ลำดวน สีกันยา ในความทรงจำของครอบครัวและคนรอบตัว
ในความทรงจำของครอบครัวและคนรอบตัว - BBCไทย
ราตรี อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับลำดวนและเข้าเรียนโรงเรียนเดียวกันตั้งแต่ชั้น ป.3 ถึง ป.6 จำได้ว่าลำดวนเป็นเด็กที่เงียบ และค่อนข้างเก็บตัว ชีวิตประจำวันของเธอคือการขี่จักรยานไปโรงเรียนและขี่กลับมาบ้านทันทีหลังเลิกเรียน โดยไม่สุงสิงกับเพื่อนคนอื่น ๆ เหมือนเด็กอื่นในวัยเดียวกัน
"เขาเป็นเด็กดีนะ ขยัน แล้วก็เรียนเก่ง แต่เขาเป็นคนเงียบ ๆ เก็บตัว และไม่ค่อยได้คุยกับใครมาก" ราตรีกล่าว19 มี.ค. ตำรวจนอร์ทยอร์กเชียร์ ในอังกฤษ แถลงในเอกสารข่าวที่ส่งถึงบีบีซีไทยยืนยัน ดีเอ็นเอของศพหญิงนิรนามจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พบในพื้นที่เมื่อปี 2547 ตรงกับพ่อแม่ของ ลำดวน สีกันยา หญิงไทยจากอุดรธานี
โดยกล่าวว่า
"จากผลการสอบสวนที่รอบด้านและผลดีเอ็นเอของสมาชิกครอบครัวในประเทศไทย หน่วยพิสูจน์คดีที่ยังไม่มีข้อยุติของทีมสอบสวนคดีใหญ่ของตำรวจเชื่อว่า หญิงคนดังกล่าว คือ ลำดวน อาร์มิเทจ (นามสกุลเดิม สีกันยา)"
ถึงแม้ลำดวนจะไม่อยู่เล่าเรื่องราวในช่วงชีวิตที่หายไปของเธอตั้งแต่ปี 2547 แต่ความทรงจำเกี่ยวกับเธอก็ยังคงวนเวียนอยู่ในห้วงความคิดของทุกคน แม้ลำดวนจะไม่ได้พูดคุยกับใครมากนัก แต่ชีวิตลับที่ไม่เป็นความลับของเธอก็มีผู้รับรู้ทั้งหมู่บ้าน และทุกคนตั้งตารอที่จะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอในช่วงเวลาที่ผ่านมา และเธอหายตัวไปได้อย่างไร
หลังจากตั้งตารอการกลับมาของลำดวนมาตลอด 14 ปี จูมศรี สีกันยา ผู้เป็นมารดาของลำดวนเพิ่งได้รับรู้ข้อมูลยืนยันผลดีเอ็นเอ และลายนิ้วมือเมื่อวานนี้หลังจากตำรวจนอร์ทยอร์กเชียร์ได้ทำจดหมายแถลงออกมา ทันทีที่แม่ผู้เฝ้ารอการกลับมาของลูกสาวรู้ข่าวก็ปล่อยโฮ ร้องไห้ปริ่มแทบจะขาดใจ
จูมศรีบอกกับบีบีซีไทยว่า "รู้สึกตกใจและเสียใจ กับผลที่ออกมาว่าใช่ลูกเรา แต่ก็ทำใจไว้มากแล้ว ตั้งแต่ได้เห็นข่าว และรับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องสตรีแห่งขุนเขา"
จูมศรีกล่าวอีกว่าขั้นตอนต่อไปอยากได้กระดูกลูกสาวมาทำบุญตามประเพณี ให้ดวงวิญญาณไปสู่สุขคติ และได้มอบหมายให้ทางเครือข่ายผู้หญิงไทยในสหราชอาณาจักรเป็นผู้ดำเนินการประสานนำเอากระดูกของลำดวนกลับบ้าน พร้อมบอกว่าลำพังครอบครัวไม่มีความรู้และเงินทางที่จะพากระดูกลูกสาวกลับบ้านได้
"คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องใช่ลูกสาวตั้งแต่หลานชายลูกติดโทรมาหาปี 2553 แล้วบอกว่าพ่อกับน้องไม่อยู่ในอังกฤษมาหลายปีแล้ว" จูมศรีกล่าว
ขณะนี้ทางครอบครัวยัง "มืดแปดด้าน" ไม่ทราบว่าจะรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้อย่างไรและปล่อยเรื่องของคดีให้เป็นขั้นตอนของทางการ แต่ถึงอย่างนั้นคนในครอบครัวก็อยากรู้ความจริงว่าลำดวนเสียชีวิตเพราะอะไร จูมศรีเคยไปแจ้งกับทุกหน่วยงานในไทยตั้งแต่ลูกสาวไม่ติดต่อมา แล้วทุกหน่วยงานก็รับเอกสาร รับปากไว้ แต่ไม่เคยได้รับรู้เรื่องราวลูกสาวเลย
