หนูน้อยวัย 9 ปีป่วยเป็นมะเร็งที่ไขกระดูก ร้องขอความช่วยเหลือเพราะยากจนไม่มีเงินรักษา
และยาบางตัวกินแล้วต้องหลีกเลี่ยงแสงแดดจะออกมาเดินแบบคนปกติไม่ได้ อีกทั้งต้องพาไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชบุรี เพื่อตรวจร่างกาย เจาะเลือด และให้คีโม ตามหมอนัดเดือนละ 2 ครั้ง ซึ่งเป็นปัญหากับค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาก และยาบางตัวก็ต้องจ่ายเงินเอง ขณะที่ครอบครัวยากจนมาก บ้านที่อยู่อาศัยก็เป็นบ้านไม้ยกพื้นมุงหลังคาสังกะสีเก่าๆ มีบันไดขึ้นหลายขั้น ซึ่งเป็นปัญหากับน้องที่ต้องเดินขึ้นบ้านไม่ไหว บ้านก็ไม่มีฝากั้น และเอนเอียงจะพังแหล่ไม่พังแหล่เพราะเสาไม้ไม่แข็งแรง อันตรายมากหากมีลมกระโชกแรงพัดผ่าน จะทำให้บ้านที่เอนเอียงพังลงมาได้
มีรายได้น้อยวันละประมาณ 300 บาท แต่ต้องมีงานเท่านั้นถึงจะได้เงิน บางเดือนมีอยู่ไม่กี่งานที่เขาจ้างเครื่องไฟ ขณะที่นางปวีณา ผู้เป็นแม่ ต้องออกจากงานประจำมาดูแลลูกที่ป่วย แต่ยังพยายามหาเงินเข้ามาเลี้ยงดูครอบครัว ด้วยการไปรับจ้างเลี้ยงเด็กตอนกลางคืน ที่ต้องขับรถจักรยานยนต์ไปไกลหลายสิบกิโลเมตรแทนการทำงานกลางวันที่ต้องมาดูแลลูก จนบางครั้งไม่มีเวลาพักผ่อน
ก็ต้องขับรถมอเตอร์ไซค์ไปส่งและต้องเฝ้าคอยให้ยาให้น้ำกิน เพราะขาดไม่ได้เลย รอลูกเข้าแถวเรียนก็กลับ และเวลา 11.00 น. ช่วงพักเที่ยงวันก็ต้องเอาข้าว น้ำ และยาไปให้กิน เสร็จแล้วก็กลับรถกลับ เวลา 14.00 น. ก็ต้องเอาน้ำและยาไปให้อีก จากนั้นก็รอรับตัวน้องกลับบ้านในเวลา 15.30 น. แต่ปัจจุบันน้องเริ่มป่วยมากขึ้น จึงให้หยุดโรงเรียนบ่อย แต่เกรงจะเรียนไม่ทันเพื่อนจึงให้ไปเรียนพิเศษเพิ่มอีก กลับบ้านทีก็เป็นเวลา 16.40 น. เป็นอย่างนี้ทุกวัน พอถึงเวลา 19.30 น. ตนก็ต้องขับรถออกไปทำงานเลี้ยงเด็กซึ่งระยะทางไกลจากบ้านมาก จะกลับบ้านอีกทีก็รุ่งเช้า ตอนนี้ไปสมัครงาน 4 ที่แล้วยังไม่มีใครรับ เพราะเกรงว่าจะมัวแต่ดูแลลูกจนเสียงาน จึงไม่มีใครรับเข้าทำงาน ส่วนลูกก็ให้อยู่กับนายสุรเชษฐ์ ผู้เป็นพ่อคอยดูแลตอนกลางคืน ครอบครัวยากจนมากมีรายได้น้อยไม่พอกิน ไม่พอกับการที่จะพาลูกไปรักษา บ้านที่อยู่ก็จะพังเกรงจะล้มทับลูกจึงได้ไปหาซื้อไม้มาสร้างเป็นเพิงพักแบบนอนพื้น แต่ก็ไม่มีเงินไปซื้อฝามากัน จึงปล่อยให้อยู่กันแบบโล่ง ๆ เวลาฝนตกก็เปืยกกันไปหมด