´สพรั่ง´ มีเทป 2 จุด โยงคนมีสีบอมบ์กลับบิ๊กจิ๋ว

"เหตุระเบิดป่วนกรุงฯ"


จากเหตุการณ์คนร้ายลอบวางระเบิดป่วนกรุง ในวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีโทรศัพท์ลึกลับขู่วางระเบิดตามสถานที่ต่างๆตามมาอย่างต่อเนื่อง สร้างความแตกตื่นขวัญผวาไปตามๆกัน โดย พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ระบุว่าเป็นฝีมือของกลุ่มผู้สูญเสียประโยชน์ทางการเมือง พร้อมทั้งกำชับให้ผู้เกี่ยวข้องหามาตรการป้องกันเหตุร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นอีก รวมทั้งเร่งสาวหาขบวนการก่อวินาศกรรมกลางกรุงมาดำเนินคดีให้ได้

ขู่บึม ร.ร.ใกล้หอประชุม ทบ.

เหตุการณ์โทรศัพท์ข่มขู่วางระเบิดโรงเรียนยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 4 ม.ค. ร.ต.อ.สมพร งามวงศ์ หัวหน้าสายตรวจ สน.สามเสน รับแจ้งจากอาจารย์ฝ่ายปกครองโรงเรียนราชวินิต แผนกประถมศึกษา ถนนนครราชสีมา แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กทม. ใกล้กับหอประชุมกองทัพบก ว่ามีชายลึกลับโทรศัพท์ไปที่โรงเรียน พูดว่าจะมีระเบิดข้างโรงเรียนให้ระวัง จากนั้นก็วางสายไป เจ้าหน้าที่จึงประสานหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิดของกรมสรรพาวุธทหารบก ไปร่วมตรวจสอบ พบทางโรงเรียนยังคงสอนตามปกติ และอาจารย์ได้สั่งให้ปิดประตูเข้า-ออกโรงเรียนทุกด้าน

เพื่อให้นักเรียนประมาณ 1,000 คน อยู่แต่ภายในโรงเรียน จากนั้นให้เจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจนำอุปกรณ์ตรวจวัตถุระเบิดตรวจค้นอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุมทั่วทั้งโรงเรียน ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ อาจารย์รายหนึ่งเปิดเผยว่า ไม่มีเหตุการณ์อะไร และไม่อยากให้เป็นข่าวตื่นเต้นจนผู้ปกครองเด็กตกใจ เนื่องจากได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบแล้ว อีกทั้งทางโรงเรียนก็เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดขึ้น คาดว่า เป็นการขู่ให้เกิดความปั่นป่วน

ที่ดอนเมืองผวาปิดเรียนทันที

ต่อมาเวลา 10.00 น. พ.ต.ท.อุดร แก้วสุขศรี รอง ผกก.สส.สน.ดอนเมือง รับแจ้งเหตุโทรศัพท์ขู่วางระเบิดที่โรงเรียนประชาอุทิศ จันทาบอนุสรณ์ ถนนประชาอุทิศ แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กทม. จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ พร้อมประสานหน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด บก.ตปพ.บช.น. และสุนัขพิสูจน์กลิ่นระเบิดไปตรวจสอบ พบโรงเรียนเปิดสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาล 1-ม.3 มีนักเรียนประมาณ 1,000 คน โดยทางอาจารย์ได้พาเด็กลงจากอาคารเรียนไปยืนรวมกันที่หน้าเสาธง

แล้วเจ้าหน้าที่ใช้อุปกรณ์ตรวจค้นวัตถุระเบิดทุกซอกทุกมุมทั่วอาคารนานประมาณ 2 ชั่วโมง แต่ไม่พบสิ่งผิดปกติ ขณะที่ทางโรงเรียนเห็นว่าเด็กแตกตื่นตกใจกลัว ไม่มีสมาธิจะเรียนหนังสือ จึงประกาศหยุดเรียนทันที พร้อมกับแจ้งให้ผู้ปกครองไปรับเด็กกลับบ้าน อาจารย์รายหนึ่งเปิดเผยว่า ประมาณ 10 โมงเศษ มีเสียงผู้ชายโทรศัพท์ไปขู่ว่าได้วางระเบิดไว้ที่โรงเรียน จากนั้นก็วางหู ทางโรงเรียนแจ้งให้ เด็กทุกคนออกจากห้องไปทำกิจกรรมข้างล่าง ก่อนแจ้งให้ตำรวจทราบ

รังสิตผวาขู่บอมบ์แตกตื่น


ขณะที่เมื่อเวลา 17.00 น. พ.ต.ท.วิเชียร ไตรโลกา สารวัตรเวร สภ.อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี พร้อมด้วย พ.ต.อ.มาโนช สถิตพานิช รอง ผบก.ภ.จ.ปทุมธานี และเจ้าหน้าที่วิทยาการ ไปตรวจสอบเหตุระเบิดในถังขยะหน้าอาคารตลาดสดแพปลา ในตลาดไท หมู่ 9 ต.คลองหนึ่ง จนสร้างความแตกตื่นว่า เป็นการลอบวางระเบิด ปรากฏว่าพบกระป๋องสีสเปรย์ 4 กระป๋อง และมีเศษโฟม กล่องกระดาษถูกไฟเผาอยู่ในถังขยะ สอบสวนคาดว่ามีคนทิ้งก้นบุหรี่ลงถังขยะ ทำให้ไฟลุกติดเศษกระดาษกับกล่องโฟมในถัง

แล้วเกิดเสียงระเบิดดังขึ้น 3 ครั้ง คาดว่ากระป๋องสีคงถูกความร้อนจนเกิดระเบิดขึ้น ด้าน พ.ต.อ.มาโนชเปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้มีผู้ไม่หวังดีโทรศัพท์แจ้งมีการวางระเบิดที่ศูนย์การค้าฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต ตรวจสอบแล้วไม่พบ นอกจากนี้ ยังมีการขู่วางระเบิดที่โรงภาพยนตร์เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ สาขารังสิต และห้างสรรพสินค้าเทสโก้ โลตัส สาขารังสิต ทำให้ประชาชนแตกตื่น แต่ตรวจสอบแล้วไม่พบระเบิดเช่นกัน

โรงเรียนที่นนท์ก็โดนป่วน


เวลาไล่เลี่ยกัน พ.ต.ท.สุนทร ชี่นชิด สารวัตรเวร สภ.อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี รับแจ้งว่ามีโทรศัพท์ขู่วางระเบิด รร.นันทวรวิทย์ หมู่ 5 ต.โสนลอย นำกำลังพร้อมสุนัขตำรวจจาก บก.ภ.จ.นนทบุรี ไปตรวจสอบ พบนักเรียน รร.นันทนวรวิทย์ และ รร.ดุสิตพณิชยการตั้งอยู่ภายในบริเวณเดียวกันกว่า 1 พันคน ออกมายืนออหน้าอาคารเรียนในสภาพสีหน้าตื่นตระหนก ต่อมาทางโรงเรียนได้ปล่อยให้กลับบ้านทั้งหมดเพื่อความปลอดภัย

จากการตรวจสอบบนชั้น 3 ของอาคารเรียนพบกล่องใส่นม บนกล่องมีตัวหนังสือคล้ายภาษายาวี และภาษาไทยว่า ของฝากจากปัตตานี ภายในมีหนังสือพิมพ์ดีดหลายเล่ม เบื้องต้นเชื่อว่าเป็นการสร้างสถานการณ์เนื่องจากตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ที่โทร.มาขู่นั้น ระบุโทร.มาจากตู้สาธารณะหน้าไปรษณีย์บางบัวทอง ห่างจากโรงเรียนเพียง 500 เมตร

รวบมือป่วนขาพิการ


วันเดียวกัน พล.ต.ต.วรัญวัส การุณยธัช ผบก.น.8 ได้แถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหาขู่วางระเบิดป่วนเมือง โดย พ.ต.ท.สถิตย์ สังข์ประไพ สว.สส. สน.บุคคโล ติดตามจับกุมตัวนายประภัสสร หรือต้น พรสุรินทร์ อายุ 30 ปีอยู่บ้านเลขที่ 165 ซอยวุฒากาศ 57 แขวงบางค้อ เขตจอมทอง ฝั่งธนบุรี ซึ่งขาพิการข้างซ้ายลีบมาตั้งแต่เกิด หลังจากเมื่อคืนวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา ใช้โทรศัพท์มือถือโทร.เข้าศูนย์วิทยุผ่านฟ้า (191) ขู่วางระเบิดห้างสรรพสินค้าเดอะมอลล์ สาขาท่าพระ

จนปั่นป่วนไปทั้งห้างฯ โดยยึดของกลางโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อโนเกีย รุ่น 3310 ให้การรับสารภาพว่า ทำลงไปเพราะเกลียดรัฐบาลชุด คมช. ที่ไม่ให้อดีตนายกฯทักษิณกลับเข้าประเทศ และกลัวว่ารัฐบาลชุดนี้จะยกเลิกนโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค เพราะต้องใช้บัตรไปรับยามารับประทาน จึงแจ้งข้อความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงาน และแจ้งข้อความแก่เจ้าพนักงานสืบสวนคดีอาญาว่า ได้มีการกระทำความผิดโดยรู้ว่ามิได้การกระทำผิดเกิดขึ้น และแกล้งบอกเล่าความเท็จ จนประชาชนตื่นตกใจ

สำหรับประวัตินายประภัสสร หรือต้น พรสุรินทร์ ผู้ต้องหารายนี้ เคยเข้าคัดเลือกทหารเกณฑ์ ปรากฏว่าแพทย์ได้ตรวจร่างกายพบมีอาการทางประสาท ประเภทโรคจิตวิปริต ปัจจุบันเข้ารับการบำบัดที่โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา และยังมีโรคชักกระตุกมาตั้งแต่กำเนิด จนทำให้ขาซ้ายพิการ

ที่นนท์จับนักเรียน ม.1


ส่วนกรณีมีหญิงลึกลับโทร.ขู่วางระเบิดโรงเรียนศรีบุณยานนท์ ถนนนนทบุรี 1 ต.ตลาดขวัญ อ.เมืองนนทบุรี เมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา จนทางโรงเรียนได้ปล่อยนักเรียนกลับบ้านหมด และจากการตรวจสอบไม่พบระเบิดนั้น มีรายงานว่า ตอนสายวันที่ 4 ม.ค. พ.ต.อ.สถิตย์ ต้นสงวน รอง ผบก.ภ.จ.นนทบุรี สั่งการให้ พ.ต.ท.พฤฒ จำรูญศาสตร์ สว.สส.สภ.อ.เมืองนนทบุรี ตรวจสอบหมายเลขโทรศัพท์ที่โทร.มาขู่วางระเบิด จนสามารถจับกุมผู้ก่อเหตุได้เป็นเด็กหญิงอายุ 12 ปี นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนดังกล่าว

สอบถามยอมรับว่ายืมโทรศัพท์ของเพื่อนนักเรียนมาโทร.ขู่โรงเรียนด้วยความคึกคะนอง เนื่องจากทราบว่าโรงเรียนเขมาภิรตาราม ถูกโทร.ขู่วางระเบิดและนักเรียนถูกปล่อยกลับบ้าน จึงโทร.ขู่เพื่อต้องการกลับบ้านบ้าง ไม่นึกว่าจะกลายเป็นเรื่องราวใหญ่โต หลังสอบสวนได้นำตัวเด็กพร้อมผู้ปกครองเข้าพบนายเชิดวิทย์ ฤทธิประศาสน์ ผวจ.นนทบุรี เพื่อรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นให้ทราบและดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป

เผาแล้วเหยื่อบึมคลองเตย


เย็นวันเดียวกันนี้ ที่วัดคลองเตยใน ได้มีพิธีฌาปนกิจศพนายสุวิทย์ชัย นาคเอี่ยม อายุ 61 ปี เหยื่อระเบิดหน้าศาลเจ้าพ่อเสือ กลางตลาดคลองเตย โดยมีนายธีรภัทร์ เสรีรังสรรค์ รมต.สำนักนายกรัฐมนตรี พล.อ.สุรพันธ์ พุ่มแก้ว ผบช.หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา และนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ผู้ว่าฯ กทม. ไปร่วมพิธี ท่ามกลางบรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า โดยนายธีรภัทร์ได้มอบเงินจำนวนหนึ่งให้กับนางศรีลักษณ์ อุนัยบัน อายุ 48 ปี ภรรยาผู้เสียชีวิต

พร้อมเปิดเผยว่า เป็นเรื่องที่ทำเหี้ยมโหดมาก ถือเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรง ส่วนนางศรีลักษณ์ กล่าวว่า ภายหลังเกิดเหตุ เสียใจที่สุด ท้อและหดหู่ แต่วันนี้ได้กำลังใจจากเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย รู้สึกไม่ถูกทอดทิ้ง ซึ่งจะต้องมีชีวิตเพื่อดูแลลูกอีก 3 คนต่อไป

ผบ.ตร.ยันรายงานเหตุตลอด


พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร. กล่าวว่า ได้สั่งเพิ่มกำลังตำรวจสันติบาล และตำรวจสอบสวนกลาง เข้าพื้นที่ กทม. และพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 1 โดยให้เน้นหาข่าวความ เคลื่อนไหวกลุ่มต่างๆที่จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ ส่วนการป้องกันและดูแลความปลอดภัยให้กับประชาชน ภายหลังเกิดเหตุระเบิดในกรุงเทพฯ ได้มีการทำงานร่วมกัน โดยฝ่ายทหารได้เสริมกำลังร่วมปฏิบัติการกับตำรวจ โดยเฉพาะจุดที่มีประชาชนพลุกพล่าน แหล่งชุมชนและสถานที่ราชการสำคัญ เพื่อให้ประชาชนเกิดความอุ่นใจ

และมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน สำหรับการปฏิบัติงานตำรวจในคดีสำคัญได้มีการรายงานให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. และประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. และ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี รับทราบความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งทหารและตำรวจได้มีการร่วมประชุมในงานเกี่ยวกับความมั่นคง ยืนยันว่าไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างตำรวจและทหาร ผมเป็นเพื่อนร่วมรุ่น (ตท.6) รุ่นเดียวกับ พล.อ.สนธิ และ พล.อ.สนธิก็เป็นประธานคมช. ดังนั้น ในฐานะเป็นสมาชิก คมช.ด้วย ยิ่งต้องทำงานช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ เพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง

โทร.ป่วนโทษถึงติดคุก


ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ท.จงรัก จุฑานนท์ ผู้ช่วย ผบ.ตร.ปป.1 ในฐานะหัวหน้าชุดสอบสวนคดีระเบิดป่วนกรุง ได้กล่าวเตือนประชาชนที่โทรศัพท์ไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อให้เกิดความวุ่นวาย โดยเฉพาะผู้ที่โทรศัพท์ ป่วนบ้านป่วนเมือง โดยแยกออกเป็น 2 ประเภท ประเภทแรกคือพวกเจตนาที่จะก่อให้เกิดความปั่นป่วนในบ้านเมือง ส่วนอีกพวกคือนึกสนุกตามแห่ไปด้วย แต่ทั้ง 2 พวกนี้มีความผิดเท่ากัน กฎหมายระบุไว้ชัดเจนว่า ผู้ใดทำให้ผู้อื่นตกใจกลัวด้วยการขู่เข็ญ หรือทำด้วยวิธีการต่างๆ นานา มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 1,000 บาท ถ้าเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมได้จะต้องดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด

พล.ต.ท.จงรักกล่าวต่อว่า ส่วนที่มีการแจ้งว่าพบกล่องวัตถุต้องสงสัย ต้องขอบคุณประชาชนที่ให้ความร่วมมือ เพราะจะเป็นประโยชน์อย่างมาก แต่พวกที่นึกสนุก โทร.มาแจ้งว่ามีวางระเบิดอย่างโน้นอย่างนี้ ขอให้เลิกการกระทำเสีย เพราะตำรวจจะต้องสืบสวน และประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หาที่มาของการโทรศัพท์ โดยสามารถหาตำแหน่งจุดที่โทร.ได้ และหากจับกุมตัวได้ จะต้องถูกดำเนินคดี สอบสวนถึงที่มาที่ไป เบื้องหน้าเบื้องหลัง จนทำให้ครอบครัวจะเดือดร้อน ในส่วนของพวกที่นำกล่องไปวางโดยไม่มีอะไร แล้วแกล้งโทรศัพท์แจ้งตำรวจ ก็ถือว่ามีความผิดเหมือนกัน เพราะทำให้พี่น้องประชาชนตกใจกลัว ดังนั้น ต้องถูกดำเนินคดีเช่นกัน ผู้สื่อข่าวถามว่า พวกที่โทร.ข่มขู่ขณะนี้ดำเนินการตรวจสอบหรือจับกุมบ้างหรือยัง พล.ต.ท.จงรักตอบว่า ได้ประสานงานกับทางทหารเพื่อสืบสวนถึงแหล่งที่มาแล้ว

สันติบาลปิดปากเงียบ


วันเดียวกัน พล.ต.ท.ธีระเดช รอดโพธิ์ทอง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล เรียกประชุมสายข่าวในสังกัด โดยปฏิเสธที่จะตอบข้อถามว่า สันติบาลเป็นผู้รายงานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อยู่เบื้องหลังการสั่งลอบวางระเบิดทั้ง 8 จุด ตามที่เป็นข่าวหรือไม่ ขณะที่ พล.ต.ท.ปรัชญา สุทธปรีดา ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 กล่าวถึงมาตรการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่รับผิดชอบของตำรวจภูธรภาค 1 หลังเกิดเหตุลอบวางระเบิดป้อมตำรวจจราจรแยกแครายและโทรศัพท์ขู่วางระเบิดอีกหลายจุดว่า ได้กำชับตำรวจในสังกัดทั้ง 13,000 นาย

เข้มงวดการตรวจตราและตรวจค้นตามจุดสำคัญ รวมทั้งจุดล่อแหลมต่อการลอบวางระเบิด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ นอกจากนี้ ยังประสานด้านการข่าวกับกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง กองบัญชาการตำรวจสันติบาล จึงขอความร่วมมือประชาชน หากพบเห็นความไม่ชอบมาพากล ให้รีบแจ้งตำรวจไปตรวจสอบทันที โดยเฉพาะตามห้างสรรพสินค้า สถานที่ราชการ และแหล่งท่องเที่ยวต่างๆ

เผยยอดโทร.ขู่บึมในกรุง


พล.ต.ท.วิโรจน์ จันทรังษี ผบช.น. แถลงข่าวถึงกรณีมีผู้ไม่หวังดีโทรศัพท์ขู่วางระเบิด และประชาชนจำนวนมากโทรศัพท์เข้าไปแจ้งเหตุพบวัตถุต้องสงสัยว่า ตั้งแต่วันที่ 1-4 ม.ค. มีผู้ไม่หวังดีโทรศัพท์ขู่วางระเบิด จำนวน 24 ราย เฉพาะวันที่ 4 ม.ค. มีทั้งสิ้น 5 ราย ส่วนกรณีที่ประชาชนโทรศัพท์แจ้งพบวัตถุต้องสงสัยตั้งแต่วันที่ 1-4 ม.ค. มีจำนวน 123 ราย เฉพาะวันที่ 4 ม.ค. มี 27 ราย โดยสถิติการรับแจ้งเหตุนับเฉพาะในส่วนหมายเลขโทรศัพท์ 191 เท่านั้น

ยังไม่รวมการรับแจ้งเหตุจากหน่วยงานอื่นๆ นอกจากนี้ ในแต่ละวันจะมีประชาชนโทรศัพท์เข้ามาแจ้งเหตุที่หมายเลข 191 มากถึงวันละ 10,000-20,000 ราย พร้อมขอความร่วมมือจากประชาชนอย่าคิดเป็นเรื่องสนุก เพราะจะสร้างความเสียหายขึ้นแก่สังคม รวมทั้งเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องทำงานหนักขึ้น ส่วนการป้องกันเหตุต่างๆ ผบช.น. กล่าวว่า ได้ประสานงานร่วมกับทหารศูนย์ปฏิบัติการ กองอำนวยการความมั่นคงภายใน เพื่อตรวจสอบข้อมูลข่าวสาร และสนธิกำลังตรวจร่วมตามสถานที่ต่างๆ ก่อนจะติดตั้งกล้องโทรทัศน์วงจรปิด ขณะเดียวกันได้จัดตั้งศูนย์รับแจ้งเหตุให้เพิ่ม เพราะปัจจุบันประชาชนมีส่วน ช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่บ้านเมืองมากขึ้น หลังจากได้จัดการอบรมเพื่อเฝ้าระวังเหตุให้กับพลังมวลชนต่างๆ

รมว.กลาโหมชี้สองสีทำวุ่น


ส่วนที่ รพ.รามาธิบดี เมื่อเวลา 08.00 น. พล.อ.บุญรอด สมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เข้าเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ระเบิด 8 จุด ในพื้นที่ กทม. เมื่อวันที่ 31 ธันวาคม ที่ผ่านมา พร้อมมอบเงินช่วยเหลือรายละ 3,000 บาท จากนั้นให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวว่า เหตุการณ์ ระเบิด 8 จุดในพื้นที่ กทม.จากการสรุปของหน่วยงานด้านความมั่นคงว่า สาเหตุเกิดจากผู้ที่เสียอำนาจต้องการดิส เครดิตรัฐบาล และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) สาเหตุค่อนข้างให้น้ำหนักเป็นเรื่องการเมืองกว่า 90 เปอร์เซ็นต์

การเมืองมีกลุ่มที่มีศักยภาพ ที่ทำได้มีอยู่ไม่กี่คน ผู้ที่ทำงานชิ้นนี้ได้มีทั้งพลเรือน ตำรวจ และทหาร พลเรือนหมายถึงผู้ที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี ที่มีทางภาคใต้ และต่างประเทศ เราวิเคราะห์ด้วยเหตุผลพวกนี้ไม่มีโอกาสที่จะมาทำในพื้นที่ชั้นในมันน้อยมาก เพราะฉะนั้นก็เหลือผู้ที่อยู่ข้างในนี้แหละ ที่มีพลเรือน ตำรวจ ทหาร พูดง่ายๆ สองสีนี่แหละ คือสีกากีและสีเขียว มันมีเหตุมีผลที่ทำให้ สถานการณ์วุ่นวายแบบนี้

เมื่อถามว่า ทำไมรัฐบาลและ คมช.เชื่อเป็นกลุ่มอำนาจเก่าที่เสียผลประโยชน์ พอจะโยงไปได้หรือไม่ว่าเป็นรัฐบาลชุดเก่า หรือรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร พล.อ.บุญรอดกล่าวว่า ตอนนี้ขออนุญาตไม่บอกชี้ชัดดีกว่า ต้องรอให้พนักงานสอบสวนพิสูจน์หลักฐานที่จะสาวขึ้นไปเกี่ยวกับคดีดังกล่าว แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่า เราคงจะได้คนผิดมาลงโทษ แต่การที่จะสาวไปถึงตัวแค่ไหนเป็นเรื่องลำบาก เมื่อถามว่า มั่นใจว่าจะจับกุมตัวผู้วางระเบิดได้หรือไม่

เพราะที่ผ่านมาไม่สามารถจับกุมตัวผู้วางระเบิดได้เลย รมว.กลาโหมกล่าวว่า เรื่องนี้ต้องให้โอกาสกับเจ้าหน้าที่ เพราะพอเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ผู้บังคับบัญชา ระดับสูงก็ได้มีการหารือว่าข่าวที่เกิดขึ้นมีการเตือนไปแล้ว แต่ว่าการป้องกันอาจจะยอมรับว่าหละหลวม ทั้งนี้เรามีการเตือนไปกว้างๆว่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นในช่วงก่อนปีใหม่และหลังปีใหม่ เราไม่รู้สถานที่เวลาที่แน่ชัด ความรุนแรงที่เกิดขึ้นเหนือความคาดหมาย

ไม่ทราบเงิน 1,500 ล้านบาท


เมื่อถามว่า รัฐบาลและ คมช.พุ่งเป้าไปที่ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง รมว.กลาโหมกล่าวว่า นายกฯหรือประธาน คมช. ยังไม่ได้ระบุว่าใครอยู่เบื้องหลัง เพียงแต่บอกว่าเป็นผู้ที่สูญเสียอำนาจ ซึ่งกลุ่มนี้ก็มีศักยภาพที่จะมาดิสเครดิตรัฐบาลและ คมช. เมื่อถามว่าการที่ พล.อ.ชวลิต ออกมาพูดในลักษณะว่าถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บงการอยู่ เบื้องหลัง เป็นการบ่งชี้อะไรหรือไม่ พล.อ.บุญรอดกล่าวว่า ตนไม่ทราบ แต่อาจจะมีผู้สื่อข่าวหรือสื่อมวลชนพาดพิง แต่การพาดพิงไม่ได้ออกไปจากปากของนายกรัฐมนตรี ประธาน คมช. และสมาชิก คมช. ซึ่งโยงกันไปเอง

เมื่อถามว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ที่ส่งคนไปควบคุมดูแล พล.อ.ชวลิต ที่บ้านพักซอยปิ่นประภาคม หรือจะเรียกท่านมาสอบสวน พล.อ.บุญรอดกล่าวว่า ไม่มีข่าว แต่คงเป็นเรื่องของทางด้านฝ่ายข่าว และฝ่ายสอบสวนที่พยายามสอบสวนหาหลักฐานเชื่อมโยง ผู้สื่อข่าวถามว่าเชื่อหรือไม่ที่ พล.อ.ชวลิตไปรับเงิน 1,500 ล้านบาท จาก พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อวางระเบิด พล.อ.บุญรอดกล่าวว่า ตนไม่ทราบเรื่องการรับเงิน เมื่อถามว่าเรื่องนี้จะตรวจสอบได้หรือไม่ พล.อ.บุญรอดกล่าวว่า ความจริงไม่สามารถปิดบังกันได้ สักวันต้องเปิดเผยออกมา

ปฏิเสธ คมช.ไม่ได้ทำเสียเอง


ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า หลายคนมองเหตุการณ์ระเบิดครั้งนี้ คมช.ลงมือทำเอง เพื่อกลบข่าวเรื่องของนายกรัฐมนตรี กรณีที่ดินเขายายเที่ยง และประธาน คมช.กรณีสมรสซ้อน พล.อ.บุญรอดกล่าวว่า ไม่ใช่หลายคนมันมีที่บอกว่าสื่อต่างชาติบอกว่าเป็นฝีมือของคนใน ซึ่งไม่ใช่คนของ คมช. หมายถึงคนในเครื่องแบบ คนที่จะทำถ้าตัดพลเรือนออกไป ก็จะเหลือทหารและตำรวจ เนื่องจากสังคมเกิดการแตกแยก มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย เพราะฉะนั้นมีโอกาสสูงที่กลุ่มที่ว่านี้จะมาทำ เมื่อถามว่า ยืนยันใช่หรือไม่ ว่าไม่ได้เป็นการกระทำเพื่อกลบข่าวนายกรัฐมนตรีและประธาน คมช. พล.อ.บุญรอดกล่าวว่า แน่นอนเป็นสามัญสำนึก ถ้าจำกันได้ว่า คมช.เข้ามาเพื่ออะไร คมช.เข้ามาทำงานเพื่อชาติและเพื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

เมื่อถามว่า ประเมินสถานการณ์หรือไม่ว่า ทำไม คมช.และรัฐบาลถึงได้ถูกดิสเครดิตบ่อยครั้ง พล.อ.บุญรอด กล่าวว่า เขาต้องมีขบวนการไล่ ซึ่งเป็นเรื่องของการเมือง เมื่อถามว่า มองอย่างไรที่ช่วงนี้มีข่าวปฏิวัติซ้อน และมีข่าวขู่วางระเบิดในหลายพื้นที่ พล.อ.บุญรอดกล่าวว่า เป็นความเคลื่อนไหวทางการเมือง เมื่อไม่ชอบฝ่ายหนึ่ง ก็ต้องมีการดิสเครดิต เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่เขาวางไว้ต่อไป เมื่อถามว่า หน่วยข่าวได้รับรายงานหรือไม่ว่า คนร้ายเตรียมที่จะก่อเหตุซ้ำสอง โดยมีการไปมาร์กจุดต่างๆ ไว้แล้ว จำนวน 51 จุด พล.อ.บุญรอดกล่าวว่า ข่าวนี้ตามที่เป็นข่าว มีทั้งพวกป่วนเมือง แต่ของจริงมีน้อย เนื่องจากมีการเฝ้าระวัง และติดตามอย่างใกล้ชิด เป็นธรรมดาเมื่อมีการเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดของจริงที่จะเกิดขึ้นก็น้อย ส่วนใหญ่จะเป็นของปลอม แต่เมื่อไหร่ก็ตาม ที่เราเผลอหรือหละหลวม โอกาสที่จะเกิดขึ้นก็มี

สพรั่งเผยมีเทปผู้ต้องสงสัย


ด้าน พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และผู้ช่วยเลขาธิการ คมช. กล่าวถึงการติดตามหาผู้บงการวางระเบิดพื้นที่ กทม.และนนทบุรี ว่า กำลังเดินไปตามทางที่ได้จากสภาพแวดล้อม ความเป็นไปได้ ของกลุ่มบุคคลที่กระทำ ส่วนเรื่องการเชิญนักการเมืองกลุ่มอำนาจเก่า ก็มีการคุยในที่ประชุม ซึ่งตนก็เห็นด้วยว่าควรเชิญมาพบซึ่งหน้า จึงจะเชิญคนที่เป็นพี่ๆน้องๆ กันมาก่อน และกล่าวด้วยว่า ขณะนี้รัฐบาลและ คมช. มีเทปบันทึกภาพผู้ต้องสงสัยก่อเหตุวางระเบิดเมื่อวันที่ 31 ธันวาคมที่ผ่านมาอยู่ 2 จุด โดยจุดแรกอยู่ที่ศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ ส่วนอีกจุดหนึ่งยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด เพราะเกรงจะกระทบการทำงานของเจ้าหน้าที่และอาจทำให้เสียรูปคดี

ยันคนลงมือเป็นคนมีสี


พล.อ.สพรั่งกล่าวว่า ผู้ใช้ระเบิดแสวงเครื่องต้องเป็นคนที่ผ่านการปฏิบัติการ มีความรู้ชัดเจน พวกนักเลงหัวไม้ เจ้าพ่อ ผู้มีชื่อเสียงทำอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเป็นลักษณะพิเศษทางเทคนิค หากผู้ที่ก่อเหตุเป็นทหารหรือตำรวจนอกแถว จะต้องประหารชีวิต ส่วนผู้บังคับบัญชาที่แม้ไม่ใช่คนสั่งการ แต่กลับปล่อยปละละเลย ปล่อยให้ลูกน้องทำชั่ว ถือว่าบกพร่องสมควรจะถูกปลดฐานไม่ดูแลลูกน้อง ส่วนกรณีผู้ต้องสงสัยวางระเบิดอาศัยอยู่บริเวณหมู่บ้านชัยพฤกษ์ อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี พล.อ.สพรั่งกล่าวว่า

เป็นการลงข่าวคลาดเคลื่อน ส่วนจะเกี่ยวพันกับการทุจริตโครงการก่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิหรือไม่ พล.อ.สพรั่งกล่าวว่า อย่าไปไกลขนาดนั้น ขอไม่ตอบเรื่องนี้ อยากให้ทุกอย่างเป็นไปตามธรรมชาติ เมื่อถามถึงกระแสข่าวการปฏิวัติซ้อน พล.อ.สพรั่งกล่าวว่า นี่คือลักษณะการป่วนเมืองในเชิงการเมือง เพราะเขาต้องการให้เกิดความเข้มงวดกับประชาชน ให้ประชาชนอึดอัด ดังนั้นเราต้องทำให้คนร้าย คนไม่ดีหมดโอกาสเข้ามาบริหารประเทศอีก

เมื่อถามว่า พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี อ้างสื่อต่างประเทศระบุเหตุระเบิด เมื่อคืนวันที่ 31 ธ.ค.เป็นการกระทำของ คมช.เอง พล.อ.สพรั่งกล่าวว่า ตนไม่อยากตอบโต้ แต่อยากให้ดูพฤติกรรมถึงบุคคลที่ถูกพาดพิง เพราะสังคมตรวจสอบได้ คนที่เป็นชนชั้นปัญญาชนไม่คิดแบบนี้ ยกเว้นคนที่คิดชั่วกับบ้านเมือง ส่วนกรณีที่ พล.อ.ชวลิตระบุเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้เห็นว่ารัฐบาลและ คมช.อ่อนด้อยการทำงาน ประสบการณ์น้อย พล.อ.สพรั่งกล่าวว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรีและ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผบ.ทบ. เป็นสุภาพบุรุษนักรบ ในความเป็นนักรบก็เป็นสุภาพบุรุษ ทั้งที่มีดาบ มีอิทธิฤทธิ์ แต่ไม่ใช้ จะใช้เมื่อจำเป็น จึงปล่อยให้ดำเนินการไปตามขบวนการ

นายกฯแจงเหตุระเบิดต่อสภา


ที่รัฐสภา เมื่อเวลา 14.30 น. ได้มีการประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพื่อพิจารณาวาระการยื่นกระทู้ถามสดของนายประพันธ์ คูณมี สมาชิก สนช. ที่ยื่นถามรัฐบาลถึงเหตุการณ์ลอบวางระเบิดหลายจุดในกรุงเทพฯ แต่นายประพันธ์ได้ขอถอนกระทู้เนื่องจากคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (วิป สนช.) ได้ประสานกับทางรัฐบาลโดยฝ่ายรัฐบาลแจ้งว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี จะขอชี้แจงเรื่องดังกล่าวเอง

