น้ำป่าถล่มเหนือ-ใต้ซัดบ้านพังถนนขาด!

"น้ำป่าซัด พังกว่า 100 หลังคาเรือน"


ฝนถล่มเหนือ-ใต้ แม่ฮ่องสอน เพชรบูรณ์ พิษณุโลก สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราชโดนหนัก น้ำป่าซัดถนนสายแม่ฮ่องสอน-แม่สะเรียง-เชียงใหม่ขาด รถทัวร์ติดอื้อ ที่เพชรบูรณ์ดินจากภูเขาถล่มทับเส้นทาง 5 จุด ด้านเมืองคอน และสุราษฎร์ฯ ฝนตกหนักกลางดึก น้ำป่าซัดบ้านเรือนพังเกือบ 100 หลัง ด้านมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ฯ นำสิ่งของพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ไปมอบให้กับเหยื่อน้ำท่วมพิจิตร ขณะที่คลื่นซัดเรือนักท่องเที่ยวอับปางทะเลกระบี่ ขณะพาอบต.จากอุบลฯ ไปเที่ยว โชคดีไม่มีใครเสียชีวิต

-ฝนถล่มพิษณุโลก-น้ำน่านทะลักท่วม


เมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 12 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดฝนตกตลอดทั้งคืน ทำให้ระดับแม่น้ำน่านเพิ่มสูงขึ้นจนล้นฝั่ง ทำให้ชาวบ้าน ม.3 และม.5 ต.ท่าโพธิ์ อ.เมืองพิษณุโลก ได้รับผลกระทบจากน้ำเอ่อท่วม ระดับแม่น้ำน่านหนุนสูงขึ้น ทำให้ท่อระบายน้ำไม่ทัน น้ำฝนจึงเอ่อท่วมเขตเทศบาลเมืองพิษณุโลก ถนนหลายสายมีน้ำท่วมขัง ระดับสูง 30-70 ซ.ม. โดยเฉพาะบริเวณสามแยกธนารักษ์ ระดับน้ำสูงถึง 1 เมตร รถยนต์ไม่สามารถผ่านไปมาได้ เจ้าหน้าที่ตำรวจนำป้ายบอกให้เลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น เนื่องจากมีรถยนต์และรถจักรยานยนต์หลายคันเครื่องยนต์ดับจอดกลางถนน ส่วนที่ถนนสายพระองค์ดำ น้ำท่วมขังตั้งแต่โรงพยาบาลรังสีรักษา ไปถึงสี่แยกสุเหร่า

สำหรับถนนสายเอกาทศรถ ซึ่งเป็นหลักกลางตลาด น้ำท่วมขังตลอดทั้งสาย ทางร้านค้าต้องนำกระสอบทรายมากั้นน้ำเอาไว้ ส่วนถนนสายหลังโรงพยาบาลพุทธราชมีน้ำท่วมขังเป็นทางยาว ถนนสายสนามบินตั้งแต่หน้ากองบิน 46 ไปจนถึงทางแยกโรงเรียนโรจนวิทย์มาลาเบี่ยง และห้าแยกโคกมะตูม แต่สามารถใช้สัญจรไปมาได้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้น้ำเอ่อล้นท่วมบริเวณด้านหลังมหาวิทยาลัยนเรศวร ทำให้นักศึกษาต้องประสบปัญหาในการออกไปเรียน เจ้าหน้าที่ต้องระดมกำลังทหารไปช่วยเหลือ


-"นครไทย"อ่วมภูเขาถล่มปิดกั้นถนน


ในส่วนพื้นที่อ.นครไทย จ.พิษณุโลก หลังจากเกิดฝนตกมาตั้งแต่กลางคืนวันเดียวกัน ทำให้ชาวบ้านต.บ่อโพธิ์ได้รับผลกระทบจากกระแสน้ำจากภูเขาไหลเข้าท่วมหมู่บ้านด้านล่าง นอกจากนั้นเส้นทางสายหลักนครไทย-ด่านซ้าย บริเวณหลักกิโลเมตร 53-54 ม.1 บ้านบ่อโพธิ์ ต.บ่อโพธิ์ เกิดดินภูเขาไหลถล่มลงมาปิดถนนเป็นครั้งที่ 3 โดยครั้งนี้ถล่มลงมาด้วยกันถึง 5 จุด ทำให้เส้นทางดังกล่าวเป็นอัมพาต โดยเฉพาะมีหินจำนวน 2 ก้อนขนาดใหญ่เท่ารถสิบล้อร่วงลงมาจากภูเขาปิดเส้นทาง และยังมีต้นไม้ขนาด 2 คนโอบ 2 ต้น โค่นลงมาปิดถนนซ้ำอีก ทำให้จราจรผู้ใช้เส้นทางถูกปิดตั้งแต่เมื่อคืนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่จากหน่วยการทางศูนย์สร้างทางหล่มสัก โครงการนครไทย-ด่านซ้าย นำเครื่องมือหนัก ทั้งรถตักดิน 3 คัน รถแบ๊คโฮ 3 คัน เข้าไปตักดินที่ร่วงลงปิดถนนออก และใช้รถแบ๊คโฮดันต้นไม้ออกจากพื้นผิวถนนอย่างเร่งด่วน เพื่อจะเปิดใช้เส้นทางตามปกติ

