ถอยทัพ! บิ๊กโจ๊ก ถอนฟ้องบิ๊กจ้าวกับพวก ปมปฏิบัติหน้าที่มิชอบ


ถอยทัพ! บิ๊กโจ๊ก ถอนฟ้องบิ๊กจ้าวกับพวก ปมปฏิบัติหน้าที่มิชอบ

"บิ๊กโจ๊ก" ถอยทัพถอนฟ้อง "บิ๊กจ้าว" กับพวก ปฏิบัติหน้าที่มิชอบ ดำเนินคดีและขอหมายจับโดยไม่มีอำนาจ หลังก่อนหน้านี้ศาลอาญาคดีทุจริตฯยกฟ้องคดีฟ้องชุดจับกุมกราวรูด อ้างเหตุถอนฟ้องเพราะร้อง ปปช.ไว้เเล้ว

17 พฤษภาคม 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อวันที่ 16 พ.ค.ที่ผ่านมา ที่ศาลอาญาคดีทุจริตเเละประพฤติมิชอบกลาง ได้มีคำสั่งในคดีที่ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล หรือ "บิ๊กโจ๊ก" รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รอง ผบ.ตร.) ยื่นคำร้องขอถอนฟ้องในคดีหมายเลขดำ อท.60/2567 ที่ พล.ต.อ. สุรเชษฐ์ ได้ยื่นฟ้อง พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง หรือ "บิ๊กจ้าว" ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) กับพวกรวม 30 คนในฐานความผิด ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบฯ

คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า จำเลย์ที่ 1 ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และเป็นผู้ออกคำสั่งแต่งตั้ง จำเลยที่ 2 - 27 เป็นคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนตามคำสั่งที่ 58/2567ลงวันที่ 1 ก.พ.2567 โดยจำเลยที่ 2-28 ได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้า รองหัวหน้า พนักงานสืบสวน และพนักงานสอบสวน ซึ่งข้อเท็จจริงแห่งคดีอาญาที่ 724 คดีเว็บมินนี่มีเส้นการเงินของบัญชีทั้งสามชื่อ ได้แก่ น.ส.เบญจมิน แสงจันทร์ (เป็นพยานในคดีเว็บมินนี่) นายสมพงษ์ ชิตวิลัย (เป็นพยานในคดี)แ ละนายพุฒิพงษ์ พูนศรี (เป็นผู้ต้องหาในคดีเว็บมินนี่)

ต่อมา คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ส่งสำนวนในคดีอาญาเลขที่ 724/2566 ของกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 1 กรณีการกล่าวหา พ.ต.อ.ภาคภูมิ พิศมัย รองผู้บังคับการสืบสวนสอบสวน ตำรวจภูธรภาค 4 กับพวกในข้อหา เรียกรับผลประโยชน์ จากเว็บไซต์การพนันออนไลน์ กระทำความผิดฐานฟอกเงิน และร่วมกันฟอกเงินต่อคณะกรรมการ ปปช. ตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตพ.ศ. 2561 มาตรา 61

คณะกรรมการ ป.ป.ช.พิจารณาแล้วเห็นว่า เรื่องกล่าวหาอยู่ในหน้าที่และอำนาจของ ปปช. แต่ผู้ถูกกล่าวหามิได้ดำรงตำแหน่งสูง และยังไม่เข้าข่ายความผิดร้ายแรง จึงมีมติให้ส่งเรื่องดังกล่าวคืนคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพื่อดำเนินการตามหน้าที่และอำนาจ เเล้วรายงานผลให้ ปปช. ทราบต่อไป

คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้ทำการสอบสวนและได้สรุปสำนวนการสอบสวนส่งพนักงานอัยการ สำนักงานปราบปรามการทุจริตสำนักงานอัยการสูงสุด แล้วต่อมาในระหว่างที่มีการดำเนินคดีอาณาที่ 724/2566 คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ได้มอบหมายให้จำเลยที่ 29 และ 30 ผู้กล่าวหามาร้องทุกข์กล่าวโทษดำเนินคดีต่อจำเลยที่ 16 ที่ สน.เตาปูน

