ไทยออกแถลงการณ์ จี้ปล่อยซูจี เรียกร้องพม่าเป็นปชต.

นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี และโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าววันนี้ (19 พ.ค.) 

หลังเสร็จสิ้นการประชุม ครม. นายกรัฐมนตรีจะให้สัมภาษณ์ ถึงท่าทีของประเทศไทย ในฐานะประธานอาเซียน ต่อกรณีของพม่า โดยท่าทีของไทย ในฐานะประธานอาเซียนนั้น ได้แสดงความกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองในพม่า โดยเฉพาะเรื่องสุขภาพของนางอองซาน ซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านในพม่า และต้องการให้มีการปล่อยตัวนักโทษทางการเมืองทั้งหมด โดยเร็วที่สุด ตามที่เคยคุยกันไว้ในอาเซียน อีกทั้งหวังว่า พม่าจะกลับคืนสู่ประชาธิปไตย และกระบวนการปรองดองแห่งชาติ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ ซึ่งไทยพร้อมดำเนินการ ตามบทบาทที่สร้างสรรค์ และเหมาะสมต่อไป อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า ความกังวลของไทย เป็นการสะท้อนความกังวล มาจากประชาคมโลก และสมาชิกอาเซียน

นายปณิธาน กล่าวต่อว่า คืนวานนี้ (18 พ.ค.) นายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

ได้ทำจดหมายยืนยัน ไปยังทูตานุทูตทั่วโลกแล้วว่า ไทยในฐานะประธานอาเซียน ได้ออกแถลงการณ์ไปแล้ว ซึ่งในส่วนของพม่า ก็เป็นไปตามกระบวนการขั้นตอน ทั้งนี้ หากพม่าไม่มีปฏิกิริยาตอบรับท่าที ของประธานอาเซียน ไทยจะพยายามให้พม่า เข้ามาทำงานร่วมกับอาเซียนมากขึ้น

ด้านสำนักข่าวซินหัว รายงานว่า อาเซียนได้ออกแถลงการณ์ เรียกร้องให้พม่าปล่อยตัวนางซู จี โดยให้เหตุผลเรื่องสุขภาพที่อ่อนแอ

และยังขอให้รัฐบาลทหารพม่า ให้การดูแลรักษานางซูจี อย่างเหมาะสม รวมทั้งปฏิบัติต่อนางซู จี ให้สมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์  แถลงการณ์ยังระบุว่า ไทยในฐานะที่เป็นประธานอาเซียน ได้ยืนยันความพร้อม ในการมีส่วนร่วมสร้างความปรองดอง และการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองอย่างสันติ ในพม่า


ส่วนภารกิจของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี โดยเมื่อเวลา 07.30 น. วันนี้ (19 พ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล

นายบัณฑิต โสตถิพลาฤทธิ์ เอกอัครราชทูตไทย ประจำกรุงแคนเบอร์รา ออสเตรเลีย นำคณะนักธุรกิจรัฐควีนแลนด์ เข้าเยี่ยมคารวะนายอภิสิทธิ์ ประกอบด้วย กลุ่มนักธุรกิจการรถไฟ อาทิ บริษัท Quantm  บริษัท IQR บริษัท Ansaldo STS และคณะ Queensland Thailand Business Partnership ( QTBP) อาทิ บริษัท W2 Power ซึ่งดำเนินธุรกิจพลังงานเชื้อเพลิงชีวภาพ และบริษัท Winning Yachts ซึ่งดำเนินธุรกิจเรือและอะลูมิเนียม ซึ่งนักธุรกิจต่างแสดงความสนใจในสถานการณ์ทางการเมือง และแนวทางการแก้ปัญหาของรัฐบาล รวมถึงมาตรการการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล โดยแสดงความพร้อมในการร่วมลงทุนในโครงการต่างๆของรัฐบาล เช่น โครงการลงทุนขนาดใหญ่ (Mega Project)

ทั้งนี้ นักธุรกิจฯ ได้แสดงความมั่นใจในการลงทุนในประเทศไทยต่อไป จากนั้นนายกรัฐมนตรีได้กล่าวสร้างความมั่นใจต่อนักธุรกิจ ถึงมาตรการการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของรัฐบาล

ระบุถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ 2 ระยะ โดยในระยะแรกได้ดำเนินการไปแล้ว ซึ่งเน้นการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ การคงและเพิ่มรายได้ของประชาชน และการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน สำหรับมาตรการระยะที่สอง เป็นการกระตุ้นการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ ทั้งในระบบโครงสร้างคมนาคม และสาธารณูปโภค รวมทั้งการสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของไทย ในระยะยาว โดยโครงการลงทุนขนาดใหญ่ ( Mega Projects ) จะอยู่ภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ของรัฐบาล 7 ด้าน ได้แก่ ยุทธศาสตร์ด้านคมนาคม พลังงาน การศึกษา ท่องเที่ยว สาธารณสุข ส่งเสริมศักยภาพชุมชนและสร้างสรรค์นวัตกรรมรูปแบบใหม่

นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรีได้กล่าวถึงการแก้ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของไทยว่า รัฐบาลได้นำความขัดแย้งกลับเข้าสู่การแก้ปัญหาในรัฐสภา

โดยตั้งคณะกรรมการเพื่อพิจารณาแนวทางและข้อเสนอ ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาไม่นานนัก สำหรับกระบวนการต่างๆ แต่ทั้งนี้ การแก้ปัญหาความขัดแย้งที่สะสมมาเป็นปีๆ จะต้องใช้เวลาในการแก้ไขเพื่อให้ความสงบและสมานฉันท์กลับคืนสู่ประเทศไทย อย่างไรก็ตาม รัฐบาลมุ่งมั่นในการส่งเสริมบรรยากาศการค้าและการลงทุนจากต่างประเทศ และพร้อมที่จะรับฟังข้อเสนอและปัญหา เพื่อให้การดำเนินธุรกิจในไทยประบความสำเร็จและเป็นมิตรกับนักลงทุน

ต่อมาเวลา 08.15 น. นายกรัฐมนตรี ได้รับมอบผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลผลิตจากโครงการชุมชนพอเพียง

จากตัวแทนชุมชนทุกภาคทั่วประเทศ อาทิ ข้าวสาร  ผ้าขาวม้า และ ปุ๋ยชีวภาพอัดเม็ด พร้อมให้กำลังใจแก่รัฐบาล และเรียกร้องให้เดินหน้าโครงการชุมชนพอเพียง อย่างต่อเนื่องต่อไป เพราะเป็นโครงการที่เน้นการพัฒนาสร้างอาชีพ และรายได้อย่างยั่งยืนกับชุมชน นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้ชมและทดลองขับรถยนต์พลังงานไฮโดรเจน ซึ่งเป็นรถยนต์เชื้อเพลิงคันแรกที่ผลิตโดยคนไทย ใช้ระบบขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้าจากพลังงานไฮโดรเจน และเชื้อเพลิง ซึ่งจะไม่กินน้ำมัน และไม่มีสารพิษทำลายสุขภาพ โดยนายกรัฐมนตรีได้ทดลองขับ รอบบริเวณอาคารสำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี

สำหรับภารกิจของนายกรัฐมนตรี ช่วงบ่าย เวลา 14.00 น. นายกรัฐมนตรีจะร่วมประชุมพรรคประชาธิปัตย์ โดยต้องจับตาการปรับคณะรัฐมนตรี ทั้งในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังจะได้บรรยายเรื่องการเมืองไทย ปี 2020 ที่อาคารตลาดหลักทรัพย์ ในเวลา 18.00 น.ด้วย

เครดิต :
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดยหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์