ปิดฉากคดีสะเทือนขวัญครั้งใหญ่ปี 60 ศาลสั่งประหารชีวิต “บังฟัต”


ปิดฉากคดีสะเทือนขวัญครั้งใหญ่ปี 60 ศาลสั่งประหารชีวิต “บังฟัต”


จากเหตุการณ์สังหารหมู่ คนร้ายยิง นายวรยุทธ สังหลัง อายุ 46 ปี หรือ ผู้ใหญ่บัติ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ต.บ้านกลาง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ พร้อมด้วยครอบครัว ลูก และญาติๆ รวม 8 ศพ บาดเจ็บ 3 ราย ต่อมา เจ้าหน้าที่จับกุมตัว นายซูริก์ฟัต บ้านนบวงศ์สกุล อายุ 41 ปี นายทุนเงินกู้ พร้อมพวกอีกรวม 8 คน

โดยผู้ต้องหาทั้ง 8 คนประกอบไปด้วย

1. นายซูริก์ฟัต บ้านนบวงศ์สกุล
2. นางสาวชลิตา สังขโชติ
3. นายประจักษ์ บุญทอย
4. นายคมสรรค์ เวียงนนท์
5. นายอับดุลเลาะ ดอเลาะ
6. นายธวัฒชัย บุญคง
7. นายอรุณ ทองคำ
8. นายธนชัย จำนอง

ผู้ต้องหาให้การว่าสาเหตุมาจากความโกรธแค้นที่ผู้ตายข่มขู่จะฆ่า จากปัญหาการจำนองที่ดิน ซึ่งเหตุนี้เกิดขึ้นเมื่อปี 60




ล่าสุดวันนี้ วันที่ 18 มี.ค.64 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ประหารชีวิต "บังฟัต" พร้อมพวกอีก 6 คน

ส่วนจำเลยที่เหลืออีก 1 คนคือจำเลยคนที่ 8 ถือว่าได้รับโทษเบาที่สุด โดยศาลฎีกาตัดสินยืนตามศาลอุทธรณ์จำคุก 12 เดือนเช่นเดิม เนื่องจากเห็นว่าไม่ได้มีส่วนร่วมและรู้เห็นในการฆ่า ซึ่งปัจจุบันจำเลยที่ 8 ได้รับโทษครบตามจำนวนและพ้นโทษไปแล้ว ถือเป็นอันปิดฉากคดีสะเทือนขวัญครั้งใหญ่ นับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์กระทั่งถึงวันนี้เป็นเวลา 3 ปีกับอีก 8 เดือน

โดยการอ่านคำพิพากษาของศาลฎีกาวันนี้ ใช้วิธีการอ่านคำพิพากษาผ่าน Video Conference จากศาลจังหวัดกระบี่ไปยังเรือนจำกลางจังหวัดนครศรีธรรมราช โดยมีครอบครัวของนายวรยุทธ สังหลัง หรือผู้ใหญ่บัติ อดีตผู้ใหญ่บ้านกลาง อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ ที่เสียชีวิตพร้อมสมาชิกในครอบครัว 8 ราย เดินทางมาฟังคำพิพากษาที่ศาลจังหวัดกระบี่ด้วย


ปิดฉากคดีสะเทือนขวัญครั้งใหญ่ปี 60 ศาลสั่งประหารชีวิต “บังฟัต”


คดีนี้มีจำเลยทั้งหมด 8 คน ประกอบด้วย นายซูริก์ฟัต บ้านนบวงศ์สกุล หรือบังฟัต นายคมสรรค์ เวียงนนท์ นายอับดุลเลาะ ดอเลาะ นายอรุณ ทองคำ นายประจักษ์ บุญทอย นายธนชัย จำนอง นายธวัฒชัย บุญคง และจำเลยที่ 8 นางชลิดา สังข์โชติ

โดยวันนี้ศาลฎีกาอ่านคำพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ลงโทษประหารชีวิต บังฟัตพร้อมกับจำเลยที่ 2 ถึง 7 เนื่องจากศาลให้ความเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้ง 7 เป็นการกระทำที่อุกอาจ ไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายบ้านเมือง และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างแก่บุคคลอื่น และให้จำเลยทั้ง 7 จ่ายชดใช้ค่าเสียหายให้กับญาติผู้เสียชีวิตทุกคนด้วย ตั้งแต่วงเงิน 4 แสนบาทไปจนถึง 2 ล้านบาท ส่วนจำเลยที่ 8 นางชลิดา ยืนโทษจำคุก 12 เดือนเช่นเดิม เนื่องจากศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานแล้วเห็นว่าไม่ได้มีส่วนรู้เห็นในการลงมือฆ่า


ปิดฉากคดีสะเทือนขวัญครั้งใหญ่ปี 60 ศาลสั่งประหารชีวิต “บังฟัต”


ย้อนเหตุการณ์นี้ จากการสอบสวนทราบว่า บังฟัตวางแผนก่อเหตุด้วยการเรียกพวกลูกจ้าง ลูกน้อง ที่รับจ้าง บางคนทำสวนยางพารา รวม 6 คน มาร่วมงาน บอกว่าจะมาทวงหนี้เงินกู้ 3 ล้านบาท และให้ค่าจ้างคนละ 1 พันบาท ก่อนก่อเหตุให้ทุกคนเปลี่ยนชุดเป็นเครื่องแบบลายพรางเพื่ออำนวยความสะดวกเวลาเดินทางผ่านด่านตรวจ

นอกจากนี้ยังให้ลูกน้องเรียกตัวเองว่า "ผู้พัน" ขณะที่ลูกน้องที่ก่อเหตุก็เรียกกันว่า "จ่า" และ "ผู้กอง"

เบื้องต้นบังฟัตตั้งใจจะฆ่าแค่ผู้ใหญ่บ้านกับเมียเท่านั้น เนื่องจากผู้ใหญ่บ้านเป็นคู่ขัดแย้งที่เคยอาฆาตกันมาก่อน ขณะที่เมียมีชื่อเป็นเจ้าของโฉนดเจ้าปัญหา จึงสวมหมวกไอ้โม่งคลุมหน้าตาป้องกันไม่ให้คนในบ้านจำหน้าได้ เพราะจริง ๆ แล้วทั้งบังฟัตและผู้ใหญ่บัติก็เป็นเพื่อนบ้านที่สนิทสนมกันในระดับหนึ่ง

แต่เกิดผิดแผน เนื่องจากพอบุกเข้าไปในบ้านแล้วกลับไม่พบเป้าหมาย จึงต้องรออยู่เป็นเวลานานทำให้พยานจำหน้าลูกน้องได้หมด


ปิดฉากคดีสะเทือนขวัญครั้งใหญ่ปี 60 ศาลสั่งประหารชีวิต “บังฟัต”


นอกจากนี้เมื่อผู้ใหญ่บัติมาถึงก็ให้ลูกน้องล็อกตัวเอาไปพูดคุย ขณะนั้นผู้ใหญ่บัติเอ่ยชื่อ "โทริ" ซึ่งเป็นฉายาของบังฟัต สมัยเป็นนักมวยใช้ชื่อ "โทริจรวดเล็ก ศักดิ์พรน้อย" ทำให้บังฟัตถอดหมวกไอ้โม่งออก เพราะรู้แล้วว่าผู้ใหญ่บัติจำเสียงได้ จึงตัดสินใจฆ่าปิดปากทั้งหมด โดยใช้ปืน .38 ของผู้ใหญ่บัติลั่นไกทีละคน ไม่เว้นแม้แต่ผู้หญิงหรือเด็ก อย่างโหดเหี้ยม

ช่วงนั้นให้ลูกน้องเอาผู้ใหญ่บัติไปขังไว้ในรถ พร้อมให้เซ็นใบโอนรถยาริส และให้โทรศัพท์ไปยืมเงินเพื่อนให้โอนเข้าบัญชี 5 แสนบาท อำพรางว่าเครียดเรื่องปัญหาหนี้สิน และยังยึดบัตรเอทีเอ็มของผู้ใหญ่บัติเพื่อเตรียมไปกดเงินด้วย

ทั้งนี้ เมื่อลูกน้องคุมตัวผู้ใหญ่บัติเข้ามาในบ้าน เมื่อผู้ใหญ่บัติเห็นคนในบ้านถูกยิงหมดก็คลุ้มคลั่งอาละวาดยื้อยุดอยู่กับบังฟัต ทำให้ปืนหล่น ขณะนั้นนายอรุณ หรือบังกี ลูกน้องก็ใช้ปืนยิงใส่ผู้ใหญ่บัติจนเสียชีวิต จึงเป็นคำอธิบายว่าทำไมนายวรยุทธ ที่ถูกจัดฉากว่าฆ่าตัวตายหลังยิงครอบครัว ถึงมีหัวกระสุนในร่างกายถึง 4 นัด