"ตอนแรกคิดว่าเป็นสิ่งที่ลูกสาวเลือกที่จะไม่ติดต่อครอบครัว เราเลี้ยงลูกได้แต่ตัว แต่จิตใจเขาชอบของเขาเราสอนไม่ได้ พ่อเคยเตือนแล้ว ว่าให้เลิกกับสามีคนนี้ ถ้าเป็นไปได้ไม่อยากให้ไปอยู่ไกลประเทศไทยเลย" จูมศรีกล่าว
---
หมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่กลางทุ่งนาผืนกว้างในพื้นที่ บ้านโพน ต.ธาตุ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี ดูภายนอกเป็นหมู่บ้านที่ไม่ได้ดูแร้นแค้น สองข้างทางเต็มไปด้วยบ้านที่ปลูกด้วยไม้แบบดั้งเดิมและปูนแบบทันสมัยปะปนกันไป บ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นที่พักอาศัย และยังมีร้านขายของชำ ร้านอาหาร และร้านกาแฟปะปนกันอยู่เป็นวิถีชีวิตแบบใหม่ของคนในพื้นที่ ประชากรส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้สูงอายุและเด็ก โดยคนหนุ่มคนสาวต่างออกไปหางานทำต่างพื้นที่
"แม่เพ็ญ" (นามสมมุติ) แม่ค้าขายผักที่บ้านอยู่ห่างจากบ้านของลำดวนไปไม่กี่หลังเป็นหนึ่งในคนเก่าคนแก่ที่รู้จักลำดวนมาตั้งแต่เกิด ถึงแม้ว่าจะไม่ได้สนิทสนมกันมาก แต่แม่เพ็ญรับรู้ความเป็นไปของลำดวนตั้งแต่วัยเด็กของเธอไปจนถึงวันที่เธอแต่งงานกับสามีชาวอังกฤษ
"ลำดวนเขาไม่ค่อยคุยกับใครแต่เขาเป็นคนอัธยาศัยดี นิสัยก็ดี ตอนที่เขาแต่งงานกับฝรั่งใหม่ ๆ พ่อแม่เขาดีใจมากที่อนาคตของลูกสาวจะดีขั้น แต่ฉันก็เห็นว่าพ่อแม่ของลำดวนก็มีชีวิตความเป็นอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้สบายขึ้นเหมือนลูกสาวบ้านอื่นที่แต่งงานกับฝรั่ง ก็ยังดูอด ๆ อยาก ๆ เหมือนเดิม" แม่เพ็ญบอกกับบีบีซีไทย
ถึงแม้ชีวิตของ แม่จูมศรี และ พ่อบัวสา ของลำดวน ดูเหมือน "ไม่ได้ดีขึ้น" ดังที่เพื่อนบ้านว่ากัน แต่บีบีซีไทยได้พบว่าทั้งคู่มีที่ดินกว่า 10 ไร่เพื่อทำการเกษตรภายในหมู่บ้าน และยังมีบ้านอยู่อีกสองหลังที่ ต.เชียงหวาง อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านหลังแรก และมีอีกหลังหนึ่งอยู่ที่ ต.หนองสำโรง อ.เมือง จ.อุดรธานี โดยสองสามีภรรยามีรถมอเตอร์ไซค์พ่วงหลังไว้เป็นยานพาหนะเพื่อใช้เดินทางไปตามที่ต่าง ๆ
แม่เพ็ญอธิบายเพิ่มเติมว่าช่วงแรก ๆ ที่ลำดวนเพิ่งแต่งงานไปใหม่ ๆ เธอกลับมาเยี่ยมบ้านพร้อมกับสามีอย่างน้อยปีละครั้ง และเมื่อเธอมีลูกกับสามีชาวอังกฤษอีกสองคน เธอก็มักจะพาลูก ๆ ของเธอกลับมาเยี่ยมบ้านด้วย และก็ไม่ได้ออกมาสุงสิงกับชาวบ้านตามเคย ครั้งสุดท้ายที่ลำดวนกลับมาเยี่ยมบ้านคือเมื่อปี พ.ศ. 2547 จากนั้นก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย
ไม่ไกลจากบ้านของลำดวนที่ทางแยกท้ายหมู่บ้านเป็นที่ตั้งของวัดโพนสว่างที่ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวบ้านในละแวกนั้น โดยพระสงฆ์รูปเดียวที่จำวัดนี้อยู่คือพระสมัย มหาวีโร อายุ 54 ปี ถึงแม้ว่าพระสมัยจะเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ที่วัดได้เพียงแค่ 7 ปี และไม่เคยได้เห็นหรือรู้จักกับลำดวนก่อนหน้าที่เธอจะหายตัวไป แต่พระสมัยน่าจะเป็นบุคคลที่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับลำดวนมากที่สุด เพราะนายบัวสามักจะนำจดหมายและเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับลำดวนมาให้พระสมัยอ่าน
"บัวสาเขาพูดไม่เก่ง เวลามีอะไรเขาก็ให้อาตมาช่วยพูดให้ตลอด จดหมายต่าง ๆ อาตมาก็เป็นคนอ่านให้เขาฟัง" พระสมัยกล่าว "ล่าสุดครอบครัวของลำดวนติดต่ออาตมาว่าถ้าผลออกมาว่าศพปริศนาที่เจอที่อังกฤษใช่ลำดวนจริง ๆ เขาอยากให้อาตมาทำบุญกระดูกให้และอยากประกอบพิธีทางศาสนาที่นี่ เขายังอยากให้ลูกชายของลำดวนมาบวชเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แม่เขาที่นี่ด้วย"
เสาหลักของครอบครัวไม่ว่าสายตาคนภายนอกจะมองว่าลำดวนเป็นคนเช่นไร แต่สำหรับครอบครัวของเธอแล้ว ลำดวนเปรียบเสมือนเสาหลักของครอบครัวที่ตั้งใจเรียนและขยันทำงานเพื่อนำเงินที่ได้มาจุนเจือพ่อแม่และพี่ กับส่งเสียให้น้องได้เรียนหนังสือ
สมสนิท สีกันยา อายุ 59 ปี มีศักดิ์เป็นป้าของลำดวน และ "รู้จักเธอมาทั้งชีวิต" สมสนิทได้เห็นลำดวนมาตลอดตั้งแต่วันแรกในชีวิตตลอดเวลาที่เธออยู่ในประเทศไทย และวันสุดท้ายที่เธอมาเยี่ยมบ้านเกิด สมสนิมบอกว่าภายใต้บุคลิกที่ชอบเก็บตัว แท้จริงแล้วลำดวนมีจิตใจดีและโอบอ้อมอารีมาก
"ลำดวนทำงานหาเลี้ยงครอบครัวตั้งแต่เด็ก ๆ เขาขยันทั้งเรียนและทำงาน เขารักพ่อแม่และพี่น้องเขามาก ช่วงที่เขาเรียนจบและไปทำงานใหม่ ๆ เขาส่งเงินมาให้ที่บ้านตลอด" สมสนิทกล่าว
"ลำดวนมันอาภัพ แฟนคนแรกก็เจ้าชู้ ทำให้ลำดวนต้องช้ำใจและตัดสินใจเลี้ยงลูกคนเดียว พอมามีแฟนฝรั่งก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้นเหมือนลูกสาวบ้านอื่นที่แต่งงานกับฝรั่ง"
ญาติและชาวบ้านทุกคนในละแวกนั้นยังจำได้ถึงวันที่เดวิด อาร์มิเทจ มาทำพิธีแต่งงานที่บ้านของลำดวน โดยสมสนิทบอกกับบีบีซีไทยว่าเดวิดต้องการแห่ขันหมากตามประเพณีไทย แต่ทางญาติ ๆ บอกว่าไม่สามารถทำพิธีได้เพราะเดวิดไม่ได้มีสินสอดมาให้ตามประเพณี ดังนั้นทางญาติจึงตัดสินใจทำพิธีผูกข้อมือและทำบายศรีสู่ขวัญให้แทน
บีบีซีไทยได้พบกับ สงวน สีกันยา น้องชายของลำดวนซึ่งอาศัยอยู่ในหมู่บ้านถัดไป สงวนเล่าว่า ยังจำได้เสมอว่าพี่สาวของเขาเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัว และส่งเขาเรียนมาตั้งแต่เด็ก ๆ ถึงแม้ว่าน้องชายจะเกเรแค่ไหน ลำดวนก็พร้อมให้อภัยและเกื้อหนุนน้องชายอยู่ตลอด
