เด็กมหาลัย มาสอบเข้าม.4 ร.ร.ไม่รับฟ้องศาล

เมื่อวันที่ 12 ก.ค. โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า
 
เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. ศาลปกครองพิษณุโลกได้รับไต่สวนฉุกเฉินกรณีการฟ้องร้องระหว่างนายเกื้อชน สังข์สวัสดิ์ อดีตนักเรียน โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม จังหวัดพิษณุโลก ผู้ฟ้องคดี ฟ้องนายวัฒนา ภาวะไพบูลย์ ผอ.ร.ร.พิษณุโลกพิทยาคม และคุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้ถูกฟ้องคดี
 
โดยเนื้อหาคำฟ้องมีว่า
 
นายเกื้อชน สังข์สวัสดิ์ ซึ่งจบการศึกษาชั้น ม.6 จากโรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคม สาขาวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ อุตสาหกรรม เมื่อปี 2546 และ ไปสอบเข้าศึกษาต่อในคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร ในปีเดียวกัน เรียนจนถึงปี 2 ได้ขอพักการศึกษาและลาออกเมื่อปี 2550 แล้วมาสมัครเรียนชั้น ม.4 ที่ ร.ร.พิษณุโลกพิทยาคมใหม่อีกครั้งหนึ่ง 

 

ทั้งนี้ สาเหตุที่ลาออกจากคณะนิติศาสตร์ นายเกื้อชนระบุว่า 

เนื่องจากยังไม่มีความพร้อมที่จะเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ขาดความรู้ความเข้าใจในพื้นฐานชั้น ม.4-6 จึงมาสมัครเรียนใหม่เพื่อให้มีความพร้อมมากกว่านี้ ในการสมัครเข้าเรียนชั้น ม.4 อีกครั้ง โรงเรียนได้ออกใบรับสมัครให้หมายเลข 40136 สอบคัดเลือกในวันที่ 25 มี.ค. 2550 ผลการสอบนายเกื้อชนสอบได้อันดับที่ 1 แต่ต่อมาโรงเรียนปฏิเสธไม่ยอมรับเข้าเรียน เนื่องจากตนจบชั้น ม.6 จากโรงเรียนแล้ว จึงขอให้ศาลปกครองพิษณุโลกมีคำสั่งให้โรงเรียนพิษณุโลกพิทยาคมรับเข้าเรียน ม.4 ไปจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษา หรือคำสั่งเป็นอย่างอื่นต่อมา ซึ่งศาลปกครองพิษณุโลกประทับรับฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 10 ก.ค. แต่ไม่รับคำร้องขอคุ้มครองฉุกเฉิน

นายเกื้อชนเปิดเผยว่า

สาเหตุที่ต้องการกลับไป เรียนชั้น ม.4 ใหม่อีกครั้ง เพราะไม่มีความพร้อมหลายด้าน ขณะที่เรียนอยู่คณะนิติศาสตร์ ไม่เข้าใจด้านการตีความทางภาษา หรือความเข้าใจวิชาสังคม เพราะตอนเรียน ม.ปลาย มุ่งเน้นสายวิทยาศาสตร์ ไม่สนใจด้านภาษาและสังคม เมื่อเรียนคณะนิติศาสตร์ จึงรู้สึกว่าขาดความพร้อม ด้านความรู้พื้นฐานด้านภาษาและสังคม จึงต้องการกลับมาเรียนใหม่

ผู้สื่อข่าวถามว่า

หากต้องเรียนใหม่ต้องย้อนกลับไป 7 ปี เสียดายเวลาหรือไม่ นายเกื้อชนตอบว่า ก็รู้สึกเสียดายเวลา แต่เมื่อเทียบกับสิ่งที่จะได้รับในอนาคต คิดว่าคุ้มค่าที่จะเสีย และทราบว่า คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง เปิดโอกาสให้นักเรียน ม.4 ลงทะเบียนเรียนวิชากฎหมายได้ ตนก็จะเรียนกฎหมายกับมหาวิทยาลัยรามคำแหงควบคู่กันไปก็จะได้ไม่เสียเวลามากนัก 

