กทม.เคาะแล้ว ค่ารถไฟฟ้าสายสีเขียวใหม่ ส่วนต่อขยาย เริ่ม 16 ก.พ.นี้
ให้ยกเลิกประกาศ กทม. ฉบับวันที่ 29 ม.ค. 2560 เรื่อง ค่าโดยสารโครงการระบบขนส่งมวลชนกทม.ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิทตอนที่ 1(ซ.สุขุมวิท 85- สุขุมวิท 107) ระยะทาง 5.25 กม. และส่วนต่อขยายสายสีลมตอนที่ 2 (ตากสิน - เพชรเกษม) ระยะทาง 5.3 กม.
เก็บ 15-104 บาท เริ่ม 16 ก.พ. 64 : ชาวกรุงอ่วม! จ่อปรับขึ้นค่าโดยสาร รถไฟฟ้าสายสีเขียว 158 บาท
โดยกำหนดสายทางและค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวใหม่ ดังนี้
1. รถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต (สถานีห้าแยกลาดพร้าว - สถานีคูคต) จำนวน 16 สถานี เก็บค่าโดยสารราคา 15-45 บาท (ปรับขึ้น 3 บาท/สถานี)
2.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ คือ รถไฟฟ้าสายสีเขียวตามแนวสัมปทาน สายสุขุมวิท ช่วงอ่อนนุช - หมอชิต และสายสีลม ช่วงสถานีสนามกีฬาแห่งชาติ - สะพานตากสิน จำนวนรวม 23 สถานี ค่าโดยสารอยู่ที่ 16-44 บาท
3. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ส่วนต่อขยายสายสีลมช่วงที่ 1 คือรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงสถานีกรุงธนบุรี - สถานีวงเวียนใหญ่ จำนวน 2 สถานี ค่าโดยสารอยู่ที่ 16 บาท
4.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท คือรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงสถานีบางจาก - สถานีแบริ่ง จำนวน 5 สถานี ค่าโดยสารอยู่ที่ 15-45 บาท (ปรับขึ้น 3 บาท/สถานี)
5.โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงแบริ่ง - สมุทรปราการ คือ รถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงสถานีสำโรง - สถานีเคหะสมุทรปราการ จำนวน 9 สถานี ค่าโดยสารอยู่ที่ 15-45 บาท (ปรับเพิ่ม 3 บาท/สถานี)
และ 6. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ ส่วนต่อขยายสายสีลมช่วงที่ 2 คือส่วนต่อขยายสายสีลม ช่วงสถานีโพธิ์นิมิตร - บางหว้า จำนวน 4 สถานี ค่าโดยสารอยู่ที่ 15-25 บาท (ปรับเพิ่ม 3 บาท/สถานี)
ค่าแรกเข้าเก็บครั้งเดียวและจัดเก็บสูงสุดไม่เกิน 104 บาท
นอกจากนี้ กทม.ยังได้ชี้แจงกรณีการเก็บค่าโดยสารอัตราใหม่ด้วย โดยระบุว่า ในช่วงทดลองให้บริการส่วนต่อขยายต่างๆ กทม.ไม่มีการเรียกเก็บค่าโดยสารมา 3 ปีแล้ว เนื่องจาก กทม. ต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายในการเดินทางของประชาชน
แต่ตอนนี้เปิดให้บริการเดินรถเต็มทั้งระบบแล้ว ประกอบกับ กทม. มีภาระค่าใช้จ่ายในการเดิน รถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเริ่มเรียกเก็บค่าโดยสารจากผู้ใช้บริการในส่วนต่อขยายสายสีเขียว ตั้งแต่วันที่ 16 ก.พ. 2564 เป็นต้นไป ยืนยันว่าเสียค่าแรกเข้ารอบเดียว ไม่มีการเก็บซ้ำซ้อน
ฉุดเรตเหลือ104 บาท บรรเทาโควิด
ส่วนอัตราค่าโดยสารสูงสุด จริงๆแล้วอยู่ที่ 158 บาท แต่เพื่อบรรเทาผลกระทบจากภาวะเชื้อไวรัสโควิด-19 ระบาด จะปรับอัตราค่าโดยสารสูงสุดอยู่ที่ 104 บาทแทน ซึ่ง กทม. จะมีผลขาดทุนจากการดำเนินการส่วนต่อขยายประมาณปีละ 3,000-4,000 ล้านบาท เมื่อนับรวมตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปี 2572 จะมีผลขาดทุนถึงประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท
ขณะที่ประเด็นการต่อสัญญาสัมปทานสายสีเขียว เห็นว่าแนวทาง PPP เป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุด โดยจะให้เอกชนเข้ามารับภาระหนี้สินของ กทม. เพื่อที่จะทำให้ กทม. สามารถกำหนดอัตราค่าโดยสารที่ไม่เป็นภาระต่อประชาชนจนเกินสมควร
ปัจจุบันนี้ กทม. อยู่ระหว่างการนำเสนอแก้ไขสัญญาสัมปทานต่อคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบ ซึ่งหากมีการเห็นชอบแล้ว การแก้ไขสัญญาสัมปทานนี้จะช่วยลดอัตราค่าโดยสารสูงสุดจาก 104 บาท เป็น 65 บาท ลดลง 39 บาท และแก้ไขภาระหนี้สินกว่า 120,000 ล้านบาทของ กทม. ได้
รายละเอียดของประกอบด้วย
1.ภาระหนี้สินเดิมที่เกิดขึ้นจากการรับโอนโครงการส่วนต่อขยายที่ 2 ทั้งในส่วนเงินต้นค่างานโยธาที่ประมาณ 55,000 ล้านบาท
2.ภาระดอกเบี้ยในอนาคตอีกประมาณ 10,000 ล้านบาท 3.ค่าลงทุนในงานระบบ (E&M) ในส่วนต่อขยายที่ 2 ประมาณ 20,000 ล้านบาท
4.ภาระหนี้ค่าจ้างงานเดินรถค้างจ่ายอีกประมาณ 9,000 ล้านบาท 5.ภาระผลขาดทุนจากการดำเนินการส่วนต่อขยายตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปี 2572 รวมอีกประมาณ 30,000-40,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ เอกชนยังต้องแบ่งส่วนแบ่งรายได้ค่าโดยสารหลังปี 2572 ให้ กทม. อีกกว่า 200,000 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งเพิ่มเติมในกรณีที่ผลประกอบการจริงดีกว่าที่คาดการณ์ตอนเจรจา
ยืนยันว่า ภายใต้อำนาจของ กทม. จะพยายามแก้ไขปัญหาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวอย่างดีที่สุดเพื่อให้ลดผลกระทบและความเดือดร้อนของประชาชนให้ได้มากที่สุด โดย กทม. จะอธิบายถึงเหตุผลความจำเป็นและประโยชน์ที่จะได้รับจากการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนต่อรัฐบาล เพื่อที่จะให้สามารถปรับอัตราค่าโดยสารให้ค่าโดยสารของโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวตลอดสายลดลงมาเหลือ 65 บาทโดยเร็วที่สุด