ด้านนายศิริชัย รัตนเสถียร ผอ.ศูนย์สร้างทางหล่มสัก กล่าวว่า บริเวณถนนสายนครไทย-ด่านซ้าย บริเวณที่เกิดดินถล่มจากภูเขาเป็นจุดอันตราย เนื่องจากได้เกิดเหตุลักษณะเดียวกันมาแล้วถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเกิดเหตุดินถล่มเมื่อวันที่ 31 ส.ค. ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา และเกิดดินถล่มลงมาอีกเมื่อวันที่ 9 ก.ย. โดยมีด้วยกันถึง 5 จุด ตลอดเวลาดินและหินสไลด์ร่วงลงมาตลอดทั้งวัน เนื่องจากเกิดฝนตกตลอดทั้งวันทั้งคืน ทางศูนย์สร้างทางหล่มสัก โครงการนครไทย-ด่านซ้ายนำรถแบ๊คโฮมาจอดเตรียมไว้ในบริเวณเกิดเหตุ เนื่องจากดินและหินถล่มลงมาตลอดเวลา พร้อมกับมีป้ายแจ้งเตือนให้ผู้ขับขี่ระมัดระวังตลอดเส้นทางที่จะผ่าน


-ฝนตกหนักน้ำป่าท่วม"สุราษฎร์ฯ"


เมื่อเวลา 08.00 น. วันเดียวกัน นายมนูญ อุปลา นายกเทศมนตรี ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า ที่บ้านเหนือคลอง หมู่ที่ 7 เขตเทศบาลตำบลบ้านส้อง เกิดน้ำป่าไหลหลากพัดบ้านเรือนชาวบ้านเสียหายไปกับกระแสน้ำ หลายหลังและถนนภายในหมู่บ้านถูกตัดขาด โดยชุมชนส่วนใหญ่อยู่ริมถนน มีบ้านเรือนประมาณ 20 หลังคาเรือน ห่างจากลำคลองตาลประมาณ 10 เมตร พบชาวบ้านจำนวนหนึ่งเดินสำรวจความเสียหายพื้นที่บ้านของตนเอง ซึ่งบางหลังมีเพียงเสา บางหลังไม่เหลือแม้แต่เสา

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 18 .00 น. วันที่ 11 ก.ย. เกิดฝนตกหนักในพื้นดังกล่าวประมาณ 3 ชั่วโมง หลังจากนั้นมีน้ำป่าพัดลงมาอย่างรวดเร็วและเอ่อล้นคลองระดับน้ำประมาณ 1 เมตร ไหลเข้าท่วมบ้านพังเสียหาย ชาวบ้านวิ่งหนีชุลมุน

นายมนูญ กล่าวว่า หลังจากเกิดเหตุได้ส่งเจ้าหน้าที่เทศบาลบ้านส้อง อปพร. เข้าช่วยเหลืออพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย ไปยังศาลาประจำหมู่บ้าน จากการสำรวจในเบื้องต้น พบบ้านพังเสียหายทั้งหลัง 6 หลัง พังบางส่วนประมาณ 10 หลัง ประชาชนไม่มีที่อยู่อาศัย 30 คน ถนนภายในหมู่บ้านถูกตัดขาด ประมาณ 500 เมตร ค่าเสียหายเบื้องต้น 3 ล้านบาท และนำรถแบ๊คโฮเข้าขุดลอกปรับเปลี่ยนเส้นทางน้ำ เพื่อป้องกันน้ำป่าอีกระลอกหากมีฝนตกลงมาอีก รวมทั้งเร่งซ่อมแซมถนนให้สามารถสัญจรไปมาได้สะดวก