เมื่อก่อเหตุเสร็จเรียบร้อย บังฟัตและพวกก็หลบหนี พร้อมเอาฮาร์ดดิสก์จากกล้องวงจรปิด และรถยาริส ของผู้ใหญ่บัติ เพื่อเอาไปเผาอำพรางที่ จ.พังงา ซึ่งเอาแบบอย่างจากภาพยนตร์แนวสืบสวนสอบสวนที่เคยดูมา




นอกจากนี้ยังนำรถโตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ ไปซุกซ่อนไว้ที่เต็นท์เช่ารถแห่งหนึ่งใน จ.กระบี่ ใกล้ ๆ กับที่เกิดเหตุ เพื่อป้องกันการถูกตรวจจับจากกล้องวงจรปิด แล้วแยกกัน โดยรถโตโยต้า ยาริส สีขาว ที่ใช้ก่อเหตุเอาไปฝากที่บ้านนายไพศาล จำนอง น้องภรรยา ที่บ้านม่วงสองต้น ต.นาสาร อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช

จากนั้นนั่งรถตู้โดยสารจาก บขส.นครศรีธรรมราช หลบหนีไปกบดานที่ จ.ภูเก็ต ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจตามจับกุมได้ในที่สุด

ส่วนเบื้องหลังของการจับกุมครั้งนี้ เริ่มต้นจากการที่ชุดสืบสวนส่วนกลางนำภาพผู้ต้องสงสัยให้พยานที่รอดชีวิต ดูว่าเป็น 1 ในแก๊งคนร้ายหรือไม่ เมื่อพยานยืนยันว่าใช่ พร้อมเล่าปมขัดแย้งใหม่คือเรื่องจำนองที่ดิน จึงกระจายกำลังสืบสวนสอบสวนพยาน จนพบว่าบังฟัต ซึ่งเป็นผู้ต้องสงสัยหมายเลข 1 มีรถลักษณะเดียวกับที่คนร้ายใช้ก่อเหตุอยู่จริง อีกทั้งหลังเกิดเหตุยังหายตัวไปจากพื้นที่ จึงตามสะกดรอยจนจับกุมได้ยกแก๊ง

ขณะที่ลูกสมุนต่างให้การตรงกันว่า ก่อนเกิดเหตุบังฟัตเรียกลูกน้องที่เป็นชาวสวนยาง และรับจ้างทวงหนี้เป็นอาชีพเสริม ให้มาร่วมงาน บอกว่าหลังจากงานเสร็จ นอกจากค่าจ้าง 1 พันบาท จะให้เงินไปดาวน์รถ แต่เมื่อเกิดเหตุจนถึงการลงมือฆ่า บรรดาลูกน้องที่รับงานมาก็ไม่กล้าทำ พร้อมห้ามปราม แต่ก็ไม่เป็นผล จนกระทั่งลงมือเสร็จแยกย้ายหนี โดยที่ไม่ได้ค่าจ้างใด ๆ สุดท้ายแม้จะพยายามวางแผนที่คิดว่าเหนือชั้นที่สุดแล้วก็หนีไม่พ้นเงื้อมมือตำรวจ

โดยในวันที่ 28 มีนาคม 2561 เวลา 09.00 น. ศาลจังหวัดกระบี่ พิพากษาประหารชีวิตบังฟัตและจำเลยรวม 6 คน ส่วนจำเลยอีก 2 คน คือ นางชลิดา สังข์โชติ ภรรยาบังฟัต รับโทษจำคุก 12 เดือน และ นายธวัชชัย บุญคง จำคุก 1 ปี 9 เดือน ล่าสุดได้พ้นโทษออกมาแล้ว




เครดิตแหล่งข้อมูล : prachachat ,khaosod




เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
คุณ : me
สถานะ : บุคคลทั่วไป
IP : 203.151.136.238

203.151.136.238,,238.136.151.203.sta.inet.co.th ความคิดเห็นที่ 2 [อ้างอิง]
wellcome


[ วันอาทิตย์ ที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566 เวลา 10:43 น. ]
เช็คเบอร์มือถือ คลิ๊กเลย ++
กระทู้เด็ดน่าแชร์