ลูกอม-เค้ก-ไอติมทำเด็กสมาธิสั้น

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้อำนวยการสถาบันอาหาร เปิดเผยว่า

ต้องการให้ภาคอุตสาหกรรมอาหารไทย ลดการใช้สีผสมอาหารสังเคราะห์ และสารกันเสียโซเดียมเบนโซเอต ทำขนมหวาน ลูกกวาด ลูกอม ไอศกรีม น้ำผลไม้  เบเกอรี่ เค้ก และน้ำอัดลม เนื่องจากผลการวิจัยมหาวิทยาลัยเซาท์เทมตันประเทศสหราชอาณาจักรระบุว่า มีผลต่อเด็กอายุระหว่าง 3-9 ขวบ ให้เป็นโรคสมาธิสั้น หรือไม่สามารถควบคุมสมาธิ จนทำให้ผลการเรียนตกต่ำ และมีปัญหาความสัมพันธ์กับผู้อื่น
 
ทั้งนี้ผลการวิจัยที่ส่งผลกระทบต่อเด็กทำให้สหภาพยุโรป ได้ปรับเปลี่ยน ระเบียบวัตถุเจือปนอาหาร

พร้อมเข้มงวดชนิดของสีที่ผสมอาหารกรณีที่มีการส่งออกอาหารที่ผสมสีไปตลาดยุโรป เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กที่นิยมในอาหารที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งสาเหตุที่อุตสาหกรรมอาหารนิยมใช้สารประเภทนี้ เพราะราคาถูก หาง่าย และยับยั้งการเติบโตของจุลินทรีย์หลายชนิด
 
“ผู้ประกอบการอาหารของไทยที่ได้รับผลกระทบ คือ ผู้ผลิตอาหารกลุ่มเครื่องดื่ม น้ำผลไม้ น้ำอัดลม ลูกอม ลูกกวาด ขนมหวาน เป็นต้น โดยเฉพาะอาหารที่มีสีเหลือง ส้ม แดง ที่ผลิตเพื่อส่งเข้าตลาดยุโรป เนื่องจากสินค้าที่แต่งสีสันให้สวยงาม ในการดึงดูดผู้บริโภค และผู้ผลิตส่วนใหญ่มีความต้องการให้เก็บรักษาไว้ได้นาน จึงต้องผสมสีสังเคราะห์ รวมกับสารกันเสีย เช่น โซเดียมเบนโซเอต โซเดียมซอร์เบต เป็นต้น”
 
ทั้งนี้ ผู้ประกอบการอาหารไทย ควรเปลี่ยนมาใช้สีผสมอาหารที่ได้จากธรรมชาติ

ลดการใช้สีสังเคราะห์และสารกันเสียกลุ่มที่ให้สีเหลือง ส้ม และแดง ในการผลิตอาหารและเครื่องดื่มจนกว่าจะมีผลพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ ยืนยันที่ชัดเจนมากขึ้น, ติดตามการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดและ กฎระเบียบของสหภาพยุโรปอย่างใกล้ชิด และตรวจสอบชนิดของสีสังเคราะห์ทุกกลุ่มสีที่สหภาพยุโรปอนุญาตให้ใช้หรือไม่ แหล่งข่าวจากสถาบันอาหาร กล่าวว่า ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มในภาพรวมมีมูลค่า 449,926 ล้านบาท มีการจ้างงาน 464,914 คน ซึ่งปัจจุบันประสบปัญหาเรื่องของต้นทุนและไม่สามารถปรับราคาได้ เพราะหลายประเภทอยู่ในสินค้าควบคุมราคาของทางการ
 
นายปราโมทย์ วิทยาสุข อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กล่าวว่า เอสเอ็มอีไทยจำนวนมากประสบปัญหาขายสินค้าได้ลำบาก

เนื่องจากผู้ประกอบการมีความสามารถเฉพาะการผลิตสินค้าให้มีคุณภาพ แต่ขาดความรู้ในการทำตลาด ดังนั้นภาครัฐจำเป็นต้องช่วยหาตลาดหรือช่วยเปิดช่องทางการจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศ พร้อมทั้ง   จัดอบรมหลักสูตรแก่เอสเอ็มอีในเรื่อง การจัดจำหน่ายสินค้าอย่างมืออาชีพ รุ่นที่ 1 เพื่อพัฒนาให้จำหน่ายสินค้าได้ สำหรับการหาช่องจำหน่ายในต่างประเทศกรมฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่และผู้ประกอบการนำสินค้าไปแสดงในฮ่องกง เวียดนาม จีน เบื้องต้นได้เชิญ ผู้นำเข้าของแต่ละประเทศ จนทำให้ผู้ประกอบการที่ร่วมเข้าโครงการกับภาครัฐมียอดจำหน่ายเพิ่ม 30-50%.

เครดิต :
เครดิต : เดลินิวส์ (อ่านความจริง อ่านเดลินิวส์)


ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์