จากนั้น พล.อ.สุรยุทธ์กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องนี้ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ควรปรากฏในห้วงเวลาแห่งความผาสุก และเป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านจากปี 49 ไปสู่ปี 50 โดยธรรมเนียมของผู้คนไม่ว่าจะเชื้อชาติ ศาสนาใด ทุกคนอยากจะมีความสุขในห้วงเวลาอันเป็นมงคลต่อชีวิต เหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อขวัญของพี่น้องประชาชนอย่างยิ่ง จึงอยากชี้แจงถึงการเตรียมการของฝ่ายรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนจะถึงวันที่ 31 ธ.ค. ซึ่งตนได้แจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ฝ่ายการข่าว ว่าให้ประชุมเตรียมการรักษาความปลอดภัยในช่วงดังกล่าว ที่ฝ่ายหน่วยข่าวต้องสรุปสถานการณ์ และแบ่งมอบพื้นที่รักษาความปลอดภัยให้กับส่วนราชการต่างๆ

ระบุรู้ข่าวบึม 2 แห่งตรงเผง


นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า โดยเฉพาะ สตช.ซึ่งมีหน้าที่ดูแลพื้นที่ กทม. ซึ่งฝ่ายหน่วยข่าวได้ข้อมูลมาก่อนหน้านี้และแจ้งให้ตนทราบว่าจะมีการก่อเหตุรุนแรงขึ้นในวันที่ 31 ธ.ค. ใน 2 บริเวณ คือ บริเวณหน้าเซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า และศูนย์การค้าซีคอนสแควร์ แล้วทั้ง 2 แห่ง ก็เกิดเหตุการณ์ตามที่หน่วยข่าวรายงานจริง และจากการให้สัมภาษณ์ของตนก่อนหน้านี้ จะเห็นชัดว่า ได้ทราบถึงสถานการณ์ความไม่ปลอดภัยอยู่แล้ว และได้สั่งการโดยไม่ได้ละเลยในฐานะที่เป็นผู้บริหารสูงสุด จึงสั่งให้ตรวจสอบและแบ่งมอบพื้นที่

เมื่อเหตุเกิดขึ้นก็ได้ติดตามสถานการณ์ และเห็นว่าเหตุการณ์ค่อนข้างรุนแรง เนื่องจากมีผู้บาดเจ็บทั้งเล็กน้อย และสาหัสหลายคน จึงเดินทางไปเยี่ยม จากนั้นไปรับฟังสถานการณ์จากศูนย์ปฏิบัติการข่าว สำนักข่าวกรองแห่งชาติในคืนนั้นเลย เพื่อสอบถามสถานการณ์แต่ก็เป็นเวลาก่อน 24.00 น. และได้เกิดเหตุที่หน้าเซ็นทรัลเวิลด์ถึง 2 จุด ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ทำให้ตนคิดว่า ผู้ที่กระทำไม่ได้คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของคนส่วนใหญ่ หากทางผู้ว่าฯ กทม. และเซ็นทรัลเวิลด์ไม่ยกเลิกงานปีใหม่ คิดว่าจะมีผู้ได้รับบาดเจ็บและสูญเสียอีกจำนวนมาก แต่ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกภาคส่วน ทำให้ สามารถผ่านพ้นห้วงเวลาวิกฤติมาได้

นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สำหรับยอดผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนั้น มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บรวม 45 คน โดยเสียชีวิต 3 คน บาดเจ็บสาหัส 15 คน และบาดเจ็บเล็กน้อย 27 คน จากการประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ สตช. และหน่วยข่าวที่ กอ.รมน. ได้ข้อสรุปเบื้องต้นว่า สถานที่ ห้วงเวลา และการใช้วัตถุระเบิดนั้น มีเจตนาที่บ่งชี้ชัดเจนว่า จะทำให้เกิดความตื่นตระหนก ความเสียหายที่กระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน แม้ว่าวัตถุระเบิดที่ใช้จะมีปริมาณไม่มาก แต่แสดงถึงเจตนาว่าจะทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตได้

มีสิ่งเดียวที่น่าจะเป็นเครื่องบ่งชี้ต่อประเด็นของความพยายามที่จะทำให้เกิดความสูญเสียนั้นก็คือ ห้วงเวลาของการจุดระเบิด ทั้งที่คลองไผ่สิงโต ซีคอนสแควร์ ย่านสะพานควาย อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงหัวค่ำ เมื่อเกิดเหตุทำให้ภาครัฐต้องตระหนักว่า ข่าวที่ได้รับมาก่อนวันที่ 31 ธ.ค. เป็นจริงแน่นอน จึงได้ยกเลิกการจัดงานปีใหม่ทันที

ระเบิดไม่เหมือนภาคใต้แน่


สิ่งที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายข่าวได้วิเคราะห์ได้มองภาพว่า ตรงนี้น่าจะเป็นส่วนที่ผู้กระทำยังพอมีน้ำใจที่มองถึงชีวิตของคนไทยอยู่บ้าง ที่ไม่ได้ทำให้เกิดปัญหาความสูญเสีย เพราะการที่มีผู้ชุมนุมอยู่มากอาจทำให้เกิดความแตกตื่น ตระหนกตกใจ ทำให้เกิดบาดเจ็บล้มตายจากการหลบหนีระเบิดขึ้น แต่ในช่วงเช้าวันที่ 1 ม.ค. ผลการตรวจสอบสถานที่ การรวบรวมพยานหลักฐาน

ชิ้นส่วนวัตถุ ระเบิดยังไม่ชัดเจน แต่ในวันนี้ได้รับรายงานที่สมบูรณ์จากการตรวจวิเคราะห์ทางด้านนิติวิทยาศาสตร์ของวัตถุระเบิดที่ใช้และวิธีการจุดระเบิด ซึ่งอาจจะดูใกล้เคียงกับทางภาคใต้ แต่ในรายละเอียดแล้ว ขอยืนยันจากการตรวจสอบนี้ไม่เหมือนกัน นั่นก็เป็นประเด็นที่ยืนยันได้ว่า ทั้งหลักฐานวัตถุระเบิด ห้วงเวลา และเจตนา น่าจะเกี่ยวข้องกับปัญหาทางภาคใต้น้อยมาก ปัญหาส่วนใหญ่จะอยู่ที่ผู้ไม่หวังดี และผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่ กทม.เอง พล.อ.สุรยุทธ์กล่าว

มอบพื้นที่ให้ กอ.รมน.คุม


นายกรัฐมนตรียังกล่าวด้วยว่า การติดตามสอบสวนหาผู้กระทำผิดนั้น ขณะนี้มีความคืบหน้าในบางจุด เจ้าหน้าที่ได้เร่งดำเนินการอยู่ เนื่องจากได้รับข้อมูลบางส่วนจากประชาชนและภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นภาพถ่าย พยานหลักฐาน ที่ตำรวจกำลังเร่งรีบรวบรวมอยู่ ซึ่งรัฐบาลมีความเป็นห่วงจึงนำเรื่องเข้าสู่ที่ประชุม ครม.และมีมติที่สำคัญออกมา เพื่อหามาตรการป้องกันเหตุให้กับประชาชน โดยการมอบพื้นที่รับผิดชอบดูแลความมั่นคงภายในให้เป็นของ กอ.รมน. เพื่อให้เป็นหน่วยประสานความรับ ผิดชอบในภาพรวม

รวมทั้งชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนถึงเหตุที่เกิดขึ้น สำหรับมาตรการป้องกันจะต้องอาศัยความร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน รวมทั้งต้องใช้เครื่องมือทางเทคนิคที่ยังวางไม่ครอบคลุมในบางจุด จึงจะให้ กอ.รมน. ไปประสานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อจัดวางเครื่องมือทางเทคนิคในจุดที่ยังไม่มี และต้องขอความร่วมมือจากประชาชน เพราะเหตุดังกล่าวยากต่อการแจ้งเตือนล่วงหน้า ซึ่งจะได้ผลก็ต่อเมื่อประชาชนให้ ข้อมูลข่าวสาร หากพบสิ่งของหรือวัตถุต้องสงสัยวางในลักษณะไม่ปกติ น่าสงสัย ขอให้แจ้งมาที่ศูนย์ 191 ของเจ้าหน้าที่ ตำรวจ เพื่อรับข้อมูลและตรวจสอบสิ่งผิดสังเกตต่อไป

เร่งสมานฉันท์ปีมหามงคล


นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เรื่องนี้คงไม่ได้มีขึ้นเฉพาะช่วงเวลานี้ ดังนั้นต้องเตรียมตัวเตรียมใจเผชิญกับภัยคุกคามต่อชีวิตของประชาชนในรูปแบบใหม่ ในช่วงเวลาข้างหน้า รัฐบาลขอย้ำว่าจะดำเนินการตามกรอบรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวอย่างเคร่งครัด เพื่อสร้างสังคมปรองดองให้ได้ในอนาคต และจะจัดการเลือกตั้งอย่างเสรี บริสุทธิ์และยุติธรรม

และได้มองเห็นโอกาสที่จะสร้างความสมานฉันท์ขึ้นมาได้ เพราะปี 2550 เป็นปีมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จะทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ 80 พรรษา รัฐบาลจึงขอความร่วมมือร่วมใจจากประชาชนทุกภาคส่วน ที่จะนำสันติสุขมาสู่บ้านเมืองของเรา ทั้งภาคธุรกิจและเอกชนให้ตระหนักถึงภัยที่เราเผชิญหน้าอยู่ เพื่อเฝ้าระวัง พร้อมแจ้งเตือน และไม่ให้เกิดเหตุการณ์เหมือน 2-3 วันที่ผ่านมา

หลังจาก พล.อ.สุรยุทธ์ ชี้แจงถึงเหตุการณ์ระเบิดหลายจุดในพื้นที่กรุงเทพฯ พร้อมมาตรการป้องกันต่อที่ประชุม สนช.แล้ว ได้มีสมาชิก สนช.ลุกขึ้นอภิปรายหลายคน โดยนายประพันธ์ คูณมี สมาชิก สนช. กล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าวันข้างหน้าจะเกิดเหตุแบบนี้อีกหรือไม่ เพราะคนบางกลุ่มมีความเหิมเกริม และอดีตนายกฯ พยายาม เขียนจดหมายแก้ตัวเพื่อเบี่ยงเบนประเด็น และโจมตีรัฐบาล ทำให้ประชาชนสับสนเข้าใจผิด รวมทั้งก่อนหน้านี้พรรคไทยรักไทยได้เปิดเว็บไซต์ชื่อ ไทยรักไทย ก้าวต่อไปเพื่อคนไทยทุกคน มีเนื้อหาโจมตีรัฐบาล นายกฯ และ คมช. พล.อ.เปรม ตินณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี

และยังปลุกระดมสมาชิกพรรคและประชาชนให้เกิดความเข้าใจที่ผิดๆ แล้วรัฐบาลจะปล่อยให้คนทุจริตคอรัปชันลอยนวลต่อไปหรือ ควรรีบจัดการให้เด็ดขาด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาเชื่อมโยงกันได้หมด ทั้งการเผาโรงเรียน การเปิดเว็บไซต์ และล่าสุดระเบิด เชื่อว่าเป็นฝีมือกลุ่มคนเดียวกัน เราจะสมานฉันท์ทั้งพระและโจรไปพร้อมกันหรืออย่างไร ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลต้องเอาจริงไม่เปิดพื้นที่ให้กับคนที่โกงบ้านเมือง มิเช่นนั้นหากอำนาจเก่าฟื้นคืนมา บ้านเมืองจะไม่มีวันสงบสุข

แนะควรปลด ผบ.ตร.