-"ฉวาง"วิกฤตน้ำป่าถล่มบ้าน30หลัง


ส่วนที่จ.นครศรีธรรมราช ก็ประสบปัญหาฝนตกหนัก น้ำป่าทะลักท่วมบ้านเรือนประชาชน โดยเมื่อเวลา 18.30 น. วันที่ 11 ก.ย. พ.ต.อ.ธงชัย ถาวระ ผกก.สภ.อ.ฉวาง นครศรีธรรมราช นำเจ้าหน้าที่ตำรวจร่วมกับกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน เจ้าหน้าที่ อปพร.เดินทางไปตรวจสอบพื้นที่ ม.1, 2, 5 และ ม.7 ต.ห้วยปริก อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช หลังจากเกิดเหตุน้ำป่าทะลักท่วมบ้านเรือนชาวบ้านอย่างรวดเร็ว

จากการตรวจสอบพบว่า ม.7 ต.ห้วยปริกได้รับความเสียหายมากที่สุด โดยน้ำท่วมบ้านเรือนชาวบ้านกว่า 30 หลัง และเสียหายประมาณ 20 หลัง รวมความเสียหายกับหมู่บ้านอื่นเกือบ 30 หลัง เนื่องจากน้ำพัดเอาสิ่งของ ทรัพย์สิน บ้านเรือนไปกับน้ำอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต โดยเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา มีฝนตกลงมาอย่างหนักประมาณ 1 ช.ม. เป็นเหตุให้เกิดน้ำป่าไหลหลากท่วมบ้านเรือนชาวบ้านดังกล่าว

ด้านนางเพ็ญศรี แก้วคุ้มภัย หน.สำนักงานป้องกันและป้องกันสาธารณภัยจังหวัดนครศรีธรรมราชได้รับรายงานด่วนจากนายอริยะ รังสิตสวัสดิ์ นายอำเภอฉวาง ว่า เมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา เกิดฝนตกลงมาอย่างหนักในพื้นที่อ.ฉวาง ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากลงมาถล่มบ้านเรือนของราษฎรซึ่งอาศัยอยู่บริเวณหุบเขา ม.2 และ ม.7 ต.ห้วยปริก อ.ฉวาง พังเสียหายจำนวน 28 หลัง แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตแต่อย่างใด โดยนายอริยะนำเจ้าหน้าที่ อส. และเจ้าหน้าที่หน่วยสาธารณภัยจำนวนหลายสิบนายเข้าไปให้การช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อน และมีการอพยพราษฎรที่เดือดร้อนมาอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยแล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดฝนตกหนักในพื้นที่อ.ฉวาง และอ.พิปูน ตลอดเวลา ซึ่งนายวิชม ทองสงค์ ผวจ.นครศรีธรรมราช สั่งการให้เจ้าหน้าที่เตรียมพร้อมอพยพราษฎรในพื้นที่เสี่ยงภัยไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยแล้วและเฝ้าระวังเหตุตลอดเวลา


-ผู้ว่าฯเมืองคอนรายงานมหาดไทย


เมื่อเวลา 08.00 น. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช รมช.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมประชุมครม.ถึงน้ำป่าและโคลนถล่มที่อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช ว่า ผู้ว่าฯ จะได้รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาให้ทราบในวันนี้ โดยผู้ว่าฯ และนายอำเภอได้เข้าไปช่วยเหลือประชาชนตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 11 ก.ย. โดยพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดคือ ต.ห้วยปลิก อ.ฉวาง เนื่องจากเป็นเทือกเขา ส่วนปริมาณน้ำท่วมในพื้นที่ภาคเหนือขณะนี้ ยังมีน้ำเอ่อท่วมในพื้นที่การเกษตรที่เป็นพื้นที่ราบลุ่ม เช่นที่สุโขทัย อ.เมืองและอ.กงไกลาศ จ.พิษณุโลก ยังมีน้ำท้วมขังที่อ.บางระกำ จ.พิจิตร ที่ อ.สามง่าม และอ.เมือง ส่วนจ.นครสวรรค์ มีน้ำท่วมขังทั้งหมด 4 อำเภอ

