ตู่ช็อก ศาลฎีกาสั่งคุกตลอดชีวิตคดีเผาศาลากลางอุบลฯ

วันที่ 17 ธันวาคม นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการมองไกล ผ่านยูทูป ว่า ตนรู้สึกช็อกกับคำพิพากษาของศาลฎีกาที่พลิกให้ลงโทษแนวร่วมคนเสื้อแดงในคดีเผาศาลากลางจังหวัดอุบลราชธานี เป็นโทษสูงสุดถึงขั้นประหารชีวิต และจำคุกตลอดชีวิต แต่วันพรุ่งนี้ (18 ธ.ค.) พวกตนจะเดินทางไปเยี่ยมผู้ต้องหาทั้งหมดที่เรือนจำอุบลราชธานี

นายจตุพร กล่าวว่า คำพิพากษาศาลฎีกาถือเป็นการสิ้นสุด ก็ต้องน้อมรับ แต่มีเรื่องราวมากมายต้องรักษาความรู้สึกทั้งคนที่อยู่ในเรือนจำและญาติ แม้หลายคนแสดงความสะใจกับโทษประหารชีวิต แต่ในหลายปีที่ต่อสู้มา ชะตากรรมมนุษย์ในลักษณะคดีเช่นเดียวกับจังหวัดอุบลฯยังมีอยู่หลายพื้นที่ และไม่แตกต่างกัน

ประธาน นปช. หวังว่า ประชาชนจะไม่ถูกจองจำยาวนาน แม้จะพยายามหาทางนิรโทษกรรมให้ประชาชนทุกสีเสื้อ ยกเว้นแกนนำ แต่ยังไปไม่ถึงไหน ซึ่งต้องหาทางว่าจะนิรโทษกรรมกันอย่างไร ตนเชื่อว่า คดีมีโทษอย่างไรก็ตาม ประเทศไทยคงนิรโทษกรรมได้ เพราะคดีที่ร้ายแรงก็นิรโทษกรรมให้ตัวเองได้ การกบฏยังเคยนิรโทษกรรมมาแล้ว

นายจตุพร กล่าวว่า ตลอด 5 ปีหลังเกิดเหตุการณ์ปี 2553 มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้น และคดีที่อุบลฯอาจเป็นความสะใจของใครก็ตาม สื่อมวลชนพาดหัวใหญ่โต แต่ในความเป็นมนุษย์ที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงกันได้คือ ความรู้สึก พวกตนจะเดินทางไปเยี่ยมที่คุกอุบลฯ เพื่อให้กำลังใจกัน รวมทั้งจะหารือทนายความคิดหาช่องทางที่พอจะทำกันได้ต่อไป

และว่า “พวกเรามีหน้าที่รักษาความรู้สึก และไม่ทรยศกัน หลายเรื่องราวเกิดในปี 2553 มีความซับซ้อน รวมทั้งมีเรื่องที่คนอื่นไปทำขึ้น แล้วให้พวกเราไปรับโทษก็มีอีกหลายกรณี ความจริงการเรียกร้องคืนอำนาจให้ประชาชนไม่ควรจบลงด้วยความตาย พวกเราเป็นมนุษย์ มีรักโลภทั่วไป เหตุการณ์เมื่อปี 2553 การมอบตัวและต้องยุติการชุมนุม เพราะไม่อาจรับความตายกับประชาชนได้อีก แต่ไม่คาดคิดว่าการหนีเข้าวัดยังถูกตามฆ่าอีก 6 ศพ”

นายจตุพร กล่าวว่า หลังเหตุการณ์ปี 2553 ตนได้แสวงหาข้อเท็จจริง ซึ่งสลับซับซ้อน และความจริงที่เจ็บปวด ใครจะประณามอย่างไร ก็ต้องอดทน ยอมเช็ดเลือดในมุมปากแล้วกลืนลงไป ความรู้สึกห่วงใยหมู่มิตรพี่น้องเป็นเรื่องของมนุษย์ และอย่าขวางไม่ให้เข้าเยี่ยม เพราะเป็นการฝืนความรู้สึกของมนุษย์