นายประพันธ์กล่าวว่า หากไม่ทำอะไรกลุ่มที่สนับสนุนรัฐบาลก็จะทนไม่ไหว และอาจทำให้เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้ ตนไม่มั่นใจว่าคณะกรรมการสอบสวนหาผู้กระทำความผิด จะสามารถเอาตัวคนทำผิดได้หรือไม่ เพราะรัฐบาลตั้งสมมติฐานว่าเป็นฝีมือของกลุ่มอำนาจเก่า แต่คนที่ตั้งมาล้วนได้ดีจากกลุ่มอำนาจเก่า แล้วจะมีหลักประกันอะไรว่าผลการสอบสวนจะไม่เบี่ยงเบน ที่สำคัญควรจะปลด ผบ.ตร.ออกจากตำแหน่ง เพราะเมื่อเกิดเหตุการณ์แล้วไม่เห็นคนระดับผู้บัญชาการออกมามีบทบาทในเรื่องนี้เลย กลับปล่อยให้โฆษก สตช.ออกมาพูดอยู่คนเดียว

นายอรรคพล สรสุชาติ สมาชิก สนช.กล่าวว่า การชี้แจงด้วยถ้อยคำที่สุภาพของนายกฯ ทำให้ไม่ถึงใจประชาชน เพราะคนที่ก่อเหตุจิตใจต่ำกว่ามนุษย์ เป็นเดรัจฉาน แต่รัฐบาลจะปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ จะต้องชี้แจงต่อสาธารณชนให้ทราบถึงเหตุที่เกิดขึ้น และจะมีมาตรการอย่างไรต่อไป เพราะขณะนี้มีหลายคนมองว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้มาจากภาวะปกติเป็นเหมือนยักษ์ไม่มีกระบอง เหมือนเสือไม่มีเขี้ยว หรือมีแล้วไม่ได้ใช้

อ่อนแอเกินไปปล่อยให้บางคนเปิดโรงแรมแถลงข่าวตอบโต้แทนคนที่ถูกกล่าวหาทุกสัปดาห์ ดังนั้น โอกาสที่จะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืนมาคือต้องเร่งเอาจริงเอาจัง และดำเนินการเรื่องนี้อย่างเร็วที่สุด เหตุที่เกิดขึ้นเพราะเงินยังมีอำนาจสูงกว่าการบริหารงานของรัฐบาล ไม่ทราบว่ารัฐบาลเคยตรวจสอบการเคลื่อนย้ายเงินผิดปกติของคนบางกลุ่มหรือไม่ และถ้ารู้แล้วกล้าทำอะไรหรือไม่ มีการสั่งการดูแลบัญชีไม่ให้เคลื่อนไหวหรือไม่ หากทำไม่ได้เพราะไม่มีกฎหมายกำหนด ท่านกล้าที่จะเสนอกฎหมายขึ้นมาจัดการคนเหล่านี้หรือไม่

นายกฯชี้อนาคตต้องไม่ประมาท


ต่อมาเวลา 15.00 น. ที่รัฐสภา พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังชี้แจงต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ถึงกรณีเหตุระเบิด 8 จุด เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. ที่ผ่านมา โดยระบุว่าประชาชนต้องทำใจที่อาจต้องเผชิญภัยรูปแบบใหม่ไปอีกระยะเวลาหนึ่งในอนาคตข้างหน้า ว่า เป็นเรื่องที่ต้องเตรียมความพร้อม และตั้งอยู่ในความไม่ประมาท เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นแล้ว ทางที่ดีที่สุดคือการป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์ขึ้นและการป้องกันจะต้องร่วมมือกันระหว่างภาครัฐ เอกชน และประชาชน ส่วนการติดกล้องในพื้นที่ต่างๆเป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการต่อไป

ยันไม่พาดพิงถึง บิ๊กจิ๋ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า จนถึงวันนี้ การติดตามคดีมีการรายงานความคืบหน้าอย่างไร พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่าเท่ากับที่ชี้แจงกับสภานิติบัญญัติได้รับทราบไปแล้ว ขณะนี้มีความคืบหน้าแค่นั้น เมื่อถามว่า มีการพาดพิงไปถึง พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ได้มีการทำความเข้าใจกันหรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ตอบว่า ตนคิดว่าไม่ได้มีอะไรเชื่อมโยงไปถึงผู้อื่น สิ่งที่ยืนอยู่ในประเด็นขณะนี้ก็คือ สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนั้น มีพยานแวดล้อมและหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ชี้ชัดว่าเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในภาคใต้น้อยมาก ดูจากสิ่งที่เจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐาน และตนได้ชี้แจงในสภาฯไปแล้ว

พงศ์เทพ ปัดขัดแย้ง บิ๊กจิ๋ว

ที่ตึกสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี (สลน.) พล.อ. พงศ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังเป็นประธานพิธีทำบุญถวายภัตตาหารเพล เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2550 ของ สลน. ถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ออกมาโวยว่ารัฐบาลและ คมช. กล่าวหาว่าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ลอบวางระเบิดเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.ว่า คงไม่มีความคิดเห็นอะไร และทุกคนก็เห็นว่าท่านเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง จึงไม่ได้คิดอะไร แต่ไม่ทราบว่าท่านได้รับข้อมูลจากไหนหรือเปล่า อย่างไรก็ตาม

ตนไม่เชื่อว่าทุกคนที่เป็นคนไทยจะทำร้ายบ้านเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เคยเป็นทหารด้วยแล้ว ตนไม่มีความเชื่ออย่างนั้นเลย ขอให้มั่นใจเลยว่า คนไทยด้วยกันไม่น่าจะทำสิ่งนี้ เมื่อถามว่าการที่ พล.อ.ชวลิตออกมาตอบโต้กับแกนนำ คมช. ทำให้มีการมองว่าขณะนี้ทหารทะเลาะกันเอง พล.อ.พงศ์เทพกล่าวว่า เราไม่ได้มีอะไรกับท่าน แต่ท่านจะมีอะไรหรือไม่ ไม่รู้ ต้องไปถามท่านเอง

เลขาธิการนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สิ่งที่นายกฯ พูดเสมอคือตั้งใจแน่วแน่ที่จะเข้ามาแก้ไขปัญหาของชาติบ้านเมืองก็ต้องให้โอกาสในการทำงาน ซึ่งมีขั้นตอนและห้วงเวลาของการทำงานที่ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นกระบวนการที่มาขัดขวางการทำงานเพื่อให้เกิดระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ในอนาคตน่าจะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ขอให้สื่อมวลชนได้ใช้ดุลพินิจตรงนี้และประณามการกระทำของบุคคลเหล่านั้นด้วย ผมคิดว่าคนทำไม่น่าจะเป็นคนไทย ถ้าเป็นคนไทยแล้วแค่อาศัยร่าง อาศัยแผ่นดินเกิด แต่ไม่มีหัวใจเป็นคนไทย

ผมคิดว่าก็เสียชาติเกิด เมื่อถามต่อว่าขณะนี้รัฐบาลและ คมช. กำลังถูกหลายปัญหารุมเร้ามาก จะมีการจัดตั้งคณะทำงานกลยุทธ์เพื่อรับมือตอบโต้ทางการเมืองหรือไม่ พล.อ. พงศ์เทพตอบว่า ไม่มีอะไร นายกฯและรัฐมนตรีบริหารงานในสิ่งที่ควรจะทำและสิ่งที่ทำให้ เกิดสิ่งที่ดีกับบ้านเมือง ตนเชื่อว่าทุกคนมีจิตวิญญาณและมีหัวใจที่จะทำงานให้กับชาติบ้านเมืองอยู่แล้ว

ขอเวลาเจ้าหน้าที่สืบสวน

เมื่อถามว่าเจ้าหน้าที่สอบสวนได้รายงานความคืบหน้าของคดีลอบวางระเบิดมาให้ทราบหรือยัง เพราะผ่านมาหลายวันแต่ยังคลุมเครือ เลขาธิการนายกฯ กล่าวว่า ต้องให้เวลาและโอกาสกับเจ้าหน้าที่ในการทำงานและสืบสวนตามขั้นตอน ทั้งทางนิติวิทยาศาสตร์ และด้านอื่นประกอบกัน เพราะเรื่องของคนที่จ้องจะทำกับผู้ที่ถูกกระทำ และการป่วนเมืองไม่ใช่ง่าย การเสนอข่าว การวิเคราะห์ หรือการดึงประเด็นโยงใยให้ออกนอกลู่นอกทางอาจจะทำให้เกิดผลเสียต่อการทำงานได้ สื่อมวลชนเองก็คงจะรู้ว่างานด้านข่าวกรองมันยาก ไม่ง่ายอย่างที่คิด การปะติดปะต่อต่างๆ มันมีหลายเรื่อง และลึกซึ้งกว่าสิ่งที่เป็นข่าวฉาบฉวย และขอฝากสื่อมวลชนด้วยว่าหากจะเสนอข่าวอะไรขอให้เสนอในเชิงสร้างสรรค์ และให้ โอกาสและกำลังใจแก่คนทำงาน และประณามที่ทำร้ายบ้านเมือง

ยอมรับการข่าวอ่อนโลก

เมื่อถามว่า จะต้องมีการปรับกำหนดการทำงานของนายกฯ และเพิ่มกำลังในการรักษาความปลอดภัยหรือไม่ พล.อ.พงศ์เทพตอบว่า เป็นธรรมดาอยู่แล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้นมา ความจริงก็มีการทำงานที่เข้มแข็งอยู่แล้ว แต่การจะไปดูทุกจุด หรือทั้งหมด มันไม่ใช่เรื่องง่าย จึงขอฝากพี่น้องประชาชนชาวไทยทุกคน ขอให้ มีความเข้าใจว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นั้น มีความตั้งใจจริงที่จะเข้ามาทำงาน และแก้ไขปัญหาบ้านเมืองอย่างเป็นระบบ อยากให้เกิดความผาสุก หากมีเบาะแสหรือข้อมูลอะไร ขอให้ส่งมาให้เจ้าหน้าที่ด้วย เมื่อถามว่า จะต้องมีการปรับปรุงงานด้านการข่าวใหม่หรือไม่ เพราะในการประชุม ครม. ทั้ง รมว. กลาโหมและนายกฯก็ระบุว่าทราบข่าวมาล่วงหน้าแต่ เจ้าหน้าที่ประมาท พล.อ.พงศ์เทพตอบว่า มันคงเป็นเรื่องแบบไทยๆ ที่มีการให้เกียรติคนอื่น และอาจไม่ได้มีการฝึกปรือ เรียนรู้อย่างเพียงพอในเรื่องการทำงานหรือสถานการณ์ของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป จึงต้องมีการกระตุ้นให้มีความรู้สึกและมีการสังเกตให้มากขึ้น ทั้งในส่วนราชการและประชาชนทั่วไป

