในการกระทำความผิดตามฟ้องเช่นเดียวกัน

 



พิพากษาว่าจำเลยที่ 1-4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 พ.ร.ป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ มาตรา 173 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83การกระทำของจำเลยที่ 1-4 เป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 อันเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 5 ปี ยกฟ้องจำเลยที่ 5-6 ริบเงิน 27,000บาท ที่จำเลยที่ 1-4 ได้มาจากการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการคดีนี้ให้ตกเป็นของแผ่นดิน

หากจำเลยที่ 1-4 ไม่สามารถส่งมอบเงินจำนวนดังกล่าวได้เพราะเหตุว่าโดยสภาพไม่สามารถส่งมอบได้ สูญหาย หรือไม่สามารถติดตามเอาคืนได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด หรือได้มีการนำสิ่งนั้นไปรวมเข้ากับทรัพย์สินอื่น หรือได้มีการจำหน่าย จ่าย โอนสิ่งนั้น หรือการติดตามเอาคืนจะกระทำได้โดยยากเกินสมควร หรือมีเหตุสมควรประการอื่นให้จำเลยที่ 1-4 ร่วมกันชำระเงิน 27,000บาท

สำหรับคดีนี้ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางได้ดำเนินกระบวนพิจารณาจำนวน 8 นัด รวมระยะเวลานับตั้งแต่วันฟ้อง (31 มี.ค. 66) ถึงวันอ่านคำพิพากษาเป็นเวลา 7 เดือน 8 วัน




ศาลสั่งจำคุก 4 ตร.ตั้งด่านจับบุหรี่ไฟฟ้า เรียกเงินดาราสาวไต้หวัน


ศาลสั่งจำคุก 4 ตร.ตั้งด่านจับบุหรี่ไฟฟ้า เรียกเงินดาราสาวไต้หวัน


ศาลสั่งจำคุก 4 ตร.ตั้งด่านจับบุหรี่ไฟฟ้า เรียกเงินดาราสาวไต้หวัน

เรื่องที่เกี่ยวข้อง

  1. ดาราสาวไต้หวันเคลื่อนไหวแล้ว หลังศาลสั่งจำคุกตร.รีดไถเงิน
  2. ดาราไต้หวันเคลื่อนไหวรัวๆ หลังสื่อระดับโลกแห่สัมภาษณ์ปมตร.ไทยรีดไถ
  3. ชาวเน็ตไทยตีกันในไอจี‘อันยู๋ชิง’ หลังโพสต์เตรียมแฉความจริง
  4. ส่องความสวยเเซ่บ! ดาราสาวไต้หวัน ผู้แชร์ประสบการณ์ถูกรีดไถเงินในไทย
  5. ดาราไต้หวัน โต้กลับทันควัน!ยืนยันฉันไม่ได้ดื่ม จำหน้าตำรวจรีดเงินได้!
  6. ดาราไต้หวัน เปิดใจสื่อไทย ยืนยันโดนรีดเงินจริง-รับพกบุหรี่ไฟฟ้า
  7. คนไทยแห่ขอโทษดาราสาวไต้หวัน ผู้แชร์ประสบการณ์ถูกรีดไถในไทย
  8. ผลตรวจกล้องติดหมวกตร.คดีสาวไต้หวัน ฮาร์ดดิสก์พังแต่กู้ได้
  9. ผบก.น.1ลงนามให้ 6 ตร.สน.ห้วยขวางออกราชการแล้ว
  10. อัปเดตคดี หลัง 6 ตร.ห้วยขวางรีดไถดาราสาวไต้หวัน ยื่นประกันตัว
  11. ส่งฝากขังยกชุด!! 6ตร.ห้วยขวางเจอแจ้งข้อหาหนักเซ่นรีดไถดาราไต้หวัน
  12. ชูวิทย์ เปิดผังขบวนการตั้งด่าน อ้างรับเดือนละ 324 ล้าน
  13. ชูวิทย์เปิดปากพยาน ปมตำรวจรีดเงินดาราสาวไต้หวัน
  14. สั่งเด้ง7ตำรวจห้วยขวางระดับ “ร.ต.อ.-ส.ต.อ.-ด.ต.” เพราะเหตุนี้?
  15. แกร็บหนุ่มพูดแล้วหลังถูกจับตาฮั้วตำรวจ-มีสคริปต์? ปมดาราสาวไต้หวัน
  16. บช.น. ชี้เเจง ปม ชูวิทย์ออกมาเเฉ ตำรวจไทยรีดเงินสาวไต้หวัน
  17. สั่งเด้ง! ผกก.ห้วยขวาง เซ่นพิษลูกน้องตั้งด่านรีดเงินดาราสาวไต้หวัน
  18. แถลงแล้ว ปมตร.รีดไถดาราสาวไต้หวัน ไฟล์กล้องที่หมวกถูกลบจริงไหม?
  19. ผบช.น.เตรียมแถลงด่วน!! ตร.ห้วยขวางรับรีดไถดาราสาวไต้หวันจริง
  20. เเห่ตั้งคำถาม! ดาราสาวชาวไต้หวัน อยู่ที่ด่าน 47นาที นานขนาดนี้ตรวจอะไร
  21. โชเฟอร์ขับรถรับดาราไต้หวันยืนยันความจริงอีกมุม งานนี้ส่อคดีพลิก?
  22. ตร.ห้วยขวาง ชี้แจง! ปมดาราไต้หวันอ้างถูกรีดเงิน เช็ควงจรปิดพบว่า
  23. ดาราสาวไต้หวัน อ้างถูก ตร.ไทยค้นตัว-เรียกเงินหลักหมื่นแลกปล่อยตัว
  24. ขอบคุณที่เคียงข้าง อันหยูชิง ดาราไต้หวัน วิดีโอคอลถึง ชูวิทย์ ซาบซึ้งน้ำใจไม่ลืม
  25. มาดูภาพพร้อมเปิดคำพูดซาบซึ้ง ดาราไต้หวัน วิดีโอคอลขอบคุณชูวิทย์
  26. เปิดเมนท์ชาวเน็ต หลังชูวิทย์พาหนุ่มสิงคโปร์แถลง
  27. ชูวิทย์ เปิดหน้าหนุ่มสิงค์โปร์ คนจ่ายเงินตำรวจ ให้ดาราสาวไต้หวัน
  28. ชูวิทย์ เปิดคลิปพยานสำคัญ หนุ่มสิงคโปร์คนจ่าย 27,000 ให้ตร.
  29. ชูวิทย์ยกมือไหว้ขอโทษดาราสาวไต้หวัน โดนตำรวจไทยไถเงิน
  30. แท็กซี่โต้แกร็บสาวไต้หวันไม่ได้เมาแอ๋ ไกด์แฉอีกเคส นทท.ดูดบุหรี่ไฟฟ้าถูกไถ6หมื่น

  31. >> ดูทั้งหมด :เกาะประเด็นดราม่าดาราไต้หวันแฉ อ้างโดนตำรวจไทยรีดไถ


เครดิต :
เครดิต : เนื้อหาข่าว คุณภาพดี หนังสือพิมพ์ข่าวสด


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์