อย่างไรก็ตามขณะนี้อยู่ระหว่างการสำรวจพื้นที่การเกษตรที่ได้รับความเสียหายจากอุทกภัยน้ำท่วม โดยการจ่ายค่าชดเชยจะทำตามระเบียบราชการ สำหรับภาคอีสานขณะนี้มีฝนตกมากขึ้น ซึ่งเป็นผลดี เพราะทำให้สามารถกักเก็บน้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆ เพื่อใช้ในฤดูแล้งมากขึ้น


-แม่ฮ่องสอนถนนขาด-รถทัวร์ติดอื้อ


ส่วนที่จ.แม่ฮ่องสอน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เกิดฝนตกต่อเนื่องทั้งคืน ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากในพื้นที่ ส่งผลให้เส้นทางคมนาคม ที่เชื่อมระหว่างจังหวัดแม่ฮ่องสอนกับเชียงใหม่ทั้งสองสายถูกตัดขาด ยานพาหนะที่จะไปเชียงใหม่ต้องยกเลิกการเดินทางทั้งหมด แขวงการทางต้องเร่งทำงานกันอย่างหนักคาดจะสามารถเปิดให้ยานพาหนะสัญจรได้ในวันรุ่งขึ้น

เมื่อเวลา 05.30 น. นายอมร ศรีตระกูล กำนันตำบลผาบ่อง อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน รายงานต่อนายกษิดิศ วัฒนศัพท์ นายช่างแขวงการทาง จังหวัดแม่ฮ่องสอนว่า ถนนที่เชื่อมกับสะพานข้ามแม่น้ำแม่สะมาด 1 ทางหลวงแผ่นดิน 108 บริเวณระหว่างหลัก ก.ม.ที่ 338-339 สายแม่เชียงใหม่-แม่สะเรียง-แม่ฮ่องสอน ถูกน้ำในแม่น้ำแม่สะมาดกัดเซาะจนขาดออกจากกัน คิดเป็นระยะห่างประมาณ 6-8 เมตร ซึ่งทางแขวงการทางจังหวัดแม่ฮ่องสอนจัดเจ้าหน้าที่พร้อมเครื่องจักรกลหนักออกไปทำการแก้ปัญหาเป็นการด่วน

จากปัญหาเส้นทางคมนาคมถูกตัดขาดบริเวณดังกล่าว ทำให้รถโดยสารปรับอากาศประจำทางสายกรุงเทพฯ-แม่ฮ่องสอน ที่เดินทางจากกรุงเทพฯ มายังแม่ฮ่องสอน ต้องติดอยู่บริเวณอีกด้านหนึ่งของถนน และต้องใช้วิธีให้ผู้โดยสารทยอยข้ามสะพานไม้ลำลองที่ทางเจ้าหน้าที่ทหารจากหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 7 ร่วมกับเจ้าหน้าที่แขวงการทางสร้างขึ้นชั่วคราว โดยสะพานลำลองดังกล่าวสามารถข้ามได้คราวละไม่เกิน 3 คน เนื่องจากไม่แข็งแรงเท่าที่ควร ขณะที่รถโดยสารประจำทางของบริษัทเปรมประชาขนส่ง จำกัด ที่ออกเดินทางจากแม่ฮ่องสอน ไปยังเชียงใหม่ ของวันนี้ ไม่สามารถวิ่งบริการผู้โดยสารได้ ส่วนรถประจำทางเที่ยว 20.00 น. และ 21.00 น. ที่ออกเดินทางไปยังเชียงใหม่สามารถผ่านไปได้ตั้งแต่เมื่อคืน แต่ไปติดที่บริเวณสะพานข้ามถนน ใกล้กับวนอุทยานออบหลวง เนื่องจากถนนถูดตัดขาดเช่นกัน

นายกษิดิศ เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางแขวงการทางได้รับรายงานว่ามีถนนที่เชื่อมระหว่างจังหวัดแม่ฮ่องสอน กับจังหวัดเชียงใหม่ ทั้งสองสาย คือสาย 108 แม่ฮ่องสอน-แม่สะเรียง ถนนถูกตัดขาดบริเวณหลัก ก.ม.ที่ 338 -339 พื้นที่ ต.ผาบ่อง อ.เมือง และอีกจุดคือบริเวณทางหลวงสาย 1095 แม่ฮ่องสอน-ปาย บริเวณหลัก ก.ม.ที่ 167-168 ถนนถูกตัดขาดบริเวณที่เชื่อมกับสะพานข้ามแม่น้ำของบ้านห้วยส้านนอก ต.ห้วยผา อ.เมือง