เด็กเฮทำเนียบจัดงาน


พล.อ.พงศ์เทพกล่าวถึงการเตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัยในการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ ของทำเนียบรัฐบาลว่า ทำเนียบรัฐบาลจะมีการจัดงานวันเด็กตามปกติ โดยให้มีความเข้มข้นในการรักษาความปลอดภัยตามสถานการณ์ ซึ่งการจัดงานดังกล่าวเป็นการให้รางวัลกับเด็ก และเด็กหลายคนอยากมาดูเที่ยวชมทำเนียบฯ หลายคนยังไม่เคยเข้ามา ส่วนการตรวจตรากระเป๋าหรือสิ่งของต่างๆนั้น มีเจ้าหน้าที่ดำเนินการอยู่แล้ว

เมื่อถามว่า จะเปิดให้เด็กเข้าไปทดลองนั่งเก้าอี้ทำงานของนายกฯ เหมือนเดิมหรือไม่ พล.อ.พงศ์เทพกล่าวว่า บ่ายวันเดียวกันนี้จะมีการประชุมกัน โดยมอบหมายให้รองเลขาธิการนายกฯฝ่ายบริหารเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งเด็กๆเองก็อยากที่จะมาเห็น แต่ในช่วงเวลานั้นนายกฯอาจจะมีภารกิจหรือไม่ คงต้องตรวจสอบอีกครั้งว่าท่านนายกฯจะสามารถอยู่ต้อนรับเด็กๆได้หรือไม่ เมื่อถามย้ำว่าจะมีการเพิ่มหรือลดกิจกรรมบางอย่างเพื่อการรักษาความปลอดภัยหรือไม่ เลขาธิการนายกฯกล่าวว่า เราจะให้ มีกิจกรรมเต็มรูปแบบ เพราะอยากให้เด็กได้รับในสิ่งที่เคยได้รับมาเช่นเดียวกับปีก่อน

ทำเนียบฯเข้มตรวจรถ

ในเย็นวันเดียวกันนี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจประจำทำเนียบรัฐบาล และกองรักษาความปลอดภัย ทำเนียบรัฐบาล ได้เพิ่มความเข้มงวดในการดูแลรักษาความปลอดภัยบริเวณทำเนียบรัฐบาล โดยเฉพาะการกวดขันตรวจตรายานพาหนะทุกคันที่เดินทางเข้า-ออกทำเนียบรัฐบาล โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำประกาศหลักเกณฑ์การปฏิบัติก่อนนำยานพาหนะเข้าภายในทำเนียบรัฐบาล ไปติดไว้ที่หน้ารถที่จอดอยู่ในบริเวณทำเนียบรัฐบาลทุกคัน หลักเกณฑ์ดังกล่าวระบุให้รถยนต์ ทุกคันที่จะเข้ามาในทำเนียบฯต้องปฏิบัติดังนี้ คือ 1.ลดกระจกประตูรถทุกบานจนสุด 2. ติดบัตรประจำตัวทันที 3. ปิดไฟหน้ารถ 4. เปิดไฟในรถ ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวได้เริ่มปฏิบัติทันที ตั้งแต่เมื่อวันที่ 4 ม.ค. 2550

มท.1 ยันไม่ใช่ฝีมือรัฐบาลแน่

ที่กระทรวงมหาดไทย เมื่อเวลา 10.00 น. นายอารีย์ วงศ์อารยะ รมว.มหาดไทย กล่าวถึงกรณีที่หลายฝ่ายออกมาระบุว่าเหตุระเบิด 8 จุดในกรุงเทพฯ ที่ผ่านมา อาจจะเป็นฝีมือของรัฐบาล และคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ว่า ไม่เป็นความจริง เพราะรัฐบาลเข้ามาบริหารประเทศเพื่อประโยชน์ของชาติ ไม่ใช่พวกพ้อง และไม่เคยทำให้ประเทศเสียหาย เข้ามาเพื่อแก้ไขปัญหาให้ลุล่วง ไม่ได้มาทำอะไรเสียหาย แต่เป็นเรื่องปกติ ที่ประชาชนต้องเกิดความเกรงกลัว ขณะนี้ทุกภาคส่วนได้พยายามหามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างเต็มที่อยู่แล้ว ส่วนการที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี

ออกมาตำหนิการทำงานของรัฐบาลที่ด่วนสรุปเหตุการณ์ และวิจารณ์การทำงานของหน่วยความมั่นคงไม่มีประสิทธิภาพนั้น เห็นว่าเป็นเรื่องที่ พล.อ.ชวลิตควรจะทบทวนตัวเอง คนอื่นคิดแทนไม่ได้ ว่าการออกมาเคลื่อนไหวลักษณะนี้จะทำให้เหตุการณ์ บานปลายหรือไม่ ไม่มีความเห็น เหตุการณ์จะบานปลายเกิดความแตกแยกหรือไม่นั้น เป็นสิ่งที่ตัวท่านจะต้องไปคิดเอาเอง คนอื่นคงคิดแทนไม่ได้

ก.ต่างประเทศเรียกทูตชี้แจง

วันเดียวกัน ที่กระทรวงการต่างประเทศ ได้มีการเชิญเอกอัครราชทูตและกงสุลใหญ่ทั่วโลกที่ประจำการในประเทศไทย 62 แห่งจำนวน 72 คน รวมทั้งตัวแทนจากองค์กรระหว่างประเทศ 19 คน จาก 14 องค์กร เข้าร่วมรับฟังคำชี้แจงจากนายกฤษณ์ กาญจนกุญชร ปลัดกระทรวงการต่างประเทศ เกี่ยวกับเหตุการณ์ระเบิดใน กทม.หลายจุด โดย พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร และ พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. และผู้ช่วยเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ได้เข้าร่วมชี้แจงในครั้งนี้ด้วย ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

นายกิตติ วะสีนนท์ อธิบดีกรมสารนิเทศ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการชี้แจง ว่าเนื่องจากบางประเทศยังได้รับข้อมูลที่สับสน หรือ เป็นเพียงการคาดการณ์ คาดเดา แม้ว่ากระทรวงการต่างประเทศจะได้แปลคำแถลงของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 ม.ค. ที่ผ่านมา เป็นภาษาอังกฤษส่งไปยังสถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ แล้วก็ตาม แต่การชี้แจงครั้งนี้ เพื่อเป็นการย้ำและรับประกันถึงสิ่งที่รัฐบาลแสดงความตั้งใจ ที่จะสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชนทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ตลอดจนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทย พร้อมกันนี้ปลัดกระทรวงฯ ยังได้แสดงความเสียใจกับนักท่องเที่ยว 9 คน ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์นี้ โดยล่าสุด ยังรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลเพียง 2 ราย

ออกมาตรการเพิ่มความมั่นใจ

อธิบดีกรมสารนิเทศกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ปลัดกระทรวงยังเล่าให้ทราบถึงประเด็นแถลงของนายกรัฐมนตรี ที่มีขึ้นภายหลังการประชุมหน่วยงานด้านความมั่นคง ที่รัฐบาลได้ออกมาตรการเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับคนไทยและชาวต่างประเทศ 5 ประการ คือ 1. การเยียวยาให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุดังกล่าว 2. การป้องปราม โดยให้หน่วยงานด้านการข่าวให้ข้อมูลข่าวสารกับสาธารณชนได้รับทราบในวงกว้าง 3. การป้องกันโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมที่จะให้ข้อมูลแจ้งเบาะแส 4. การชี้แจงต่อสาธารณชน ซึ่ง กอ.รมน.จะเป็น ศูนย์กลางการให้ข้อมูล และ 5. การสร้างสมานฉันท์ในสังคมไทย และแม้ว่าจะมีเหตุการณ์นี้ก็จะไม่กระทบต่อการสร้างแนวทางสมานฉันท์ รวมถึงการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วย

โฆษกกระทรวงการต่างประเทศกล่าวว่า ในการบรรยายครั้งนี้ได้แจ้งให้ทราบว่า ทางการไทยยังได้ออกมาตรการรักษาความปลอดภัยในทุกระดับ เช่น บริเวณท่าอากาศยาน สถานเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ โดยหากสถานทูตใดต้องการเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ ก็สามารถประสานผ่านกระทรวงการต่างประเทศได้ พร้อมกับเพิ่มมาตรการด้านข่าวกรองให้มีประสิทธิภาพ และเพิ่มศักยภาพในการช่วยเหลือฉุกเฉินเพื่อรองรับเหตุการณ์

โดยทางการไทยก็จะพยายามอย่างเต็มที่ที่จะให้มิตรประเทศเกิดความมั่นใจในแนวทางดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในการบรรยายสรุป ได้มีคณะทูตได้สอบถามหลายประเด็นคำถามอย่างตรงไปตรงมา อาทิ เหตุการณ์นี้จะกระทบต่อการที่รัฐบาลไทยเตรียมยกเลิกกฎอัยการศึกหรือไม่ โดย พล.อ.อนุพงศ์ชี้แจงว่า ไม่กระทบกับการเตรียมยกเลิกกฎอัยการศึก ซึ่งรัฐบาลไทยเองก็ยังคงมีเป้าประสงค์ตามเดิมที่จะผ่อนคลายการใช้กฎอัยการศึก

สงสัยรู้ล่วงหน้าทำไมยังเกิด

นายกิตติกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ คณะทูตยังถามถึงความคืบหน้าในการสืบสวนสอบสวนกรณีดังกล่าว โดย ผู้ช่วย ผบ.ทบ.ได้ชี้แจงว่า ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการสืบสวนสอบสวน และกำลังรวบรวมพยานหลักฐานจากกล้องวงจรปิด รวมทั้งหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ซึ่งกระบวนการนี้ต้องใช้เวลาในการตรวจสอบ พร้อมกันนี้ ยังมีคำถามเกี่ยวกับข้อมูลทางการข่าวล่วงหน้าที่จะมีการก่อเหตุใน กทม. ฝ่ายไทยได้กล่าวยอมรับว่ามีข่าวออกมาล่วงหน้าจริง แต่เป็นสิ่งที่คาดไม่ถึงว่าจะใช้วิธีที่ ก่อให้เกิดความเสียหายถึงชีวิต และไม่คิดว่าจะเกิดในช่วงที่เป็นวันมงคลและในเวลาที่ประชาชนกำลังเฉลิมฉลองความสุข

จึงชี้ให้เห็นว่าผู้ก่อการหวังผลทางการเมืองโดยตรง โดยอาจจะเป็นการคิดสั้นๆ ไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมา อย่างไรก็ดี ก็มีคำถามด้วยว่า เหตุการณ์นี้ มีความเกี่ยวโยงกับสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่ โดยผู้ช่วย ผบ.ทบ.ชี้แจงว่า เหตุนี้อาจจะไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในภาคใต้โดยตรง เพราะผู้ก่อเหตุในภาคใต้มีเป้าประสงค์จะจำกัดในพื้นที่ภาคใต้ หากมาก่อเหตุใน กทม.ก็จะทำให้สาธารณชนเกิดความไม่พอใจกับกลุ่มก่อการได้ อีกทั้งลักษณะของระเบิดใน กทม.ก็หวังผลเพื่อก่อกวน ไม่ได้หวังผลต่อชีวิต