"พี่ลำดวนเป็นคนทำงานหาเลี้ยงครอบครัว ผมเองเสียอีกที่ไม่ค่อยได้ทำหน้าที่เหมือนพี่สาว" สงวนกล่าวอย่างเศร้าใจ "ส่วนใหญ่เขาจะเขียนจดหมายหาพ่อและโทรหาแม่อยู่อย่างไม่ขาดสาย จนหลังปี 2547 พี่ลำดวนขาดการติดต่อไป ตอนแรกเข้าใจว่าเขาทำงานยุ่งจนไม่มีเวลาเพราะแม่เล่าให้ฟังว่าแฟนพี่ลำดวนไม่ให้เงินใช้เลย พี่เขาเลยต้องไปทำงานหาเงินเอง"
---
หลังมีการยืนยันว่าลำดวนและสตรีแห่งขุนเขาคือคนเดียวกันไป สื่อบางสำนักเริ่มนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเดวิด อาร์มิเทจ สามีของลำดวน เดวิดบอกกับ นสพ.เดอะซันของอังกฤษว่าเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของลำดวนแต่อย่างใด นายอาร์มิเทจ ทำงานเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษประจำคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2552 และปัจจุบันยังรับหน้าที่อยู่
ดร.ณรงค์เดช รัตนานนท์เสถียร อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏกาญจนบุรี บอกกับบีบีซีไทยว่า เดวิดยังปฏิบัติหน้าที่เป็นอาจารย์สอนอยู่ตามปกติ โดยทางมหาวิทยาลัยยังไม่รับรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และยังไม่มีการดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้นจนกว่าจะได้รับข้อมูลจากทางการ
รอคอยการกลับมา
ขณะนี้คนในครอบครัวของลำดวนอยู่ในอาการเศร้าโศกเสียใจเพราะเคยมีความหวังว่าครอบครัวจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอีกครั้ง สงวน เป็นคนหนึ่งที่ได้รับรู้ข้อมูลของลำดวนผ่านลูกสาวของเขาที่ย้ายไปอยู่ที่ออสเตรเลียหลังแต่งงาน ลูกสาวของสงวนยังติดต่อกับมิ่งขวัญลูกคนแรกของลำดวนที่เกิดกับสามีชาวไทยผ่านโซเชียลมีเดีย มิ่งขวัญก็คอยตามหาแม่ของเขาอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน
"ผมคิดว่าถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ ยังไงเขาก็ต้องกลับมา ผมบอกแม่อยู่ตลอดว่าพี่ลำดวนอาจแค่ไม่มีเงิน เลยไม่กล้าติดต่อหรือกลับบ้านมา แต่พอรู้แบบนี้แล้วก็เสียใจที่จะไม่มีโอกาสได้กินข้าวหรือพูดคุยกับพี่สาวอีกต่อไปแล้ว" สงวนกล่าว
จูมศรีไม่เคยได้นอนเต็มอิ่มมาตั้งแต่ลำดวนหายตัวไป ถึงวันนี้ยังมีปัญหาทางสุขภาพมากมายอันเป็นผลมาจากความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ
"ตกตอนกลางคืนจะนอนไม่หลับ คิดถึงลูก คิดว่าลูกจะอยู่ยังไง บางวันถึงเช้านอนไม่หลับเลย เป็นห่วงลูกจะกินอยู่ยังไง ทำไมไม่กลับมาหาพ่อแม่เลย" จูมศรีกล่าว
"เคยบอกให้เลิกกับสามีฝรั่งแล้ว แต่ด้วยความรักลูก เขาบอกว่าไม่อยากทิ้งลูก อยากให้ลูกมีครอบครัวที่สมบูรณ์ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ไม่อยากให้ลูกคนนี้ต้องไปอยู่ที่อังกฤษเลย อยากให้อยู่ใกล้ ๆ กับพ่อแม่ เคยสร้างบ้านให้ ลำดวน ข้างบ้านพ่อแม่ด้วย
"จูมศรีเคยรอคอยลูกสาวให้กลับมาอยู่ในอ้อมกอด บัดนี้รอเพียงกระดูกของลูกสาวที่จะนำมาประกอบพิธีทางศาสนา เธอและครอบครัวต้องการรู้ความจริงในสิ่งที่เกิดกับลำดวน เพื่อที่พวกเขาจะได้หลับเต็มตื่นเสียที