กล่าวหา พันตำรวจโท คริษฐ์ ปริยะเกตุ, น.ส.เบญจมิน แสงจันทร์, นายพุฒิพงษ์ พูนศรี และน.ส.พิมพ์วิไล ปล้องอ่อน กับพวก รวม 7 คน ในความผิดฐาน "สมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน และได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน" นั้น

ซึ่งเป็นกรณีที่จำเลยที่ 29 และจำเลยที่ 30 ร้องทุกข์กล่าวโทษต่อจำเลยที่ 16 โดยนำข้อเท็จจริงส่วนหนึ่งที่อยู่ในคดีอาญาที่ 724/2566 หรือเป็นข้อเท็จจริงที่ได้มาจากการสืบสวนสวนสวนขยายผลในคดีอาณาที่ 724/2566 ของกองบังคับการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยีอันเป็นความผิดต่อเนื่อง และกระทำต่อเนื่องกันในท้องที่ต่าง ๆ เกินกว่าท้องที่หนึ่งขึ้นไป และเป็นความผิดซึ่งมีหลายกรรม กระทำลงในท้องที่ต่างกัน และยังเป็นความผิดหลายเรื่องเกี่ยวพันกัน โดยปรากฎว่าความผิดหลายฐานได้กระทำลงโดยผู้กระทำผิดคนเดียวกัน หรือผู้กระทำผิดหลายคนเกี่ยวพันกันในการกระทำความผิดฐานหนึ่งหรือหลายฐาน จะเป็นตัวการผู้สมรู้ร่วมคิดก็ตาม มาดำเนินคดีเป็นคดีขึ้นใหม่กับโจทก์ จึงเป็นการ กระทำที่มีเจตนากลั่นแกล้งให้ผู้ถูกกล่าวหา ถูกกล่าวหาในหลายท้องที่ และเป็นการหลีกเลี่ยงที่จะไม่ส่งสำนวนนี้ไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ภายใน 30 วัน ตาม พรป.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทจริต พ.ศ.2561 มาตรา 61

ต่อมาวันที่ 27 ธ.ค. 2566 คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน ได้ส่งสำนวนในกรณีกล่าวหาโจทก์กับพวกรวม 5 คน ไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช.ในความผิดฐาน "เป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดฯ, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ฯสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และเป็นเจ้าพนักงานร่วมกันฟอกเงิน

วันที่ 2 ก.พ. 2567 หัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนได้มีหนังสือถึง ปปช. เพื่อขอทราบมติของ ปปช.เกี่ยวกับเรื่องที่มีการกล่าวหาโจทก์กับพวกรวม 5 คน โดยคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เห็นว่า คดีที่ร้องทุกข์กล่าวโทษโจทก์กับพวกรวม 5 คน เกี่ยวข้องเป็นเรื่องเดียวกันกับสำนวนการสอบสวนคดีเดิม (พันตำรวจเอกภาคภูมิ พิสมัยกับพวก) โดยมีผู้ต้องหาเพิ่มเติมบางคนเป็นถึงข้าราชการตำรวจชั้นใหญ่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ถือได้ว่ากลุ่มเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เป็นผู้ต้องหาบางคน ร่วมถึงช่วยเหลือ สนับสนุน เจ้าของเว็บไซต์การพนัน ให้สามารถเปิดเว็บไซต์

จึงเป็นการร่วมกันจัดให้มีการเล่นการพนันฯ, เป็นเจ้าพนักงานเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดฯ, เป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ตามข้อกล่าวหา ดังนั้นสำนวนการสอบสวนที่ ปปช. ส่งคืนให้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน จึงเป็นเรื่องเดียวกันกับสำนวนการสอบสวนที่กล่าวหาโจทก์กับพวกรวม 5 คน ว่าการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการเพิ่มเติม เพราะเป็นการดำเนินการกับตัวการ ใช้ ผู้สนับสนน และเป็นคดีที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวข้องกัน และความผิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่ต้องดำเนินการในคราวเดียวกัน โดยขอรับสำนวนการสอบสวนคืนจาก คณะกรรมการ ปปช.เพื่อมาทำการสืบสวนสอบสวน



เครดิตแหล่งข้อมูล : www.nationtv.tv


เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์