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่บางสถานทูตได้ออกคำเตือนประชาชนของตนเอง ให้ระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงเดินทางเข้าประเทศ นายกิตติตอบว่า ทุกประเทศมีความเป็นห่วง และต้องการดูแลคนของแต่ละประเทศอยู่แล้ว แต่ทางการไทยก็ได้เพิ่มมาตรการด้านความปลอดภัย เพื่อสร้างความมั่นใจ ไม่อยากให้เกิดความตื่นตระหนก เพื่อไม่ตกเป็นเหยื่อตามเป้าหมายของผู้ก่อการ และขอให้ประชาชนใช้ชีวิตตามปกติ เมื่อถามว่าเหตุการณ์นี้จะกลายเป็นปัญหาด้านความมั่นคงระดับชาติที่อาจจะถูกหยิบขึ้นมาหารือในอาเซียนซัมมิต ที่เมืองเซบู ประเทศฟิลิปปินส์ด้วยหรือไม่ นายกิตติตอบว่า เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในประเทศ คงไม่ใช่ประเด็นที่จะนำไปหารือกันในเวทีในภูมิภาค

ผบ.ทอ.ยันบิ๊กจิ๋วให้แง่คิดด้านลบ

ในวันเดียวกัน เมื่อเวลา 09.30 น. ที่กองบินท่าอากาศยานทหาร (บน.6) พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข ผู้บัญชาการทหารอากาศ (ผบ.ทอ.) และรองประธานคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) กล่าวถึงกรณี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาให้ข้อมูลเกี่ยวกับเหตุระเบิดป่วนกรุงว่า คิดว่าคนในประเทศไทยทุกคนมีความรักประเทศไทย รักคนไทย รักชาติ ท่านเคยเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ก็มีความกังวลและความตั้งใจที่จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างดีขึ้น คิดว่าท่านก็รักชาติ และให้ข้อคิดที่ติติง เรื่องนี้หากมองไปในทางบวกหมด เราอาจจะไม่ได้ภาพในทางลบ ดังนั้น การที่ท่านให้ภาพในด้านลบ ถือเป็นการให้ข้อคิดอย่างหนึ่งเหมือนกัน คิดว่าทุกเรื่อง

สื่อและประชาชนสามารถใช้วิจารณญาณได้ว่า สิ่งที่แต่ละท่านพูดมานั้น ความเป็นจริงควรจะเป็นอย่างไร เช่น ในกรณีที่พูดว่า คมช. เป็นคนทำเอง ก็ต้องคิดว่าทางฝ่ายรัฐบาลและ คมช. หากจะทำจะทำเพื่ออะไร และมีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร ขณะนี้ทุกสิ่งทุกอย่างคลี่คลายออกมา เพื่อเป็นผลประโยชน์ร่วมกัน คือลดความขัดแย้งของคนในชาติที่มีอยู่ และจะต้องแก้ไขในจุดนี้ เมื่อถามว่ารัฐบาล และ คมช. ยินดีรับฟังข้อเสนอแนะของ พล.อ.ชวลิตหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิตกล่าวว่า เรารับฟังจากทุกคน เพราะทุกคนต้องมีความรักชาติและอยากจะแก้ไข เมื่อรับฟังแล้วก็จะนำไปประยุกต์ใช้ ซึ่งทุกกลุ่มต้องคิดแล้วนำสิ่งที่ถูกต้องและดีที่สุดไปดำเนินการ

คมช.ยังไม่คิดเคลียร์บิ๊กจิ๋ว

ผู้สื่อข่าวถามว่า ข้อมูล พล.อ.ชวลิตที่รับฟังมามีความน่าสนใจมากเพียงใด และจะให้ความร่วมมือขนาดไหน ผบ.ทอ.ตอบว่า ความร่วมมือคงต้องดูว่าทำในสถานะอะไร ในคณะรัฐบาลที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี รับผิดชอบอยู่ ท่านต้องดำเนินการในส่วนของรัฐบาลที่จะบริหารประเทศ ส่วน คมช. ก็ยอมรับตรงนี้ ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละองค์กรจะดำเนินการในส่วนความรับผิดชอบแต่ละส่วน ซึ่งต้องมีความสอดคล้องกัน เมื่อถามว่า คมช. ไม่ติดใจที่ พล.อ.ชวลิตออกมาพูดใช่หรือไม่ พล.อ.อ.ชลิต ตอบว่า ไม่ว่าเป็นใครที่ได้พูด คงเป็นเรื่องที่ต้องเก็บข้อมูลนั้นไว้ ส่วนจะนำมาใช้หรือว่าอะไรต่อ คงต้องพิจารณากันอีกครั้ง

เมื่อถามว่า การที่ พล.อ.ชวลิตออกมาระบุว่า ระวังไม่มีแผ่นดินอยู่ เป็นการใช้คำที่รุนแรงเกินไปหรือไม่ ผบ.ทอ.ตอบว่า เป็นคำพูดที่ทำให้เกิดภาพที่รุนแรง หรือบางครั้งก็เป็นการประกอบประโยค เพื่อให้ดูดุดันขึ้น ผู้สื่อข่าวถามว่า แสดงว่า พล.อ.ชวลิตไม่มีนัยทางการเมืองใช่หรือไม่ พล.อ.อ.ชลิตตอบว่า ไม่ทราบ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไหนที่พูด ทุกคนต้องมีวัตถุประสงค์ มีความตั้งใจอยู่ แต่เราไม่สามารถล่วงรู้เข้าไปในจิตใจของแต่ละคน เมื่อถามว่ารัฐบาล และคมช. จะไปพูดคุยกับ พล.อ. ชวลิต เพื่อรับทราบข้อมูลและเคลียร์ปัญหากันหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิตกล่าวว่า ยังไม่ทราบ เป็นเรื่องที่ คมช.ยังไม่ได้คิด

ระบุเทปลับปลอม 50%

ต่อข้อถามว่า การแสดงความคิดเห็นในฐานะที่เป็นพี่น้องกันน่าจะคุยกันภายในไม่น่าออกไปทางสื่อใช่หรือไม่ พล.อ.อ.ชลิตตอบว่า บางครั้งสื่อถามจากคนนี้ และอาจไปถามจากคนโน้น ถามไปถามมาพี่น้องที่ดีๆกัน อาจจะทะเลาะกันได้ เมื่อถามถึงกรณีที่ พล.อ.ชวลิตระบุว่ามีเทปภาพการก่อเหตุครั้งนี้จะติดต่อขอเทปดังกล่าวมาตรวจสอบหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิตตอบว่า ยังไม่ทราบ แต่ เป็นข้อคิดที่ดี บางทีอาจเป็นของจริง 50 เปอร์เซ็นต์ หรือ 100 เปอร์เซ็นต์ก็ได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า ต้องใช้เวลานานหรือไม่ที่จะชี้แจงให้ประชาชนรับทราบถึงความชัดเจนเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น ผบ.ทอ.ตอบว่า เรื่องนี้ค่อนข้างที่จะยาก คงตอบเวลานี้ไม่ได้ ทั้งนี้ จะเห็นว่าระเบิดที่วางอยู่ในภาคใต้ เป็นปีสองปี เรายังไม่สามารถจับได้ หากเป็นต่างประเทศจะมีการจัดวางกล้องวงจรปิด ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษหรือสหรัฐฯ ซึ่งค่อนข้างแพง แต่ถึงมีกล้องก็สามารถทำให้กล้องพังได้ หากเขาจะวาง ผู้สื่อข่าวถามว่า เชื่อหรือไม่ว่าคนในเครื่องแบบเป็นคนทำ ผบ.ทอ.ตอบว่า เราไม่รู้หรอกว่าเป็นใคร

เมื่อถามว่า นายกรัฐมนตรีพูดถึงงบประมาณด้านการข่าวเชิงลึกเชิงลับว่างบประมาณมาสนับสนุนไม่เพียงพอ ทางทหารมองตรงนี้อย่างไร พล.อ.อ.ชลิตกล่าวว่า ประสิทธิภาพของผู้ที่ทำงานข่าว คิดว่าตนเองทำอย่างดีที่สุดแล้ว แต่บางทีสถานการณ์และสิ่งแวดล้อมอาจจะไม่เหมาะ คิดว่าหลายประเทศจะต้องใช้เงินจำนวนมาก เราต้องควบคุมเรื่องนี้ให้ดี ซึ่งบางเรื่องไม่ว่าจะเป็นงานข่าวลับจะต้องใช้เงิน หากมีไม่มากพอก็ไม่สามารถออกมาหาข่าวตรงนั้นได้ ซึ่งมีส่วนที่น่าจะถูกต้องอย่างที่ท่านกล่าว

เมื่อถามว่า เชื่อว่าเป็นกลุ่มอำนาจเก่าอยู่ใช่หรือไม่ พล.อ.อ.ชลิตตอบว่า คงต้องใช้เวลาอีกสักเล็กน้อย ขณะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ เป็นไปได้ทั้งสิ้น ต้องไม่ พยายามตัดประเด็น แต่อีกไม่นานน่าจะพอได้ ซึ่งยังมี หลายพื้นที่ที่ยังปะทุอยู่ เมื่อถามถึงกรณีที่มีการขู่วางระเบิดหลายจุดทั่วกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา พล.อ.อ.ชลิตกล่าวว่า การขู่วางระเบิดและแจ้งเบาะแสเรื่องการวางระเบิด ถือเป็นเรื่องดี ซึ่งตนได้ประชุมกับหน่วยขึ้นตรงกองทัพอากาศเกี่ยวกับเรื่องการให้ประชาชนแจ้งเบาะแส

เป็นความร่วมมือที่ประชาชนให้ต่อสังคม และเพื่อความปลอดภัยของตัวเขาเองและคนรอบข้าง สิ่งเหล่านี้เคยเกิดขึ้นในประเทศอังกฤษ ซึ่งเขามีมาตรการต่างๆที่จะสอนประชาชนว่าควรจะทำอย่างไร และเมื่อเกิดขึ้นแล้วจะทำอย่างไร ไม่ให้เกิดอันตรายเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ คงเป็นความตั้งใจจากบางส่วน โดยเฉพาะส่วนใหญ่ จะเป็นการแจ้งเพื่อให้ความร่วมมือ ซึ่งเมื่อวานนี้กองทัพอากาศก็มีการพบถุงผ้าซึ่งอยู่บริเวณใกล้กับกองทัพ เราได้ส่งชุดทำลายระเบิดออกไปปฏิบัติการ เพื่อความปลอดภัย

อาจย้ายสถานที่จัดงานวันเด็ก

เมื่อถามว่า งานวันเด็กจะมีการยกเลิกหรือไม่ พล.อ.อ.ชลิตกล่าวว่า ได้ประชุมหน่วยขึ้นตรงเมื่อช่วงเช้าวันนี้ โดยสั่งการว่าให้ไปพิจารณาทบทวน เพราะการจัดงานวันเด็กที่อื่นๆไม่ส่งผลร้ายแรง แต่ถ้าในเขตกองทัพอากาศ หากถูกก่อกวนจะส่งผลที่ร้ายแรงกว่า ซึ่งจะเห็นว่าเราจัดงานในเขตลานจอดเครื่องบิน บางครั้งอาจต้องพิจารณาโยกย้ายสถานที่ หรือทำอย่างไรให้ผู้เกี่ยวข้องไปพิจารณา คิดว่าคงได้คำตอบเร็วๆนี้

เลขาฯ คมช.หลบนักข่าว

ขณะเดียวกัน เมื่อเวลา 12.00 น. พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม และเลขาธิการ คมช. ซึ่งเดินทางกลับจาก จ.เชียงใหม่ ที่ท่าอากาศยานทหาร (บน.6) ได้หลบผู้สื่อข่าวออกทางประตูด้านข้างร้านอาหาร บน.6 โดยไม่ให้สัมภาษณ์ตอบโต้เกี่ยวกับกรณี พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาให้สัมภาษณ์วิจารณ์การทำงานของ คมช. และรัฐบาล

ช่อง 5 โดนเบรกข่าวบิ๊กจิ๋ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในวันเดียวกันนี้ ทางกองบรรณาธิการข่าว สถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 ได้รับคำสั่งห้ามนำเสนอข่าวของ พล.อ.ชวลิตโดยเด็ดขาด หลังจากที่ พล.อ.ชวลิตได้ออกมาให้สัมภาษณ์ตอบโต้รัฐบาล และคมช.อย่างรุนแรง เมื่อวันที่ 3 ม.ค. ที่ผ่านมา

พาณิชย์มั่นใจไม่กระทบส่งออก

นายเกริกไกร จีระแพทย์ รมว.พาณิชย์ กล่าวถึงเหตุการณ์การขู่วางระเบิดที่เกิดขึ้นในขณะนี้ว่า จะไม่ส่งผลกระทบต่อเป้าหมายการส่งออกที่กระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าการขยายตัวไว้ที่ 12.5% และจะไม่กระทบต่อราคาสินค้า แต่ยอมรับว่าปีนี้การส่งออกของไทยต้องเหนื่อย แต่ไม่ใช่การเหนื่อยจากการระเบิด เป็นการเหนื่อยจากค่าเงินบาทที่แข็งตัวขึ้น การแข่งขันในตลาดโลกที่รุนแรงขึ้น จากการค้าโลกที่ขยายตัวลดลง ซึ่งได้สั่งการให้สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศทำความเข้าใจกับลูกค้าชาวต่างชาติ ถึงสถานการณ์ที่แท้จริงในประเทศ และชี้แจงว่าไม่ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงนโยบายการค้าของไทยแต่อย่างไร

คมนาคมติวเข้มหน่วยงาน

พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานในสังกัดกระทรวงคมนาคมมีความเข้มงวดในการดูแล และคุมเข้มมาตรการรักษาความปลอดภัยมากขึ้น ส่วนเจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่ดูแลส่วนที่รับผิดชอบก็ให้ช่วยเป็นหูเป็นตา เพราะบางครั้งข่าวลือที่ออกมามากๆเข้า ก็อาจจะเป็นจริงขึ้นมาได้ อย่างไรก็ตาม อย่าประมาท เพราะบางครั้งเมื่อมีข่าวมาก ก็ทำให้เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบก็ ไม่ได้ไปทำงานประจำ ดังนั้น อยากขอร้องให้ผู้ไม่หวังดี ให้หยุดทำสิ่งที่ไม่ดีต่อประเทศชาติ เพราะยามนี้ประเทศ ชาติต้องการความสมานฉันท์ ส่วนนักลงทุนต่างชาติเมื่อเห็นข่าวก็อาจจะไม่เชื่อมั่น และมีความลังเลที่จะเข้ามาลงทุนได้ เนื่องจากไม่รู้ว่าเหตุการณ์ก่อกวนจะจบเมื่อใด

รมว.คมนาคมกล่าวว่า ส่วนกรณีที่ ครม.มีมติให้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงติดตั้งโทรทัศน์วงจรปิด (ซีซีทีวี) ตามจุดอับและจุดที่มีปริมาณคนพลุกพล่านหนาแน่นนั้น เรื่องดังกล่าวกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) เป็นเจ้าของเรื่อง และได้ให้กระทรวงแต่ละกระทรวงที่มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงเป็นผู้ประสานงานในเรื่องงบประมาณการจัดซื้อกับกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศฯ (ไอซีที) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีความชำนาญ เป็นคนดำเนินการ โดยในส่วนของกระทรวงคมนาคมจะต้องดูแลพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณสนามบินทั่วประเทศ สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีขนส่งผู้โดยสาร ซึ่งจะต้องสำรวจว่าจะต้องใช้กล้องจำนวนเท่าไหร่ โดยเร่งด่วนต่อไป เพราะถือว่ามีความจำเป็น

ด้านนายชัยศักดิ์ อังค์สุวรรณ อธิบดีกรมการขนส่งทางอากาศ (ขอ.) กล่าวถึงการดูแลและเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย ในท่าอากาศยานส่วนภูมิภาคทั้ง 26 แห่ง ที่อยู่ในการกำกับดูแลของ ขอ.ว่า ได้มีการเตรียมจัดซื้อกล้อง CCTV อีก 100 ตัว วงเงินรวมกว่า 20 ล้าน บาท นอกจากนี้ ยังมีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยในการตรวจคนเข้าออกที่ท่าอากาศยานทุกแห่ง ในช่วงนี้ ต้องยอมรับว่าอาจทำให้ประชาชนที่มาใช้บริการไม่สะดวกบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นมาตรการจำเป็นที่ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อสร้างความมั่นใจแก่ผู้เดินทาง

รถไฟใต้ดินผวาเพิ่มกล้อง

นายประภัสร์ จงสงวน ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า สำหรับการติดตั้งกล้อง CCTV เพิ่มเติมนั้น ในส่วนนี้ รฟม.ได้ประสานงานไปที่บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ บีเอ็มซีแอล เพื่อดำเนินการติดตั้งกล้องเพิ่มเติมอีกสถานีละ 4 ตัว ทั้ง 18 สถานี ขณะเดียวกัน ก็ได้มีการเพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยการเพิ่มกำลังทหารและตำรวจ ทั้งภายในภายนอกสถานี และการเพิ่มกำลังสุนัขดมกลิ่นอีก 12 ชุด ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนตลอดเวลาที่รถไฟฟ้าวิ่งให้บริการ

สำหรับแผนการจัดซื้อกล้อง CCTV เพื่อติดตั้งในสถานีขนส่งและพื้นที่ล่อแหลมทั่วประเทศนั้น ได้ดำเนินการตั้งแต่รัฐบาลชุดที่ผ่านมา โดยได้มีการเตรียมสั่งซื้อกล้อง CCTV กว่า 1,000 ตัว วงเงินกว่า 300 ล้านบาท โดยให้บริษัทวิทยุการบินแห่งประเทศไทย (บวท.) เป็นผู้ทำแผนการจัดซื้อ แต่ขั้นตอนได้หยุดชะงักไป ในช่วงที่มีการให้หน่วยงานแต่ละแห่งยืนยันความจำเป็น และจำนวนที่ต้องการใช้มากอีกครั้ง

ทหารลงคุมพื้นที่

พล.ท.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวถึงมาตรการรักษาความสงบเรียบร้อยใน กทม.ว่า ได้ปรับกำลังลงไปในพื้นที่เศรษฐกิจและชุมชนในทุกจุดที่มีความล่อแหลม รวมถึงสถานที่สำคัญต่างๆ ให้กระจายเต็มพื้นที่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชน อย่างไรก็ตาม การปฏิบัติงานหลักเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนทหารจะคอยให้การสนับสนุน

ขอให้ทุกคนช่วยระมัดระวังเป็นหูเป็นตาอย่าคิดว่าไม่มีอะไร แต่ขณะนี้ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เพิ่มเติม ส่วนงานวันเด็กในวันที่ 13 ม.ค.นี้ คงให้มีการจัดงานตามปกติ เราได้จัดกำลังไปดูแลในทุกจุดที่จัดงาน โดยเพิ่มความเข้มข้นแต่ละจุดให้มากยิ่งขึ้น ทั้งประสานกับ กทม.และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วนกลุ่มที่ก่อเหตุเป็นใครนั้น ตนไม่ทราบ เพราะเรื่องอย่างนี้คาดเดาไม่ได้ ต้องรอการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจเสียก่อน จึงจะรู้ว่าใครทำ

ศรชัยสวนสพรั่งรุ่นไหน

ทางด้าน พล.ต.ศรชัย มนตริวัต นายทหารคนสนิท พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ให้สัมภาษณ์โจมตี พล.อ.ชวลิตอย่างรุนแรงว่า การออกมาพูดหรือวิจารณ์ใดก็เป็นการพูดตามที่ท่านมีข้อมูลและมีประสบการณ์การทำงาน เมื่อเห็นสิ่งใดไม่ถูกต้อง ก็พูดอย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้มีเป้าหมายหรือมีเจตนากล่าวร้ายใคร พล.อ.ชวลิตได้แต่บอกว่าปล่อยให้พูดไป มีสิทธิ์พูดก็ให้พูดไป ไม่ ต้องการตอบโต้ ความจริงก็คือความจริง

คนพูดไม่จริงก็ตายไปเอง ประชาชนจะเป็นคนตัดสิน ท่านบอกว่าจะไม่ตอบโต้ เขามีสิทธิ์พูดก็ให้พูดไป ก็ไม่รู้ว่าเป็นรุ่นน้องหรือว่ารุ่นไหน เท่าที่จำได้ ครั้งหนึ่งในสมัยที่ พล.อ.ชวลิต เป็น รมว.กลาโหม ก็ได้แต่งตั้งให้ พล.อ.สพรั่ง เป็น ทส. เสนาธิการทหาร ตอนนั้นพี่อ๊อด (พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา) เคยขอให้ช่วย เมื่อถามว่า พล.อ.ชวลิตได้ต่อสาย คุยกับ คมช.เพื่อปรับความเข้าใจหรือไม่ พล.ต.ศรชัยตอบว่า ยังไม่ได้คุยกัน และคิดว่าไม่จำเป็นต้องคุย เพราะไม่มีอะไร การออกมาพูดของ พล.อ.ชวลิตเป็นไปตามบุคลิกของท่านคือเป็นคนตรงไปตรงมา

พิราบขาวเตรียมแฉไอ้โม่ง

วันเดียวกัน กลุ่มพิราบขาว 2006 ซึ่งเป็นกลุ่มต่อต้าน คมช. โดยนายนพรุจ วรชิตวุฒิกุล ได้ประกาศผ่านเว็บไซต์ http://19dictator.somee.com/ ว่า จะเดินหน้าจัดชุมนุมขับไล่ คมช. และรัฐบาล พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี ที่บริเวณท้องสนามหลวงและหน้าทำเนียบรัฐบาล โดยนัดเวลาชุมนุมเวลา 16.00 น. วันที่ 8 ม.ค. และขอปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์วางระเบิดทั่วกรุง พร้อมอ้างว่านายนพรุจจะนำข้อเท็จจริงมาเปิดเผยว่า ใครคือไอ้โม่งที่อยู่เบื้องหลังบอมบ์ กทม.ตัวจริง ในวันจันทร์หน้า

และนายชนาพัทธ์ ณ นคร ประธานกลุ่มประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวว่า จะเลื่อนการชุมนุมใหญ่ที่ท้องสนามหลวงในวันที่ 6 ม.ค.ออกไปก่อน เพื่อความปลอดภัยของผู้ที่จะมาร่วมชุมนุม ประกอบกับมีผู้ไม่หวังดีพยายามจะใส่ร้ายตนและพรรคพวก ดังนั้น ในวันที่ 5 ม.ค. จะนำข้อมูลเบื้องหลังการ บอมบ์ กทม. มาแฉทั้งหมดว่ามีใครเกี่ยวข้องบ้าง ใครเป็นผู้ลงมือและใครเป็นผู้ออกทุน

เครดิต :
 

ข่าวดารา ข่าวในกระแส บน Facebook อัพเดตไว เร็วทันใจ คลิกที่นี่!!
กระทู้เด็ดน่าแชร์