"นอกจากนั้นยังเกิดดินภูเขาไหลลงมาปิดทับเส้นทางจราจร บนทางหลวงสาย 1095 บริเวณเขากิ่วลม รอยต่อเชื่อมระหว่าง อ.ปางมะผ้า กับ อ.ปาย ทำให้การสัญจรติดขัดเป็นช่วงๆ ทางเจ้าหน้าที่ของแขวงการทางกำลังเร่งตักดินออกเพื่อให้ยานพาหนะผ่านไปมาได้ โดยเฉพาะรถขนาดเล็กที่ติดอยู่เป็นช่วงๆ ในป่าระหว่างอำเภอปางมะผ้า กับอำเภอปาย ส่วนการแก้ไขปัญหาขณะนี้ ทางแขวงการทางจัดเจ้าหน้าที่พร้อมกับเครื่องจักรกลหนักออกไปทำการสร้างทางเบี่ยงลำลอง เพื่อให้ยานพาหนะขนาดเล็กสามารถผ่านไปมาได้ชั่วคราว


-พระราชทานถุงยังชีพช่วยพิจิตร


วันเดียวกัน นายดิสธร วัชโรทัย ผู้อำนวยการกองงานส่วนพระองค์ ผู้แทนมูลนิธิราชประชานุเคราะห์ พร้อมคณะเดินทางมาที่วัดกำแพงดิน หมู่ที่ 4 ต.กำแพงดิน อ.สามง่าม จ.พิจิตร เพื่อนำสิ่งของพระราชทาน พร้อมกับพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจำนวน 520 ชุดไปแจกจ่ายให้กับผู้ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ 12 หมู่บ้าน ของต.กำแพงดิน อ.สามง่าม หลังจากประชาชนในพื้นที่ได้รับความเดือดร้อนจากน้ำยมเอ่อล้นตลิ่ง

นายดิสธร กล่าวต่อว่า การนำสิ่งของพระราชทานมามอบให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใยพสกนิกรที่ประสบภัยจากเหตุการณ์น้ำท่วม ซึ่งในพื้นที่จ.พิจิตร ทางมูลนิธิได้นำสิ่งของพระราชทานมาแจกจ่ายให้กับพี่น้องชาวอำเภอสามง่ามหลายตำบล การช่วยเหลือครั้งนี้ พระองค์ท่านรู้สึกเป็นห่วงพี่น้องที่ประสบภัยในครั้งนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมชัย หทยตันติ รองผู้ว่าฯพิจิตร พร้อมด้วยนายไพศาล พันพึ่ง ชลประทานจ.พิจิตร และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเดินทางไปตรวจสถานการณ์น้ำท่วมหลังจากน้ำในแม่น้ำยมเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านประชาชน 3 ตำบล คือ ต.สามง่าม ต.กำแพงดิน และต.รังนก กว่า 4,000 หลัง ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก นอกจากนี้ถนนสายหลักรังนก-เนินปอ ถูกน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร

ภายหลังการตรวจเยี่ยมราษฎรในพื้นที่ที่ประสบภัย นายสมชัยกล่าวว่า ขณะนี้ชาวบ้านในพื้นที่ 4 อำเภอ 11 ตำบล 80 หมู่บ้าน กำลังได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก เนื่องจากน้ำในแม่น้ำทั้งยมและน่านเอ่อล้นตลิ่ง พื้นที่ที่น่าเป็นห่วงมากขณะนี้คือตำบลรังนก ตำบลสามง่าม ตำบลกำแพงดิน ที่ถูกน้ำในแม่น้ำยมเอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมบ้านกว่า 4,000 หลัง

นายสมชัยกล่าวต่อว่า นอกจากนี้ถนนระหว่างสายหลักระหว่างตำบลรักนก-ตำบลเนินปอ ถูกน้ำท่วมตัดขาด รถไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ทางจังหวัดนำเรือไปเพิ่มให้อีก 4 ลำ เพื่อให้ทางอำเภอคอยออกไปช่วยเหลือราษฎรในเบื้องต้นแล้ว ที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดคือชาวบ้านเนินยุ้ง ต.รังนก น้ำท่วมสูงกว่า 4 เมตร บ้านสองขั้นถูกน้ำท่วม ทางอำเภอเร่งเอาเรือท้องแบนออกไปช่วยชาวบ้านขนสิ่งของเอาไปไว้ในที่ปลอดภัยแล้ว