นายเกื้อชนกล่าวด้วยว่า

การที่ตนออกมาร้องเรียนต่อศาลปกครอง เพื่อต้องการได้รับสิทธิที่ควรได้ ตนอ่านคุณสมบัติของผู้สมัคร ม.4 แล้ว ไม่ได้กำหนดหรือมีข้อห้ามในคุณสมบัติของผู้ที่จบไปแล้ว ห้ามเข้ามาสมัครเรียนใหม่ ในวันสมัครตนก็แจ้งกับครูที่รับสมัครว่า เรียนอยู่คณะนิติศาสตร์ ภาคปกติ ซึ่งตามสามัญสำนึกใครๆก็ต้องรู้ว่า ผู้ที่จะเรียนมหาวิทยาลัยภาคปกติได้ ก็ต้องจบ ม.ปลายแล้ว
 
นอกจากนี้ ตนเข้าพบนายวัฒนา ภาวะไพบูลย์ ผอ.ร.ร.พิษณุโลกพิทยาคม
 
ก็ไม่ได้รับความสนใจ ทั้งยังถูกท้าทายให้ไปฟ้องร้องหาความยุติธรรม จึงไปฟ้องศาลปกครองดังกล่าว หากศาลมีคำสั่งให้กลับมาเรียน ม.4 ได้อีกครั้ง ตนก็สามารถเรียนร่วมกับน้องๆ ที่มีอายุต่างกันได้ ปัจจุบันตนอายุ 21 ปี น้อง ม.4 อายุ 15 ปี คิดว่าไม่เป็นปัญหา เพราะมีเพื่อนอยู่ใน ร.ร. และวุฒิภาวะทางอารมณ์ของตนก็เด็กกว่าวัย เวลาจะเอาจริงตนก็เป็นคนจริงจัง แต่เวลาเล่นก็เหมือนเด็กๆ

ด้านนายวัฒนากล่าวว่า

คดีนี้เป็นคดีแรกในประเทศไทยและในวงการศึกษา ตนไม่สามารถชี้ได้ว่าสาเหตุที่นายเกื้อชนอยากกลับมาเรียน ม.4 อีกครั้งเป็นเพราะอะไร แต่ตั้งข้อสังเกตว่ามีอะไรผิดปกติบางอย่าง ถึงทำให้ตัดสินใจถอยหลังกลับไปถึง 7 ปี ทั้งที่ ปัจจุบันถ้าอยู่มหาวิทยาลัยก็เรียนอยู่ปี 4 แล้ว

ส่วนที่นายเกื้อชนระบุว่า

ทำไมทางโรงเรียนถึงยอมให้สมัครและสอบได้นั้น ได้สอบถามอาจารย์ผู้รับสมัครแล้ว ได้ รับคำชี้แจงว่า นายเกื้อชนบอกว่ามีอาการป่วย ทำให้ อาจารย์ที่รับสมัครเข้าใจว่านายเกื้อชนป่วยจนไม่ได้เรียนม.ปลาย และขณะนี้กลับมาเรียนใหม่
 
อย่างไรก็ตาม

ทางโรงเรียนได้พูดคุยกับผู้ปกครองนายเกื้อชนเป็นที่เข้าใจดีแล้ว แต่นายเกื้อชนยังไม่ยินยอม จึงบอกว่า ในฐานะลูกศิษย์ หากทำอะไรที่สบายใจก็ทำไป ถ้าคิดว่าจะชนะ ส่วนทางโรงเรียนจะไม่ดำเนินการใดๆ เพราะครูไม่คิดฆ่าลูกศิษย์อยู่แล้ว และหากศาลตัดสินอย่างใดก็พร้อมปฏิบัติตาม

ขณะที่คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา กล่าวว่า

ตามหลักการแล้ว คงไม่มีเหตุผลที่จะให้เด็กกลับมาเรียนอีก เพราะได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานตามสิทธิและประโยชน์ จากที่กฎหมายที่รัฐต้องจัดให้คนละ 1 ครั้ง ไปครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว เรื่องนี้ขอให้เป็นดุลยพินิจของศาลต่อไปทางสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานคงต้องทบทวนเกณฑ์การรับนักเรียนใหม่ให้รัดกุมขึ้น เพราะที่ผ่านมาไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน