ฆ่ายกครัวผญบ. 8 ศพ ยุติธรรม ให้ญาติเหยื่อกรอกข้อมูลเพื่อขอรับเงินเยียวยา ด้าน พ่อผญบ.ระบุ ไม่ได้เข้าไปก้าวก่าย แม้จะเป็น ส.อบต. ชาวบ้านเผย ประเด็นโรงโม่หิน ผู้ใหญ่เป็นผู้สนับสนุนแต่ผิดพลาด เพราะกรมศิลปากรประกาศเป็นเขตโบราณสถาน อาจทำให้เกิดความขัดแย้งที่รุนแรงได้
จากกรณีคนร้ายไม่ต่ำกว่า 6-7 คน อาวุธปืนครบมือ แต่งชุดลายพราง เข้าไปที่บ้านของนายวรยุทธ สังหลัง อายุ 46 ปี ผู้ใหญ่บ้าน บ้านเขางาม หมู่ที่ 1 ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ก่อนจับคนในบ้านและญาติๆ ของภรรยา นายวรยุทธ และครอบครัว รวม 11 คน ลงมือสังหารอย่างโหดเหี้ยม โดยใช้ปืน .38 ของผู้ใหญ่บ้านยิงศีรษะทีละคน จนเสียชีวิต 8 คน และบาดเจ็บ 3 คน เหตุเกิดเมื่อเวลา 00.30 น. คืนวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว สะเทือนขวัญต่อผู้คน จนทาง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. พร้อมทีมสืบสวนต้องลงพื้นที่ด่วน เพื่อมาคลี่ปมสังหารหมู่ในครั้งนี้ ซึ่งเบื้องต้นพบมีชนวนการสังหารมาจาก 4 ประเด็น คือ เรื่องขัดแย้งการเมืองท้องถิ่น การฟ้องร้องหลายคดี รวมทั้งโรงโม่หินที่อยู่ระหว่างการสัมปทาน ที่มีความขัดแย้งออกเป็น 2 กลุ่ม และเรื่องส่วนตัวฆ่ายกครัวกระบี่
ความคืบหน้า วันที่ 13 ก.ค.60 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางเจ้าหน้าที่จากสำนักงานยุติธรรม จ.กระบี่ ได้เดินทางมาที่ อบต.บ้านกลาง เพื่อให้ญาติของผู้เสียชีวิตแต่ละรายได้กรอกรายละเอียด สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามีผู้ใดเสียชีวิตบ้าง เพื่อที่จะช่วยเหลือเยียวยาจากเหตุการณ์ฆาตกรรม ซึ่งจะมีการพิจารณาให้การช่วยเหลือรับเงินต่อไป โดยมีญาติของแต่ละคน เดินทางมากรอกประวัติ
ขณะที่ นายสนาน สังหลัง อายุ 63 ปี เป็น ส.อบต.หมู่ 3 ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก ซึ่งเป็นพ่อของ นายวรยุทธ สังหลัง ผญบ.หมู่ 1 ผู้เสียชีวิตพร้อมครอบครัว กล่าวว่า กรณีดังกล่าวแม้ตนจะเป็นพ่อของผู้ตาย แต่ก็ห่างกันเนื่องจากอยู่คนละหมู่บ้าน และไม่ทราบว่า มาจากสาเหตุใด แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีการฟ้องร้องกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ผู้ใหญ่จะหารือกับทางพ่อตามากกว่าทางตน จึงทำให้ไม่ทราบสาเหตุที่เกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน ผู้สื่อข่าวได้เข้าตรวจสอบ บริเวณหมู่ 2 ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก ซึ่งเป็นพื้นที่สำหรับการทำโรงโม่ระเบิดหิน ที่ได้มีการขอประทานบัตรจากผู้ประกอบการรายหนึ่ง ตั้งแต่เมื่อ 5-6 ปีก่อน และทางกรมศิลปากรได้ประกาศให้ภูเขาในบริเวณดังกล่าวเป็นโบราณสถาน เนื่องจากพบเครื่องใช้ดินเผา กระดูกมนุษย์โบราณ รวมถึงภาพเขียนสีตามเพิงผาต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2559 ส่งผลให้การสัมปทานพื้นที่ไม่สามารถทำได้ โดยข้อมูลพบว่า การขอสัมปทานเมื่อปี 2558 ได้มีการยื่นขอสัมปทานอีกรอบ โดยเปลี่ยนชื่อผู้ขอ ซึ่งทางชาวบ้านระบุว่า นายทุนผู้ขอสัมปทาน ได้ให้ผู้ใหญ่บ้านเป็นตัวตั้งตัวตีในการเคลียร์กับชาวบ้านให้สนับสนุน ซึ่งผู้ใหญ่เป็นผู้ชักนำมาและกว้านซื้อที่ดินรอบๆ แต่มีชาวบ้านคัดค้านอย่างหนัก เนื่องจากเห็นว่า เป็นพื้นที่โบราณสถานมีวัตถุโบราณหลายพันปี และยังเป็นแหล่งต้นน้ำ รวมถึงผลกระทบจากฝุ่นละออง จึงได้ให้ทางกรมศิลปากรเข้ามาตรวจสอบ และนำมาสู่การขึ้นทะเบียนในเวลาต่อมา ส่งผลให้การขอสัมปทานเหมืองต้องหยุดชะงัก และการลงทุนซื้อที่รวมทั้งการวิ่งเต้นต่างๆ ใช้เงินจำนวนมาก ซึ่งกรณีดังกล่าว อาจทำให้มีผู้ไม่พอใจ นำมาสู่การสังหารได้เช่นกัน