-อุตุฯเตือนฝนหนักเข้าไทยอีก


เมื่อเวลา 08.00 น. ศูนย์อุตุนิยมวิทยาภาคเหนือ ออกประกาศเตือนฉบับที่ 1 เรื่องฝนตกหนักถึงหนักมากว่า ด้วยร่องฝนซึ่งพาเมฆและฝนจำนวนมากพาดผ่านภาคเหนือ มีกำลังแรงขึ้นอีก ในวันที่ 12-14 ก.ย.นี้ ทำให้มีฝนตกต่อเนื่อง ปริมาณฝนตกหนักถึงหนักมากในหลายพื้นที่ของภาคเหนือ ขอให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย ที่ลุ่มลำน้ำ ที่ลาดเชิงเขา และใกล้ทางน้ำไหล ของจ.เชียงใหม่ตอนล่าง แม่ฮ่องสอน ลำพูน ลำปาง สุโขทัย พิษณุโลก พิจิตร เพชรบูรณ์ เตรียมการป้องกันและระวังอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากภัยธรรมชาติ ฝนตกหนักถึงหนักมาก น้ำป่าไหลหลาก น้ำท่วมฉับพลัน ดินโคลนลื่นไถล น้ำล้นตลิ่ง และน้ำท่วมขัง ในระยะ 1-3 วันนี้ ตลอดจนติดตามสภาพอากาศได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-5327-7919, 0-5392-2365 และ 0-5328-1271 พื้นที่ฝนตกจาก เรดาร์ตรวจอากาศ และการระวังภัยธรรมชาติในฤดูฝน ใน www.cmmet.com ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

วันเดียวกัน เวลา 15.25 น. กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศเตือนฉบับที่ 1 เรื่อง หย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงในทะเลจีนใต้ ว่า เมื่อเวลา 15.00 น. วันนี้ มีหย่อมความกดอากาศต่ำกำลังแรงในทะเลจีนใต้บริเวณละติจูดที่ 19 องศาเหนือ ลองจิจูด 116 องศาตะวันออก ส่งผลให้มีแนวพัดสอบของลมพาดผ่านบริเวณภาคใต้ตอนบนและภาคตะวันออก เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำนี้ ลักษณะเช่นนี้จะทำให้มีฝนตกกระจายถึงเกือบทั่วไป ในบริเวณภาคกลางตอนล่าง ภาคใต้ตอนบน ภาคตะวันออก และอ่าวไทยตอนบน โดยจะมีฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณจ.ระยอง จันทบุรี ตราด เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และชุมพร ซึ่งอาจเกิดน้ำท่วมฉับพลันและน้ำป่าไหลหลากในบริเวณดังกล่าวได้ ขอให้ประชาชนระมัดระวังอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ และติดตามข่าวอากาศจากกรมอุตุนิยมวิทยาอย่างใกล้ชิด ซี่งกรมอุตุนิยมวิทยาจะแจ้งให้ทราบเป็นระยะๆ ต่อไป อนึ่ง การเดินเรือในอ่าวไทยตอนบนควรเพิ่มความระมัดระวัง โดยเฉพาะบริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองจะมีคลื่นสูงประมาณ 2-3 เมตร


-"อยุธยา"ระดมรับมือน้ำเหนือทะลัก


วันเดียวกัน ว่าที่ ร.ต.สมทรง สรรพโกศลกุล นายกเทศมนตรีเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา ประกาศเตือนชาวบ้านที่ปลูกสร้างอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ป่าสัก ลพบุรี ที่ไหลมารวมกันที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และบริเวณริมคลองเมือง ในเขตเทศบาลนครพระนครศรีอยุธยา ให้ระวังน้ำเหนือในแม่น้ำล้นตลิ่งท่วมบ้านเรือนริมแม่น้ำ โดยเฉพาะในคลองเมืองทิศเหนือ และริมแม่น้ำเจ้าพระยา

ทั้งนี้ เพราะน้ำเหนือหลากได้มาถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยาแล้ว โดยทางเทศบาลเตรียมเครื่องสูบน้ำขนาดใหญ่กว่า 30 เครื่องไว้เตรียมพร้อมหากน้ำล้นตลิ่งท่วมบ้านเรือนประชาชน ฝั่งตรงข้ามเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา สำหรับเขตเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยาพบว่า ยังไม่ได้รับผลกระทบ เพราะแนวถนนอู่ทองที่เป็นเขื่อนรอบเกาะพระนครศรีอยุธยามีการปรังปรุงไว้สูงแล้ว

