นายธนาเดช (ประสิทธิ์) จำลองราษฎร์ อาของทพญ.ดลฤดี เปิดเผยว่าไม่ได้รู้จักทพญ.ดลฤดีเป็นการส่วนตัวและไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน จนถึงตอนนี้ ก็ไม่เคยเห็นหน้า เพิ่งเห็นก็จากข่าวในทีวี แต่ที่ค้ำประกันให้เมื่อ 20 ปีก่อน ก็เนื่องจากพ่อของทพญ.ดลฤดี ซึ่งเป็นลูกพี่ลูกน้องมาหาที่ทำงานซึ่งสมัยนั้นรับราชการที่หน่วยงานหนึ่ง พ่อของทพญ.ดลฤดี บอกว่าลูกสาวได้ทุนเรียนปริญญาตรีของคณะทันตแพทยศาสตร์ มม. แต่ต้องมีคนค้ำประกัน ตนเห็นว่าเป็นญาติและคิดว่าเมื่อจบกลับมา ก็จะทำงานให้มม.ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ถึงได้เซ็นค้ำประกันโดยใช้ตำแหน่งค้ำ และเรื่องก็เงียบหายไปนานหลายปีจนคิดว่าเรื่องจบไปแล้ว
"จนวันหนึ่งจู่ๆ ผมได้รับหมายศาลแจ้งว่าจะต้องชดใช้เงินค้ำประกันที่เซ็นค้ำประกัน โดยสมัยนั้นทพญ.ดลฤดี เรียนจบปริญญาตรีและทำงานชดใช้ทุนปริญญาตรีที่คณะทันตแพทย์ มม. ระยะหนึ่งแต่ยังไม่ครบกำหนดตามสัญญา ก็ได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาโทและเอกที่ต่างประเทศ กระทั่งมาเกิดเรื่องว่าทพญ.ดลฤดีเรียนจบปริญญาโทและเอกที่ต่างประเทศแล้วไม่กลับมาชดใช้ทุนและไม่จ่ายเงินชดใช้ ในส่วนของผมศาลแจ้งให้รับผิดชอบชดใช้ในส่วนที่ทพญ.ดลฤดีทำงานใช้ทุนปริญญาตรีไม่ครบตามสัญญาซึ่งต้องชดใช้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจำนวนหนึ่ง แต่ได้ร้องขอต่อศาลและศาลก็กรุณาลดอัตราดอกเบี้ยเหลือขั้นต่ำที่สุด สรุปคือต้องเสียเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยกว่า 2 แสนบาท จึงประสานไปยังพ่อของทพญ.ดลฤดี และพ่อของทพญ.ดลฤดี ก็โอนเงินมาให้ เมื่อศาลนัดครั้งต่อไปก็ได้นำเงินจำนวนดังกล่าวไปชดใช้ ในส่วนของผมจึงถือว่าจบ ส่วนที่ถามว่าทพญ.ดลฤดี เป็นคนโอนเงินให้พ่อเพื่อนำมาให้ผมจ่ายหรือไม่นั้นไม่ทราบ เช่นเดียวกับที่มีข่าวว่าทพญ.ดลฤดี ขายทรัพย์สินจนไม่เหลือในเมืองไทยในครอบครองก็ไม่ทราบเช่นกัน เพราะนับแต่เกิดเรื่องก็ไม่เคยคุยกับพ่อของทพญ.ดลฤดี ปกติจะเจอกันแค่ตามสังคม อาทิ งานแต่งงานของญาติ แต่ไม่เคยสอบถาม เพราะเดี๋ยวจะเข้าใจว่าเป็นการซ้ำเติม" นายธนเดช กล่าว
นายธนาเดช กล่าวด้วยว่า ถ้าครอบครัวร่ำรวย ก็คงช่วยจ่ายคนค้ำประกันไปแล้ว แต่เท่าที่ทราบทางพ่อของทพญ.ดลฤดี ก็ฐานะปานกลาง ส่วนตัวเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและอยากขอโทษสังคมที่ตระกูลนี้สร้างความเดือดร้อนให้สังคม แต่ก็อยากขอความเป็นธรรมจากสังคม เพราะแค่คนเดียวที่ก่อเหตุ แต่สังคมเหมือนจะตัดสินไปแล้วว่าคนทั้งตระกูลไม่ดี จึงอยากขอความเป็นธรรมว่าแค่คนเดียว อย่าเหมาทั้งตระกูล รู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น คนค้ำก็ค้ำให้ด้วยความปรารถนาดี แต่กลับต้องมาเจอเหตุการณ์ต้องชดใช้แทน ที่ผ่านมาพยายามทำดีที่สุดแล้วด้วยการให้คำแนะนำไปยังคนค้ำว่าสามารถขอศาลผ่อนผันการชดใช้ได้ ตอนขึ้นศาล ยังบอกด้วยซ้ำว่าทำไมรัฐไม่ติดตามบังคับคดีกับคนรับทุนก่อนเพราะรัฐก็มีสำนักงาน ก.พ.ในต่างประเทศซึ่งจะติดตามหนี้ได้ง่าย อยากให้ติดตามลูกหนี้ให้ถึงที่สุดก่อนที่จะมาบังคับเอากับคนค้ำ
เมื่อถามว่าจะฝากอะไรถึงทพญ.ดลฤดี นายธนาเดช กล่าวว่า ตนไม่อยากฝากอะไร เพราะไม่รู้จักหรือเคยเจอตัว เดี๋ยวทางนั้นจะสงสัยว่าคนนี้เป็นใคร อีกทั้งคิดว่าฝากไป เขาก็คงไม่ฟัง น่าจะฟังอาจารย์โรงเรียนเก่าหรือเพื่อนมากกว่า อย่างไรก็ตามอุทาหรณ์จากเรื่องนี้ ตนมองว่าต่อไปจะหาคนค้ำประกันยากขึ้น แม้รัฐจะเปลี่ยนกฎเกณฑ์การค้ำประกันมาเป็นพ่อแม่หรือคนในครอบครัวค้ำแทนแล้ว แต่อย่าลืมว่าเด็กยากจนที่พ่อแม่ไม่ได้ร่ำรวย พ่อแม่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันแล้วจะทำอย่างไร คงต้องฝากรัฐหาแนวทางแก้ไขว่าในกรณีที่เด็กยากจน แต่เรียนดีและสามารถสอบชิงทุนไปเรียนต่อต่างประเทศได้ หากพ่อแม่ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน จะหาแนวทางแก้ไขกันอย่างไร เพราะเรามีเด็กเรียนดี เก่ง แต่ยากจนมากมาย ถ้ารัฐไม่สามารถให้เด็กเก่งๆ เหล่านี้ไปเรียนต่อต่างประเทศด้วยเหตุผลว่าพ่อแม่ไม่มีหลักทรัพย์มาค้ำ ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ต่อไปประเทศชาติจะขาดแคลนบุคลากรเก่งๆ
ขอบคุณ >>