สำหรับที่เขตโบราณสถาน เช่น ที่วัดไชยวัฒนารามพบว่าสำนักงานศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยาวางกำแพงแนวเขื่อนด้านหน้าวัดยาวประมาณ 450 เมตร สูง 2.5 เมตร ตลอดแนวเพื่อป้องกันน้ำท่วมแล้ว แต่พบว่าระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาเหลืออีกประมาณ 80 ซ.ม. จะล้นตลิ่งวัดไชยวัฒนาราม

ด้านนายเอนก สีหามาตย์ ผู้อำนวยการสำนักงานศิลปากรที่ 3 พระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานศิลปากรที่3 พระนครศรีอยุธยาติดตั้งพนังกันน้ำในพื้นที่เสี่ยง เช่น วัดไชยวัฒนาราม และหมู่บ้านโปรตุเกสเสร็จทั้งหมดแล้ว ส่วนโบราณสถานป้อมเพชร ยืนยันว่าเขื่อนด้านหน้าที่เพิ่งทำไปเมื่อต้นปี ยังคงรองรับแรงกระแทกของน้ำที่ไหลมาบรรจบกันระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยากับแม่น้ำป่าสักได้ สำหรับโบราณสถานที่ยังคงน่าเป็นห่วงขณะนี้ คือหากฝนตกลงมาอีก 2-3 วัน ด้านท้ายเขื่อนเจ้าพระยา โบราณสถานฝั่งวัดกุฎีดาวติดคลองเมือง อ.พระนครศรีอยุธยาอาจถูกน้ำท่วมได้

ด้านนายสมชาย ชุ่มรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า สำหรับปริมาณน้ำที่ไหลผ่านจังหวัดพระนครศรีอยุธยา แม่น้ำเจ้าพระยา หน้าพระตำหนักสิริยาลัย ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ขณะนี้เหลืออีก 2 เมตร น้ำจะล้นตลิ่ง ส่วนระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาในเขตอำเภอบางบาล ซึ่งเป็นพื้นที่ต่ำสุดของจังหวัด พบว่าในบางตำบลเช่น ตำบลบ้านกุ่ม ตำบลบางชะนี ตำบลบางหลวง ในบางจุดน้ำเจ้าพระยาล้นตลิ่งแล้ว ส่วนแม่น้ำลพบุรี ต.มหาราช อ.มหาราช เหลืออีก 62 เซนติเมตร น้ำจะล้นตลิ่ง แม่น้ำป่าสัก ที่หน้าสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด เหลืออีก 2.38 ซ.ม. น้ำจะล้นตลิ่ง และในแม่น้ำน้อยล้นตลิ่งเข้าท่วมใน 4 อำเภอ คือ อำเภอผักไห่ อำเภอเสนา อำเภอบางบาล และอำเภอบางไทร โดยท่วมในเขตตำบลที่ติดแม่น้ำน้อย


-กรมทรัพยากรฯ เฝ้าระวังดินถล่ม


วันเดียวกัน กรมทรัพยากรธรณี รายงานผลการตรวจสอบพื้นที่และความเสียหายจากเหตุการณ์น้ำป่าไหลหลาก และดินไหลทับบ้านเรือนราษฎรในพื้นที่ อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 11 กันยายน ที่ผ่านมาว่า เหตุการณ์เกิดขึ้นบริเวณเขากระเบียด ซึ่งเป็นเขตติดต่อระหว่าง จ.สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช สภาพพื้นที่มีความลาดชันสูง ประกอบด้วยหินแกรนิตผุเป็นดินทรายร่วนหนา จากผลการตรวจสอบพื้นที่บริเวณที่ได้รับผลกระทบจากเหตุธรณีพิบัติภัยครั้งนี้มี 2 บริเวณ คือ บริเวณแรก ที่บ้านสวนกล้วย ม.17 ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี มีบ้านเรือนเสียหายทั้งหลังจำนวน 3 หลัง และเสียหายบางส่วนอีก 7 หลัง ส่วนบริเวณที่ 2 ที่บ้านห้วยทราย ม.7 บ้านเหนือคลอง ม.2 ต.ห้วยปริก อ.ฉวาง จ.นครศรีธรรมราช มีบ้านเรือนเสียหายบางส่วน 28 หลัง

ส่วนสาเหตุเกิดจากฝนซึ่งตกหนักและต่อเนื่อง วัดปริมาณน้ำฝนได้ 130 มิลลิเมตร ทำให้ดินทรายร่วนที่เกิดจากหินแกรนิตผุ อุ้มน้ำและไหลลงมาตามความลาดชันของภูเขา อย่างไรก็ตาม กรมทรัพยากรธรณีเคยจัดตั้งเครือข่ายเฝ้าระวังดินถล่มในพื้นที่นี้มาแล้ว เมื่อปี พ.ศ.2547 และ 2548 โดยได้มอบอุปกรณ์วัดปริมาณน้ำฝนสำหรับการเฝ้าระวังเหตุธรณีพิบัติภัยด้วย และเครือข่าย ทั้ง 2 จังหวัด ได้ดำเนินการตามแผนการเฝ้าระวังของกรมทรัพยากรธรณีอย่างเคร่งครัด จึงช่วยบรรเทาความเสียหายร้ายแรงลงได้

สำหรับรอยแยกบนเขาในเขต อ.ท่าวังผา จ.น่าน พบว่าสภาพพื้นที่เป็นลาดไหล่เขา ราษฎรแผ้วถางป่าทำไร่ข้าวโพด ผลการตรวจสอบพื้นที่ รอยแยกเกิดขึ้นบนเขาที่ระดับความสูงประมาณ 540 เมตร ลักษณะเป็นรูปครึ่งวงกลม ยาว 50 เมตร และทรุดตัวลงไปประมาณ 80 เซนติเมตร หากรอยแยกนี้มีการเคลื่อนตัว จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่พื้นที่เกษตรกรรม และดินโคลนจะไหลลงสู่ห้วยน้ำลัก ทำให้ตื้นเขิน กรมทรัพยากรธรณีได้มอบอุปกรณ์วัดปริมาณน้ำฝนให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่น เพื่อใช้ในการติดตามและเฝ้าระวังภัย และอธิบายวิธีใช้อุปกรณ์ที่มอบให้ และการเฝ้าระวังแจ้งเตือนภัยในบริเวณดังกล่าวแล้ว


-คลื่นซัดเรือนักท่องเที่ยวอับปาง


เมื่อเวลา 16.30 น. นายชัยศักดิ์ แสวงผล หัวหน้าศูนย์ช่วยเหลือนักท่องเที่ยว อบจ.กระบี่ รับแจ้งจากพลเมืองดีว่ามีเหตุเรือหางยาวบรรทุกนักท่องเที่ยวเกิดอับปางที่บริเวณหน้าเกาะห้อง อุทยานแห่งชาติธารโบกขรณี อ.อ่าวลึก จ.กระบี่ หลังรับแจ้งเหตุ จึงนำเรือตรวจการณ์ 3 พร้อมกำลัง 6 นาย ออกไปช่วยเหลือ

เมื่อไปถึงเกาะห้อง พบว่านักท่องเที่ยวว่ายน้ำข้ามฝั่งขึ้นไปที่บนเกาะห้องทั้งหมด จำนวน 13 คน ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ เรือหางยาวบรรทุกนักท่องเที่ยวทั้ง 2 ลำอับปาง ประกอบกับน้ำลงและมีคลื่นลมแรงซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งประมาณ 100 เมตร ต่อมาทราบว่าเป็นคณะนักท่องเที่ยวชาวไทย จากอบต.ขามใหญ่ อ.เมือง จ.อุบลราชธานี เดินทางมาทัศนศึกษาในจ.กระบี่ และนั่งเรือมาเที่ยวทะเล เนื่องจากช่วงเช้า ท้องทะเลกระบี่ฟ้าใสและทะเลเรียบ ไม่มีคลื่นลม หลังจากนั้นเรือตรวจการณ์ 3 อบจ.กระบี่นำขึ้นฝั่งหาดคลองม่วง ต.หนองทะเล โดยปลอดภัย

ด้านนายกวี สุคันธเมศร์ หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดกระบี่ กล่าวว่าสภาพอากาศทั่วไปในจังหวัดกระบี่ในช่วง 3-4 วันนี้ ร่องความกดอากาศต่ำพาดผ่าน ทำให้ฝนตกหนักเป็นบางแห่ง ในทะเลคลื่นลมแรง คลื่นสูง 2-3 เมตร เรือเล็กควรเดินเรือด้วยความระมัดระวังห้ามออกจากฝั่ง หากมีความจำเป็นจริงให้สวมเสื้อชูชีพ และติดตามข่าวพยากรณ์อากาศเป็นระยะๆ


แหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์ข่าวสด

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์